ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 94 งานเลี้ยงฉลองวันเกิด

ตอนที่94 งานเลี้ยงฉลองวันเกิด

“ไปร้องคาราโอเกะกันงั้นเหรอ?” ฉีเล่ยถามขึ้น

“ใช่ค่ะอาจารย์ฉี” เหอจื่อร้องตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง

ฉีเล่ยทำสีหน้าท่าทางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามกลับไปว่า “แต่ทุกคนในงานต่างก็เป็นนักศึกษากันหมด แล้วผมเป็นอาจารย์เพียงคนเดียว จะไม่ทำให้งานเลี้ยงกร่อยลงเหรอ?”

เหอจื่อหรี่ตามองพร้อมกับยิ้มกว้าง “อาจารย์ฉีคะ อาจารย์ฉีไม่ใช่อาจารย์แก่ๆเจ้าปัญหาไม่ใช่เหรอคะ?”

ฉีเล่ยถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน “ฮ่าๆๆ พูดได้ดี! ตกลง ผมรับปากจะไปร่วมงาน”

“เย้ๆๆ! งั้นหนูขอไปแจ้งข่าวเพื่อนๆทุกคนก่อนนะคะ” หลังจากร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ เหอจื่อก็รีบวิ่งออกจากห้องไปรายงานผลให้เพื่อนๆทราบทันที

ไม่นานนัก ก็มีเสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งห้อง ฉีเล่ยหยิบโทรศัพท์มือถือออก และอาศัยหน้าจอโทรศัพท์มือถือแทนกระจกส่องดูเหตุการณ์ด้านหลังตนเอง

จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงได้กดโทรออกหาหลี่ถงซี และบอกกับหญิงสาวไปว่า เขาจะต้องไปงานเลี้ยงวันเกิดของนักศึกษาในคลาส และไม่ได้กลับบ้านพร้อมกับเธอในวันนี้

จ้าวหยวนหยวนนั้นเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้ารูปไข่ และยังมีใบหน้าที่เด็กกว่าวัย ทำให้เธอกลายเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักน่าเอ็นดู

เนื่องจากในวันแรกของการเรียนการสอน ‘วิชาการวินิจฉัย’ ของฉีเล่ยในวันแรกนั้น มีนักศึกษาเข้าคลาสไม่มากนัก เขาจึงได้ทำการตรวจวินิจฉัยโรคให้กับนักศึกษาในคลาสฟรี และครั้งนั้นเขาก็พบว่า ที่ช่องท้องของจ้าวหยวนหยวนนั้นมีลักษณะคล้ายก้อนเนื้อก่อตัวขึ้น และจำเป็นต้องทำการตัดทิ้งเสีย เพราะหากปล่อยไว้นานเกินไป จากก้อนเนื้อธรรมดาอาจกลายเป็นเนื้อร้ายเช่นมะเร็งได้!

นับตั้งแต่นั้นมา จ้าวหยวนหยวนก็รู้สึกขอบคุณ และซาบซึ้งในตัวฉีเล่ยมาโดยตลอด

เวลานี้ นักศึกษาทั้งหมดสี่สิบสี่คน รวมฉีเล่ยด้วยก็กลายเป็นสี่สิบห้าคน นักศึกษากลุ่มนี้กว่าครึ่งล้วนแล้วแต่เป็นลูกคนร่ำคนรวยที่มีรถยนต์ส่วนตัว กลุ่มนี้จึงขับรถไปที่ร้านคาราโอเกะ ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งนั่งรถแท็กซี่ไปเจอกันที่ร้าน

นักเรียนบางส่วนบอกให้ฉีเล่ยนั่งรถยนต์ส่วนตัวไปกับกลุ่มแรกก่อน แต่เขาปฏิเสธ ในฐานะที่เขาเป็นอาจารย์ เขาจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของนักศึกษาทั้งหมด เขารอให้นักศึกษาขึ้นรถไปจนหมดเสียก่อน จึงค่อยนั่งรถแท็กซี่ไปพร้อมกับเหอจื่อเป็นคันสุดท้าย

และในที่สุด รถแท็กซี่ที่ฉีเล่ยกับเหอจื่อนั่งมา ก็มาจอดอยู่หน้าร้านคาราโอเกะที่นัดหมายกันไว้

“ร้านคาราโอเกะโหย่วเฉียนเหยิน”

หลังจากก้าวเท้าลงจากรถ ฉีเล่ยก็เงยหน้าขึ้นมองป้ายไฟพร้อมกับพึมพำออกมา “ดูท่าที่นี่คงจะราคาแพงไม่เบาเชียวนะ มากันเยอะขนาดนี้จ้าวหยวนหยวนจะจ่ายไหวเหรอ?”

แม้ว่าฉีเล่ยจะไม่เคยมาสถานบันเทิงแบบนี้มาก่อน แต่ก็ใช่ว่าเขาจะโง่จนกลายเป็นหมูให้ใครเชือดได้ง่ายๆ เพียงแค่มองปราดเดียวชายหนุ่มก็รู้แล้วว่า สถานที่แบบนี้เป็นสถานที่ที่ทำเงินต่อคืนได้มากขนาดไหน?

เหอจื่อหันไปยิ้มให้กับฉีเล่ยพร้อมตอบกลับไปว่า “ไม่ต้องห่วงค่ะอาจารย์ฉี ครอบครัวของหยวนหยวนร่ำรวยมาก พวกเราถล่มได้เต็มที่!”

นักศึกษาที่มาถึงก่อนบางส่วน ต่างก็พากันวิ่งออกมารับฉีเล่ยกับเหอจื่อ และเมื่อทั้งคู่เข้าไปในห้องส่วนตัวที่จองไว้ ฉีเล่ยก็พบว่า ภายในห้องส่วนตัวขนาดใหญ่โตนั้นกลับไม่มีคนหนาแน่นอย่างที่คิด

จ้าวหยวนหยวนรีบวิ่งออกมาทักทายฉีเล่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “อาจารย์ฉีคะ เชิญนั่งตรงกลางเลยค่ะ”

“หยวนหยวน สุขสันต์วันเกิดนะ”

หลังจากทักทายหยวนหยวนแล้ว ฉีเล่ยก็พูดต่อทันที “อาจารย์เพิ่งจะรู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเธอ ก็เลยไม่มีเวลาไปหาซื้อของขวัญมาให้”

“ไม่เป็นไรค่ะอาจารย์ฉี! แค่อาจารย์ยอมมางานเลี้ยงวันเกิดก็นับเป็นของขวัญที่ดีที่สุดของหนูแล้ว”

จากนั้น จ้าวหยวนหยวนก็พูดต่อด้วยแววตาเป็นประกาย “อาจารย์รู้ไหมคะว่า หนูเชิญอาจารย์มาได้นี่ เพื่อนๆผู้หญิงของหนูก็พากันอิจฉาตาร้อนกันหมดแล้ว!”

เหอจื่อรีบร้องขัดขึ้นทันที “เอาล่ะๆ มัวแต่พิธีรีตรองกันอยู่นั่นล่ะ น่ารำคาญชะมัด! ว่าแต่มีอะไรกินบ้างล่ะหยวนหยวน ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว!”

จ้าวหยวนหยวนรีบคว้าแขนของเหอจื่อพร้อมกับลากออกไปทันที “มาตรงนี้เลย ฉันสั่งสเต๊กเตรียมไว้ให้ทุกคนแล้ว อาหารยังไม่พร้อมดี แต่อีกประเดี๋ยวก็จะมีทั้งบาบีคิวแล้วก็อาหารว่างอื่นๆตามมาจ้ะ ถึงตอนนั้นใครอยากกินอะไรก็เลือกกินกันตามสบายเลย”

“นี่หยวนหยวน บอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่เกรงใจ”

เหอจื่อร้องบอกพร้อมกับหัวเราะร่วน ก่อนจะถามขึ้นด้วยความสงสัย  “ว่าแต่ทำไมในห้องถึงได้มีคนน้อยนักล่ะ?”

จ้าวหยวนหยวนตอบกลับไปทันที “ฉันกลัวว่าจองห้องเดียวมันจะแออัดเกินไปน่ะสิ ก็เลยสั่งให้เปิดห้องข้างๆด้วย ตอนนี้เพื่อนๆส่วนหนึ่งก็อยู่ในห้องนั่นแล้ว”

“หืมม ช่างรอบคอบซะจริงๆ!” เหอจื่อหันไปบอกจ้าวหยวนหยวน พร้อมกับใช้ฝ่ามือทั้งสองขยำแก้มของหญิงสาวเล่นอย่างมันมือราวกับกำลังนวดแป้ง

ไม่นานนัก บริกรก็นำเค้กเข้ามาเสริฟให้

แม้ว่ารสชาติของอาหารจะไม่ได้ถึงกับอร่อยล้ำเลิศอะไรนัก แต่สำหรับคนที่กำลังหิวโซมา ไม่ว่ากินอะไรก็คงอร่อยทั้งนั้น ส่วนฉีเล่ยนั้นดูเหมือนนี่จะเป็นการกินสเต๊กครั้งแรกของเขา เขาจึงไม่มีไอเดียว่ารสชาติสเต๊กที่อร่อยควรต้องเป็นรสชาติแบบไหน ก็ได้แต่กินๆเข้าไป

หลังจากกินจนอิ่มแล้ว นักศึกษาชายบางส่วนก็เริ่มรินเหล้าดื่ม และนักศึกษาหญิงบางส่วนที่มั่นใจความสามารถในการดื่มแอลกอฮอล์ของตัวเอง ก็ร่วมดื่มกับนักศึกษาชายด้วยเช่นกัน ในขณะที่บางส่วนก็กำลังเลือกเพลง และบางส่วนก็กำลังร้องเพลงกันอย่างมีความสุข

จากนั้น เหอจื่อก็หยิบไมโครโฟนขึ้นมาประกาศเสียงดัง “ขอบคุณทุกคนที่มาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของหยวนหยวนวันนี้ ฉันขอเป็นตัวแทนเพื่อนๆอวยพรวันให้กับหยวนหยวน ขอให้หยวนหยวนของเรามีแต่ความสุข สวยๆรวยๆแบบนี้ตลอดไป แล้วก็ขอแนะนำแขกคนพิเศษของงาน – อาจารย์ฉีของพวกเรา!”

หลังจากนั้น เหอจื่อก็เริ่มร้องเพลงของนักร้องที่ชื่อหยางเฉียนเม่ย เป็นเพลงที่มีท่วงทำนองอ่อนหวานปนเศร้า เหอจื่อนับเป็นคนที่ร้องเพลงได้ดีมากคนหนึ่ง และทันทีที่หญิงสาวอ้าปากร้องเพลง เธอก็ดูเปลี่ยนไปจากเหอจื่อคนเดิมราวกับเป็นคนละคนเลยทีเดียว

และเมื่อหญิงสาวร้องจบ ภายในห้องคาราโอเกะก็มีเสียงปรบมือดังสนั่น เพื่อนๆผู้ชายต่างก็พากันผิวปากพร้อมกับร้องกริ๊วกร๊าวกันไม่หยุด

เหอจื่อวางไมโครโฟนลง ก่อนจะวิ่งกลับไปนั่งข้างๆฉีเล่ยพร้อมกับร้องบอกเขาว่า  “อาจารย์ฉีคะ หนูเลือกเพลงให้อาจารย์ร้องดีกว่า อาจารย์ถนัดร้องเพลงแบบไหนคะ? หรืออาจารย์มีเพลงอะไรที่ชอบร้อง?”

ฉีเล่ยรีบส่ายหน้าทันที “ไม่ๆ ผมร้องเพลงไม่เป็น!”

“ฮ่าๆๆๆ หนูก็คิดอยู่แล้วว่าอาจารย์ต้องร้องเพลงไม่เป็น หนูแค่ล้อเล่นเท่านั้นล่ะ เสียงเป็นเป็ดอย่างอาจารย์ ขืนปล่อยให้ร้องแค่ประโยคแรก ทุกคนในห้องคงลุกขึ้นวิ่งหนีแทบไม่ทัน ฮ่าๆๆ”

“เห็นจะใช่ ฮ่าๆๆ” หลินหนานเห็นด้วยกับคำพูดของเหอจื่อ

“อาจารย์จะดื่มเบียร์ หรือว่าไวน์แดงดี?” เหอจื่อร้องถามพร้อมกับชูขวดเบียร์กับขวดไวน์แดงในมือทั้งสองข้างขึ้น

ฉีเล่ยส่ายหน้าและตอบกลับไปทันที “ผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ขอเป็นน้ำผลไม้จะดีกว่า”

“จริงเหรอครับอาจารย์ฉี? นี่อาจารย์ไม่ดื่มแอลกอฮอล์จริงๆน่ะเหรอ ไม่อยากจะเชื่อเลย?”

จินเซิงถึงกับส่ายหน้าไปมาพร้อมกับร้องตะโกนออกมาเสียงดัง เขายกแก้วเบียร์ในมือขึ้นชูก่อนจะกระดกเข้าปากรวดเดียวจนหมด ท่าทางของเขาบ่งบอกว่า คืนนี้ไม่เมาไม่เลิกแน่

“ผมไม่ดื่มจริงๆ!”

ฉีเล่ยตอบพร้อมกับหัวเราะหึๆในลำคอ วันนี้นักศึกษาของเขาต่างก็คึกคักและมีความสุขอย่างมาก และดูเหมือนว่าคงหลีกเลี่ยงเรื่องเมามายไปไม่ได้แน่ ในเมื่อนักศึกษาของเขาตั้งใจจะดื่มกันจนเมามายแบบนี้ เขาในฐานะอาจารย์ก็คงต้องรักษาสติสัมปชัญญะของตัวเองให้สมบูรณ์ที่สุด เพื่อที่จะได้คอยดูแลพวกเขา

แต่ดูเหมือนจินเซิงจะไม่ยอมปล่อยฉีเล่ยไปง่ายๆ “ไม่ได้นะครับอาจารย์ฉี อย่างน้อยๆก็ต้องดื่มให้หมดขวด อาจารย์ดูสาวๆพวกนั้นสิ พวกเธอยังดื่มกันอย่างน้อยคนละขวดเลย!”

เหอจื่อรีบพูดเสริมขึ้นเช่นกัน “จริงด้วยค่ะอาจารย์ฉี วันนี้เป็นวันเกิดของหยวนหยวนทั้งที อีกอย่าง ปกติพวกเราก็แทบจะไม่เคยได้มารวมกลุ่มกันมากขนาดนี้มาก่อนเลย ไม่ต้องห่วงค่ะ ถ้าอาจารย์เมา เดี๋ยวหนูไปส่งอาจารย์กลับบ้านเอง!”

จินเซิงหันไปยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมกับถามเหอจื่อว่า “นี่! เธออาสาไปส่งอาจารย์ฉีแบบนี้ กำลังที่จะทำอะไรไม่ดีอยู่รึเปล่า?”

ปกติแล้วจินเซิงไม่ค่อยกล้าที่จะพูดจาแซวเหอจื่อแรงๆแบบนี้นัก แต่เพราะวันนี้บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกนาน ทำให้เขามีความกล้ามากขึ้น

“ก็ถ้าอาจารย์ฉีไม่ปฏิเสธ ก็…” เหอจื่อหยุดพูดแค่นั้น ก่อนจะพูดต่อว่า “ฉันก็พร้อมที่จะหุงข้าวสารให้เป็นข้าวสุกนะ”

“……”

ฉีเลย่ถึงกับทำหน้าไม่ถูก สีหน้าของเขากระอักกระอ่วน และได้แต่คิดในใจว่า นี่เธอไม่เคยคิดว่าฉันเป็นอาจารย์เลยสินะ! ช่วยปฏิบัติต่อฉันเหมือนเป็นอาจารย์คนหนึ่งจะได้ไหม?

จินเซิงดูเหมือนจะรู้ใจฉีเล่ย แต่เขากลับหันมาหยอกล้อชายหนุ่มด้วยการตบไหล่และพูดขึ้นว่า “นี่อาจารย์ฉี อยู่ในคลาสพวกเราก็เป็นลูกศิษย์อาจารย์กัน แต่ออกมาข้างนอกแบบนี้ พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ได้หรือไง?”

“ได้สิ!”

“ถ้าได้ก็ดื่มเลย! ดื่มเลยๆๆ”

นักศึกษาชายที่อยู่ในห้องคาราโอเกะ ต่างก็ร้องตะโกนส่งเสียงเชียร์ให้ฉีเล่ยดิ่มเบียร์ในขวดให้หมด

ฉีเล่ยได้แต่ยิ้มขื่นพร้อมกับหันไปคว้าขวดเบียร์มาจากมือของเหอจื่อ และบอกกับทุกคนว่า “เอาล่ะ ผมจะดื่มเบียร์ขวดนี้ให้หมด แต่ตกลงกันก่อนนะว่าแค่ขวดเดียวเท่านั้น!”

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset