ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 95 โลกมันกลม

ตอนที่95 โลกมันกลม

“อาจารย์ฉี ขอบคุณมากนะคะที่อุตส่าห์มางานวันเกิดของหนู!”

จ้าวหยวนหยวนเป็นดาวเด่นประจำงานวันเกิดครั้งนี้ เมื่อครู่เธอเพิ่งจะออกไปชนแก้วกับเพื่อนห้องข้างๆ พอกลับมาก็เห็นว่าทุกคนกำลังดื่มอยู่กับฉีเล่ยพอดี ดังนั้นเธอจึงรีบตรงมาร่วมสนุกทันที

ฉีเล่ยหยิบขวดหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาพร้อมรินไวน์ใส่แก้ว เติมจนเต็ม จากนั้นเขาก็ชูแก้วไวน์ขึ้นเหนือหัวป่าวประกาศขึ้นว่า

“หลังจากกระดกแก้วนี้จบ ถือว่าผมเป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจในวันนี้แล้ว แก้วสุดท้ายขอดื่มให้กับจ้าวหยวนหยวน หลังจากนี้พอแล้วครับ งดดื่มแล้ว!”

ทุกคนในห้องต่งาเฮลั่นชูแก้วขึ้นตาม ฉีเล่ยกล่าวอวยพรก่อนดื่มว่า

“สุขสันต์วันเกิด! ดื่ม!”

“ขอบคุณมากค่ะอาจารย์ฉี”

หลังจากกระดกหมดแก้วไป เท่ากับว่าเขาดื่มไวน์หมดไปแล้วหนึ่งขวด แถมยังมีเบียร์ก่อนหน้าตีกันในท้องเขาอีก ต่อจากนี้เขาจะไม่ดื่มอะไรเข้าไปเพิ่มเติมอีกแล้ว ได้แต่นั่งเฝ้ามองนักศึกษากลุ่มหนึ่งนั่งประจันกระดกไวน์แข่งกันอยู่อย่างเงียบๆ

ทว่าน่าเสียดาย ความตั้งใจนี้ของฉีเล่ยกลับต้องล้มเหลว

ด้านหลังจ้าวหยวนหยวน มีนักศึกษาสาวกลุ่มหนึ่งวิ่งแห่เข้ามา ทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับฉีเล่ยทั้งยังขอให้เขาดื่มกับพวกเธอหน่อยอีกสักแก้ว ทีแรกฉีเล่ยปฏิเสธเด็ดขาดว่าจะไม่ดื่มต่อแล้ว ทว่ากลุ่มนักศึกษาสาวเหล่านั้นกลับร้ายกว่าที่คิด ทั้งเย้ายวนต่างๆนานา เป่าหูหว่านถ้อยคำหวานใส่ไม่หยุด จนท้ายที่สุดฉีเล่ยก็ต้านทานไม่ไหว และต้องเปิดขวดที่สองขึ้นมาดื่ม

คราวนี้เบรกแตกแหกโค้งเรียบร้อย พอมีขวดที่สองย่อมมีขวดที่สาม ขวดที่สี่ตามมา…

เมื่อฉีเล่ยรู้สึกตัวอีกครั้ง ก็พบว่าโต๊ะกระจกตรงหน้าเขาเต็มไปด้วยขวดเปล่า ไม่รู้ตัวเลยว่าซัดไปกี่ขวดแล้วกันแน่

แม้เขาจะเป็นที่คนค่อนข้างคอแข็งอย่างมากกับเรื่องแอลกอฮอล์ แต่โดนเหล่านักศึกษาเข้าจู่โจมนับสี่สิบคน ประเคนไวน์ถึงปากต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน เขาคงจะทนได้อีกไม่นานแล้ว

“นี่…นี่จา…จาเป็นแก้วสุดท้าย…จริงๆแล้วนะ!”

ฉีเล่ยยกแก้วไวน์ขึ้นอีกครั้ง ขณะที่กำลังพูดอยู่ จู่ๆพลันรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาฉับพลันและล้มตัวลงไปในอ้อมกอดของเหอจื่อโดยตรง

“อ๊ะ!”

เหอเจื่อเข้าสวมกอดฉีเล่ยตอบทันควัน และเอ่ยถามขึ้นเจือน้ำเสียงติดหวานเล็กน้อยว่า

“อาจารย์ฉีคะ? ยังไหวรึเปล่า?”

ตั้งแต่ฉีเล่ยกระดกขวดที่สามลงคอ เหอจื่อก็เริ่มชะลอการดื่มของตัวเองลงแล้ว เพราะอีกฝ่ายน่าจะเมาหนักแน่เลยในวันนี้ ดังนั้นเธอจำเป็นต้องตื่นตัวตลอดเพื่อดูแลเขา

“ไหวครับ”

ฉีเล่นรู้สึกวินเวียนศีรษะอย่างมาก ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกตัว

“ขอพักสักครู่ น่าจะดีขึ้นครับ”

ทันทีที่พูดจบฉีเล่ยก็พยายามทรงตัวลุกขึ้น ทว่ากลับถูกเหอจื่อกดหัวลงมาให้นอนบนตักของเธอแทนบนโซฟาตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นอ้อมกอดของเหอจื่อหรือตักของเธอ ล้วนแต่ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและนุ่มนิ่มแสนสบาย แต่…แต่! เขาจะนอนหนุนตักลูกศิษย์ตัวเองท่ามกลางลูกศิษย์คนอื่นๆได้ยังไง?!

“นอนลงค่ะ”

เหอจื่อที่เห็นว่าฉีเล่ยพยายามขัดขืน ก็พลางยกมือกดศีรษะอีกฝ่ายจนซุกเข้าไปในตักอีกครั้ง ไม่ว่าจะดื้นรนแค่ไหน แต่เขาก็พยุงตัวลุกขึ้นไม่ไหว…

ฉีเล่ยรู้สึกอยากตายเหลือเกิน

ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะเอาเปรียบเธอนะ!

คุณ! คุณคนอ่านนั่นแหละ! ต้องเป็นพยานให้ฉันนะ!

โชคยังดีที่สภาพแต่ละคนก็ไม่ค่อยเหลือสติเท่าไหร่เหมือนกัน พวกเขายังคงจับกลุ่มดื่มกันอย่างสนุกสนาน ไม่ได้สนใจทางนี้เท่าไหน้

เหอจื่อค่อยๆประคองศีรษะของฉีเล่ยเข้ามากอดในอ้อมอกราวกับคุณแม่วัยใสที่กำลังกอดทารก พลางสะกิดฉีเล่ยเบาๆกล่าวว่า

“อาจารย์ฉีรู้สึกดีขึ้นไหมค่ะ?”

“ดีขึ้นแล้ว ดีขึ้นแล้ว ผมแค่เวียนหัวนิดหน่อย”

ฉีเล่ยพยายามเบี่ยงหน้าไม่ให้สัมผัสโดนหน้าอกของเหอจื่อสุดฤทธิ์ ไม่แม้แต่จะกล้ามองหน้าเธอด้วยซ้ำ

“ผมดื่มเร็วเกินไปหน่อย เลยตกอยู่ในสภาพแบบนี้”

ซึ่งอันที่จริงแล้ว ไม่เพียงแต่เขาจะดื่มเร็วเกินไปเท่านั้น ทว่าเขายังดื่มเยอะเกินปริมาณที่ร่างกายรับไหวอีกด้วย เท่าที่ประมาณได้ เขาดื่มไปแล้วเกือบ20ขวด และที่สำคัญที่สุดคือ เขาดันดื่มผสมระหว่าง‘เบียร์’กับ‘ไวน์แดง’

หลังจากพักผ่อนบนตักของเหอจื่อได้ครู่หนึ่ง ฉีเล่ยพลันรู้สึกโชคเข้าข้างแล้ว ดูเหมือนว่าร่างกายของเขาจะตอบสนองกับแอลกอฮอล์ที่เข้าร่างกายได้เป็นอย่างดี และเริ่มกระบวนการระบายออกแล้ว

ทันทีทันใดเขาสะดุ้งโหย่วกระโดดขึ้นจากตักและสับตีแตกวิ่งออกจากห้องทันที

ปวดฉี่!

“อ๊ะ! อาจารย์ฉี! ห้องน้ำอยู่..เอ่อ…”

เหอจื่อพยายามตะโกนบอกไล่หลังโดยด่วน แต่กลับสายเกินไป ฉีเล่ยวิ่งลับสายตาหายไปแล้ว…

เธอที่เห็นแบบนั้นพลันรู้สึกเป็นห่วงแปลกๆ พลางคิดไปว่าเขาน่าจะอยากอ้วก ถึงแบบนั้นเวลาคนเมาจะอ้วกกลับไม่ง่ายเลย ดังนั้นเหอจื่อจึงลุกขึ้นทันทีเตรียมวิ่งตามเขาออกไป

จินเซิงสังเกตเห็นภาพฉากดังกล่าวโดยบังเอิญ และมั่นใจอย่างยิ่งว่า ถึงฉีเล่ยจะไม่มีสติขนาดไหนแต่ก็น่าจะต้องวิ่งเข้าห้องน้ำชาย คงไม่สะดวกเท่าไหร่ที่จะให้ผู้หญิงเข้าไปดูแลถึงที่ เขาก็เลยอาสาลุกขึ้นไปตามแทน แต่กลับถูกจ้าวหยวนหยวนหยุดไว้เสียก่อน

“จะไปไหนของนาย? มาดื่มกันก่อนสิ”

จินเซิงผงะเล็กน้อย พอเห็นสายตาหวานของจ้าวหยวนหยวนที่ส่งให้ เขาก็เข้าใจจุดประสงค์ของเธอทันที ก็เลยกลับไปนั่งลงดังเดิม ปล่อยให้เหอจื่อวิ่งออกไปเองคนเดียว

ห้องน้ำอยู่สุดทางเดิน หลังจากฉีเล่ยพุ่งเข้าไปก็รีบปลดเข็มขัดและเริ่มยิงกระต่ายชุดใหญ่

“อ่า~…”

เขาถอนหายใจเสียงยืดยาวด้วยความโล่งอก อย่างกับสวรคค์ชัดๆที่เข้ามาระบายออกได้ทันเวลาแบบนี้ เขารีบปรับลมหายใจเร่งเร้าเส้นลมปราณทั่วร่าง เพื่อนำแอกอฮอล์ทั้งหมดไหลไปรวมตัวกันในกระเพาะปัสสาวและนำออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว ซึ่งเขาเองก็เกือบอั้นไม่อยู่แล้ว

พอเหอจื่อวิ่งตามเข้ามา ฉีเล่ยก็ยิงกระต่ายเสร็จเรียบร้อย กำลังล้างมืออยู่ตรงหน้ากระจก

“อาจารย์ฉี ไม่เป็นไรใช่ไหมค่ะ?”

“เห้ย! อะไรวะ!?”

จู่ๆก็มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในห้องน้ำชายดื้อๆ ผู้ชายคนนั้นที่กำลังฉี่อยู่ถึงกับสะดุ้งเกือบสะบัดหลุดจากโถ่

เหอจื่อสบถตอบอย่างฉุนเฉียวว่า

“ฉันไม่ได้มองพวกนายสักหน่อย! ฉี่ต่อไปเหอะน่า!”

“….”

พอได้ปลดปล่อยของเสียออกจากร่างกาย ทั้งยังได้ล้างหน้าจนสดชื่นดีแล้ว ฉีเล่ยก็กลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง เขาหันกลับมากล่าวว่า

“ผมสบายดีครับ นี่มันห้องน้ำชาย คุณเข้ามาทำไม?”

เหอจื่อกล่าวตอบว่า

“ก็หนูเป็นห่วงอาจารย์หนิ”

ในขณะนั้นเอง ก็มีชายหนุ่มคนหนึ้งเดิมเข้ามา เตรียมปลดเข็มขัดยืนอ้าขาอยู่หน้าโถ่ แต่ทันใดนั้น พอสังเกตเห็นเหอจื่อที่กำลังยืนอยู่ข้างๆก็ถึงกับสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ

ชะแง้ศีรษะไปดูป้ายเพื่อยืนยันว่านี่คือห้องน้ำชาย เขาก็หันมาคลี่ยิ้มเยาะกล่าวว่า

“คนสวย เข้ามาผิดห้องแล้ว”

“ทำไม? ก็ฉันอยากเข้าห้องนี้!”

เหอจื่อเมินชายหนุ่มคนนั้นโดยสิ้นเชิง และหันมาช่วยฉีเล่ยเช็ดหน้าเช็ดตา โดยความเป็นจริงแล้ว ใบหน้าสีแดงก่ำของเธอ ณ ขณะนี้ชี้ชัดว่ามันได้ทรยศต่อคำพูดของเธอโดยสิ้นเชิง ที่เธอรีบวิ่งเข้าห้องน้ำเพราะเป็นห่วงฉีเล่ย แต่เธอดันไม่ได้คิดหน้าคิดหลังเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย พอตอนนี้ทุกอย่างกลับเป็นปกติดังเดิม ฉีเล่ยได้สติตื่นแล้ว จึงเพิ่งตระหนักได้ว่า ตนเข้าห้องน้ำผิด แล้วมีผู้หญิงคนไหนยังบ้า อยากเข้าห้องน้ำชายต่อทั้งๆที่รู้แล้วว่าเข้าผิด?

 “คนสวย มีอะไรให้ช่วยไหมจ๊ะ?”

ขณะพูดจาหว่านล้อมใส่เหอจื่อ สายตาของชายหนุ่มคนนี้ก็เหลือบไปเห็นฉีเล่ยที่อยู่ข้างๆ สีหน้าการแสดงออกจากขี้เล่นยิ้มแย้มกลายมาเป็นเคร่งขรึมในทันใด

“แกเองเหรอ?”

ฉีเล่ยเงยหน้าขึ้นจับจ้องเจือสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย

บังเอิญเหลือเกิน ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกเสียจาก หม่ารุ่ย

เขาอดหัวเราะไม่ได้เลย‘โลกกลมจริงๆ’

หม่ารุ่ยกวาดสายตาจับจ้องทั่วทั้งเรือนร่างของเหอจื่ออย่างตะกละตะกลาม แค้นหัวเราะเสียงเย็นกล่าวขึ้นว่า

“ฉันประเมินแกต่ำไปแหะ งั้นขอถามอะไรหน่อยสิ ระหว่างนอนกับสาวสวยคนนี้กับหลินชูวโม่…คนไหนสนุกกว่ากัน?”

ตอบตามตรง ฉีเล่ยเองก็อยากรู้คำตอบนี้เช่นกัน แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสได้หาคำตอบ

คล้อยหลังยืดตัวบิดขี้เกียจเล็กน้อย ฉีเล่ยหัวเราะตอบไปว่า

“แล้วคุณรวบรวมความกล้าเสร็จรึยัง? อย่ามาใจเสาะแบบคราวก่อนนะครับ”

หม่ารุ่ยยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้

“เอาเป็นวันหน้าดีกว่านะ วันนี้พวกเราต่างมาผ่อนคลายเหมือนกัน มาเถอะมา มาร้องคาราโอเกะที่ห้องฉันกันหน่อยดีกว่า รับรองได้เลย…แกไม่มีผิดหวัง”

เหอจื่อรีบก้าวออกไปตรงหน้ากางมือขึ้นมาปกป้องฉีเล่ยทันที สายตาที่เธอจับจ้องที่หม่ารุ่ยราวกับจะฆ่าแกงกันก็ไม่ปาน

“นี่แกคิดจะทำอะไร?”

“จุ๊ จุ๊…คนสวย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลยนะ นี่มันเรื่องของผู้ชายเขาคุยกัน โน้นๆ ไปยืนหลบมุมอยู่ตรงนั้นก่อนไป”

พอพูดแบบนั้นจบ หม่ารุ่ยก็โบกมือไล่เหอจื่อราวกับกำลังจะสื่อว่า นี่เรื่องของผู้ชาย ผู้หญิงอย่ามาแส่!

หม่ารุ่ยคนนี้เคยเรียนศิลปะป้องกันตัวตั้งแต่ยังเด็ก แทบยังเคยลงแข่งรายการคาราเต้มือสมัครเล่นอยู่หลายครั้ง ทั้งนี้เองในช่าวงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พอมีเวลาว่างเขามักจะไปออกกำลังกายฟิตหุ่นอยู่ในฟิตเนสเป็นประจำ พูดได้ว่า อย่าให้ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้อย่างเขาได้เคลื่อนไหว อย่างน้อยถ้าไม่ตายก็พิการ!

เห็นหม่ารุ่ยกระชับจับกำปั้นแน่นและเดินตรงเข้าหาด้วยสีหน้ามุ่งร้าย ฉีเล่ยก็รีบยื่นมือเตรียมจะผลักให้เหอจื่อไปหลบหลังเขาโดยไว ตอนนี้คงถึงเวลาต้องสั่งสอนเด็กเหลือขอคนนี้สักหน่อยแล้ว

ทว่าทันใดนั้นเอง ฉากภาพอันน่าเหลือเชื่อพลันเกิดขึ้น!

เหอจื่อปัดมือฉีเล่ยทิ้งและพุ่งเข้าประชิดวงในหม่ารุ่ยด้วยสเต็ปเท้าราวกับนักมวยอาชีพ เธอรีบเบี่ยงตัวไปด้านหลังล็อกแขนของอีกฝ่ายไม่ให้ชยับเขยือนไปไหน และใช้เข่าของเธอเจาะยางอีกฝ่ายจนร่างทรุดลงกับพื้น

ตุบ!

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากเพียงแค่เสี้ยวินาที หม่ารุ่ยสับสนจนทำอะไรไม่ถูก ทว่าเหอจื่อยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เธอจิกผมของอีกฝ่ายพร้อมเหวียงไปฟาดกับกระจกห้องน้ำสุดแรงเกิด!

เกร๊งง!!

กระจกบานนั้นแตกเป็นเสี่ยงเล็กเสี่ยงน้อย พร้อมกับใบหน้าอันหล่อเหลาของหม่ารุ่ยที่แตกยับจนดูน่าเกลียด

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset