ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 87 ฉันดันฆ่าคนไปแล้ว

ตอนที่87 ฉันดันฆ่าคนไปแล้ว

อย่างที่เขาว่ากัน วิธีดับไฟป่าก็ต้องใช้ไฟป่าเข้าดับ

อาจารย์ฉีใช้อารมณ์เข้าปะทะ เธอเองก็จำเป็นต้องใช้อารมณ์เพื่อเอาชนะเช่นกัน

เหอจื่อคิดเช่นนั้น

อาจารย์งั้นเหรอ?

อาจารย์ก็เป็นมนุษย์เหมือนกับเราๆ เมื่อโดนตำหนิก็ควรแสดงความจริงใจออกหน้ารับผิดอย่างกล้าหาญ แค่นี้อาจารย์ก็ไม่สามารถบ่นอะไรได้อีกต่อไปแล้ว

แน่นอนว่าคล้อยหลังสบตากันสักพัก สายตาแข็งกร้าวของฉีเล่ยก็เริ่มอ่อนลง เพราะรู้สึกว่าการที่ต้องจ้องตากับนักศึกษาสาวสวยท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้เป็นเวลานาน มันดูคลุมเครือแปลกๆ…

ฉีเล่ยถอนหายใจเฮือกหนึ่งและกล่าวว่า

“ผมไม่สามารถตำหนิพวกคุณได้อยู่แล้ว เอาล่ะทุกคน เขียนสูตรตามที่ผมจดหน้ากระดานต่อไปนี้ แล้วเอาไปท่องจำให้ขึ้นใจ”

“ห่ะ?”

เหอจือร้องอุทานขึ้นเจือสีหน้างุนงง

ฉีเล่ยเหลือบหางตามองเธอเล็กน้อยและกล่าวว่า

“ในฐานะแพทย์ของคุณ คุณได้ฆ่าคนไปแล้วหนึ่งชีวิต เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นทำผิดพลาดเหมือนคุณอีก ผมจำเป็นต้องให้ทุกคนจดสูตรยาที่ถูกต้องลงไปครับ”

เหอจื่อไม่สามารถฝืนกลั้นความขมขื่นภายในใจได้อีกต่อไป

เด็กสาวอายุเพียง20ปีที่ไม่ได้มีประสบการณ์ชีวิตมากมายนัก และไม่เคยต้องลำบากมาก่อน ไม่ว่าเธอจะพยายามทำตัวแข็งแกร่งขนาดไหน แต่เบื้องลึกแล้ว เหอจื่อเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่มีอารมณ์อ่อนไหวง่าย

เมื่อเจอแรงกดดันทางจิตวิทยาเข้าไปขนาดนี้ แม้คำพูดของฉีเล่ยจะดูไม่รุนแรงอะไรเลย แต่ด้วยน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์นั้น กลับทำเอาจุกจนบรรยายไม่ถูก กำแพงความแข็งแกร่งที่เธอพยายามสร้างขึ้นกลับพังทลายลงอย่างง่ายดาย

เหอจื่อรู้สึกผิดอย่างมาก จนท้ายที่สุดก็นั่งน้ำตาไหลอาบแก้ม

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถามคำถามในชั้นเรียน ยังไม่ถือเป็นการสอบย่อยด้วยซ้ำ เธอแค่ตอบผิดไปเล็กน้อยก็นับเป็นการฆ่าคนแล้วเหรอ? แต่สุดท้ายก็แก้คำตอบจนถูกไม่ใช่รึไง? กับอีแค่ตอบคำถาม ทำไมต้องพรรณนาไปไกลขนาดนั้นด้วย?

ภายในใจอันว้าวุ่นของเธอเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

แต่ถึงแบบนั้น สีหน้าการแสดงออกของฉีเล่ยที่มีต่อเธอในขณะนี้ มันราวกับว่าเขากำลังผิดหวังและเศร้าใจยิ่งกว่าอะไร เสมือนว่าเธอเพิ่งฆ่าใครตายสักคนจริงๆ เหอจื่อพยายามกลั้นน้ำตาสุดกำลัง ทว่าท้ายที่สุดก็ทนไม่ไหวและระเบิดน้ำตาปล่อยโฮออกมา

ทันใดนั้นเองเธอก็เพิ่งตระหนักได้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของอาจารย์ฉีขึ้นมาได้

จะเกิดอะไรขึ้นถ้านี่ไม่ใช่เป็นเพียงคำถาม แต่เป็นใบสั่งยาจีนสำหรับผู้ป่วยจริงๆ?

สำหรับแพทย์คนใดที่ประสบเหตุการณ์เช่นนี้อยู่ มันไม่ได้หมายความแค่ว่า ขอโทษแล้วจะหาย หรือสอบซ่อมเดี๋ยวก็ผ่าน แต่นั่นเท่ากับการทำลายอนาคตบนเส้นทางการแพทย์ของตัวเองโดยสมบูรณ์ การรักษาผู้ป่วยจนผิดพลาดถึงตายนับเป็นฝันร้ายที่จะสลักลึกลงไปในใจของแพทย์ผู้นั้นไปชั่วชีวิต

จุดประสงค์หลักที่ฉีเล่ยต้องการถามคำถามกับนักศึกษาในวันนี้ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาทำผิดพลาดในชีวิตจริง

ถ้ามองอีกมุมหนึ่งคือ ที่อาจารย์ฉีต้องจริงจังขนาดนี้ก็เพราะหวังดีกับพวกเขาทั้งสิ้น

“หนูผิดเองค่ะ”

เหอจื่อปาดน้ำตาบนใบหน้าอย่างรวดเร็วและกล่าวต่อว่า

“อาจารย์ฉี หนูจะจำให้ขึ้นใจเลยค่ะว่า ทุกชีวิตของผู้ป่วยอยู่ในมือหนูแล้ว! ขอบคุณค่ะ!”

หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้นและน้ำเสียงที่มุ่งมั่นของเธอ ทัศนคติของฉีเล่ยที่มีต่อเธอก็เปลี่ยนไป สีหน้าของเขาดูผ่อนคลายขึ้นมากและพยักหน้าตอบไปว่า

“ดีมาก เพราะทุกชีวิตของผู้ป่วยอยู่ในมือเรา ดังนั้นเราควรจะอุทิศตนรักษาพวกเขาด้วยหัวใจ”

จากนั้นเขาก็กวาดสายตาไปรอบห้องและกล่าวขึ้นโดยไม่รู้ตัวว่า

“ผมอยากให้ทุกคนจดจำประโยคต่อไปนี้ให้ขึ้นใจจนวันตาย หมอต้มตุ๋นยังด้อยกว่าสถานที่ที่ไร้หมอ ไม่มีหมอสักคนยังดีกว่ามีหมอต้มตุ๋น สิ่งที่เราต่างจากคนพวกนั้นก็คือองค์ความรู้”

เมื่อเขาเอ่ยปากกล่าวแบบนี้ออกไป ฉีเล่ยก็ชะงักไปเล็กน้อยประหลาดใจกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง

ตอนที่เขาได้รับสืบทอดมรดกความรู้จากบรรพบุรุษสกุลเฉินครั้งแรก ภายในห้วงจิตวิญญาณของเขาก็สัมผัสได้ถึงองค์ความรู้มากมายมหาศาล แม้แต่รายละเอียดเล็กน้อยยังไม่อาจละเลยได้ แม้จะมีมากมายมหาศาล แต่ก็ราวกับเชี่ยวชาญแล้วในทุกศาสตร์แขนง

เขาใช้ระยะเวลาเพียงชั่วครู่เดียวในการทำความเข้าใจและย่อยองค์ความรู้อันแสนลึกซึ้งเหล่านี้ ทว่ามีเพียงประโยคคำพูดเดียวที่จิตวิญญาณบรรพบุรุษสกุลเฉินกล่าวย้ำกับเขาซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุดหย่อน

‘หมอต้มตุ๋นยังด้อยกว่าสถานที่ที่ไร้หมอ ไม่มีหมอสักคนยังดีกว่ามีหมอต้มตุ๋น สิ่งที่เราต่างจากคนพวกนั้นคือองค์ความรู้’

บรรพบุรุษสกุลเฉินกล่าวย้ำประโยคนี้กับตัวเขามากกว่าพันรอบ

ฉีเล่ยสัมผัสได้ถึงความพยายามอุตสาหะอย่างยิ่งยวดที่บรรพบุรุษพยายามเน้นย้ำ ดังนั้นแล้ว ฉีเล่ยจึงหวังว่าลูกศิษย์ของเขาเองก็ควรได้รับฟังประโยคคำพูดนี้เช่นกัน

“อาจารย์ฉีค่ะ”

ขณะที่เหอจื่อกำลังเช็ดน้ำตา เธอก็เอ่ยเรียกเขาอีกครั้ง

ฉีเล่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“ว่าไง? ไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้เหรอ?”

“เปล่าค่ะ…เบอร์อาจารย์…”

“โอ้? อาการคุณแม่แย่ลงเหรอ?”

เหอจือทำหน้าบึ้งใส่เล็กน้อย

“เมื่อคืนหนูพยายามติดต่อไปหาอาจารย์ตั้งหลายครั้ง แต่ไม่เห็นจะรับเลย”

ฉีเล่ยยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองไปทีหนึ่ง เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เขาโยนมือถือเครื่องเก่าทิ้งขยะไปแล้วพร้อมกับซิมการ์ดของหนานหยาง และเมื่อไปซื้อมือถือเครื่องใหม่กับหลี่ถงซีในตอนนั้น เขาเองก็เปลี่ยนซิมการ์ดใหม่ไปใช้ของค่ายในปักกิ่งแทน

และเขาเองก็ยังจำได้แม่นว่า ตอนที่เหอจื่อขอเบอร์มือถือของเขาไปนั้น ก็เพื่อต้องการโทรถามอาการป่วยของแม่เธอในยามฉุกเฉิน เมื่อคืนเธอคงจะพยายามติดต่อมาหาเขาเพราะอาการป่วยของแม่ทรุดหนักลงแน่เลย ฉันนี่มันแย่จริงๆ

ฉีเล่ยรีบกล่าวอธิบายขึ้นทันที

“ผมเพิ่งเปลี่ยนมือถือใหม่น่ะ ก็เลยเปลี่ยนเบอร์ไปด้วย อย่าลืมขอเบอร์ใหม่หลังเลิกเรียนนะ โทรมาได้ตลอด24ชม.เลยไม่ต้องเกรงใจ แล้วอาการแม่เธอเป็นยังไงบ้าง? ดีขึ้นรึยัง?”

“อา? เปลี่ยนมือถือใหม่? เอ่อ…แม่หนูดี..ดีขึ้นแล้วค่ะ”

ร่องรอยบนใบหน้าของเหอจื่อฉายแววเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก

หลังจากเลิกเรียน นักศึกษาทุกคนก็เก็บกระเป๋าออกไป เหอจื่อจงใจเดินตรงไปหยุดหน้าเวทีที่สอน พอเห็นคนอื่นๆออกจากห้องไปหมดแล้ว เธอก็รีบเดินขึ้นไปยืนข้างๆฉีเล่ยบนเวทีทันที ก่อนจะหรี่ตาและกล่าวขึ้นว่า

“อาจารย์ ขอเบอร์ใหม่ด้วยค่ะ”

ฉีเล่ยหยิบมือถือออกมาและกล่าวว่า

“ผมยังจำเบอร์ใหม่ไม่ได้เลยครับ เดี๋ยวผมยิงไปหาดีกว่า คุณเบอร์อะไรนะ?”

เหอจื่อเหลือบมองมือถือเครื่องใหม่ของฉีเล่ยเล็กน้อย ก่อนบอกเบอร์ของตัวเธอเองไป และเมื่อฉีเล่ยกดโทรออก มือถือในกระเป๋าของเธอก็ดังขึ้น เหอจื่อจึงรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วบันทึกเบอร์ของฉีเล่ยไว้ทันที แต่ขณะที่เหอจื่อกำลังพิมพ์ชื่ออยู่ เธอกลับไม่ได้เขียนว่า ‘ฉีเล่ย’ หรือ ‘อาจารย์ฉี’ หญิงสาวเงยหน้าเหล่มองฉีเล่ยเล็กน้อย พอเห็นว่าเขาไม่ได้มองมาทางนี้ เธอก็รีบพิมพ์ชื่ออะไรสักอย่าง แล้วเก็บเข้ากระเป๋าไปทันที

พอฉีเล่ยหันมาหา เหอจื่อก็คลี่ยิ้มหวานให้อย่างมีความสุข

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ถ้ามีอะไรก็โทรมาหาได้ตลอดนะ”

หลังจากพูดจบ ฉีเล่ยก็หมุนตัวเดินออกจากห้องเรียนและกลับเข้าห้องพักอาจารย์

เหอจื่อถอนหายใจเฮือกหนึ่งดูเศร้าโศกใจเป็นอย่างยิ่ง ขณะเดินตามออกไปพลางเหม่อมองแผ่นหลังของฉีเล่ยที่เลี้ยวกลับเข้าห้องพักอาจารย์ไป จากนั้นเธอก็เปิดกระเป๋าขึ้นมาดู ข้างในมีกล่องของขวัญใบเล็กๆอยู่ ภายในกล่องใบนั้นคือ Iphone X Maxสีดำตัวใหม่ที่ยังไม่เคยเปิดใช้งานสักครั้ง

มือถือเครื่องใหม่ของฉีเล่ยที่ห่อของขวัญมา เป็นสีเดียวกับมือถือของเหอจื่อที่กำลังใช้งานอยู่ เธอคิดว่า ตนเองอยากใช้มือถือที่เป็นรุ่นเดียวและสีเดียวกันกับอาจารย์ฉี เสมือนพวกคู่รักที่ชอบทำกัน

แต่น่าเสียดาย…ที่ความฝันของเธอกลับไม่เป็นจริงแล้ว

ตอนที่เหอจื่อขอเบอร์จากฉีเล่ยเมื่อเที่ยงวันจันทร์ เธอเองก็สังเกตเห็นเช่นกันว่า อีกฝ่ายใช้มือถือโนเกียเก่าๆตัวหนึ่ง

หลังเลิกเรียนวันนั้น เหอจื่อก็รีบตรงออกจากมหาวิทยาลัยบึ่งไปที่แอปเปิ้ลสโตร์สาขาใกล้ๆหอพัก และซื้อเจ้าเครื่องนี้มาทันทีโดยไม่มีลังเล

เธอมั่นใจอย่างมากว่า อาจารย์ฉีจะต้องชอบของขวัญชิ้นนี้แน่นอน

แต่อย่างไรมันก็สายเกินไปแล้ว

ขณะที่เดินกลับด้วยความรู้สึกว่างเปล่า เหอจื่อก็กำหมัดแน่นและตั้งปณิธานสาบานกับตัวเองด้วยเสียงหนักแน่นว่า

“ฉันจะไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้ว! ครั้งหน้าถ้าซื้อของขวัญอะไรมาให้อีก ฉันจะวิ่งไปให้อาจารย์ถึงที่ทันทีที่ทำได้!!”

ขณะเดินลงบันไดอาคารมาด้านล่าง เหอจื่อก็หยิบมือถือโทรหาใครสักคน น้ำเสียงหวานฉ่ำฟังดูละเมียดละไมหูก็ดังขึ้นจากปลายสาย

“ว่าไงคุณลูกสาว? โทรหาแม่แบบนี้มีอะไรอีกจ๊ะ?”

เหอจื่อกล่าวตอบสั้นๆด้วยความเศร้าใจว่า

“มู่เซียวหยาน! ฉันดันฆ่าคนไปแล้ว!”

“เกร๊งงง!!”

เหอจื่อได้ยินเสียงดังจากปลายสาย คล้ายจานหรืออะไรสักอย่างตกแตกคาพื้น ติดตามมาด้วยคลื่นแห่งความโกลาหลที่ถาโถมเข้าใส่อีกระรอกใหญ่

“ฆ่า? ฆ่าคน?! นี่แกไปฆ่าใคร? หรือว่าจะเป็นผู้ชายคนนั้น? แล้ว…แล้วเห็นเขาตายสนิทแล้วใช่ไหม?”

มู่เซียวหยานเอ่ยถามสาดใส่เป็นชุด น้ำเสียงดูสั่นเทาหวาดกลัวอย่างยิ่ง

เหอจื่อเอียงศีรษะทำเป็นใช้ความคิดเล็กน้อย ก่อนจะตอบไปว่า

“ตายมาประมาณ45นาทีได้แล้ว”

“ลูกแม่! ฟังที่แม่จะพูดต่อจากนี้นะ ตอนนี้แกรีบวิ่งไปที่ตู้เอทีเอ็ม เดี๋ยวแม่จะส่งเงินสักก้อนไปให้ จากนั้นก็หนีไปให้ไกลที่สุด! ไม่! ไม่สิ! แกต้องรีบกลับมาบ้านก่อนเพื่อเอาหนังสือเดินทาง ส่วนเรื่องตั๋วเดี๋ยวแม่จัดการให้เดี๋ยวนี้เลย! เราจะบินไปลี้ภัยที่ต่างประเทศ!”

“เดี๋ยวก่อน! เดี๋ยวก่อนนะลูก! อย่าเพิ่งออกจากมหาวิทยาลัยไปทั้งแบบนี้ ไปหาอะไรมาคุมหน้าคุมตาก่อน หน้าตาแกสวยเกินไป มีสิทธิ์สะดุดตาคนอื่นได้ เรื่องนี้เป็นความลับระหว่างเราอย่าให้ใครรู้เด็ดขาด! แม้แต่พ่อ! พ่อของแกรักความยุติธรรมยิ่งกว่าอะไรดี ถ้ารู้ขึ้นมาเป็นเรื่องแน่นอน! โอ้ยย…ลูกสาวฉัน! แล้วไปฆ่าคนทำไม!”

“อุ๊บ! ฮ่าฮ่าฮ่าๆ…”

เหอจื่อนั่งยองๆอยู่บนพื้น รีบยกมือข้างซ้ายขึ้นมาปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะทันที

เธอไม่รู้มาก่อนเลยว่า แม่คนนี้จะมีความสามารถในการหาลู่ทางหลบหนีได้ละเอียดขนาดนี้ อย่างกับว่าเคยมีประสบการณ์จริงๆ

เหอจื่อเข้าใจแล้วว่า ทำไมแม่ถึงสามารถแอบให้กำเนิดตัวเธอได้แบบลับๆ ชนิดที่ว่าแม้แต่คุณย่ากับคุณปู่ของเธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำ

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset