ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 97 ร้อยต่อหนึ่ง

ตอนที่97 ร้อยต่อหนึ่ง

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาจริงขึ้นมา จินเซิงก็รีบชูขวดปากฉลามขึ้นจ่อตรงหน้าทันที

ฉีเล่ยฉุดแขนของเขากลับมาพร้อมตะโกนสั่งว่า

“ไปหลบหลังผม”

“อาจารย์ฉี…”

“ไปหลบหลังผมให้หมด ห้ามใครขยับเด็ดขาด”

น้ำเสียงของฉีเล่ยฟังดูเด็ดขาดราวกับใครกล้าขัดคำสั่งคนนั้นตาย!

“ดีที่แกยังมีความกล้าอยู่บ้าง”

ชายวัยกลางคนเอ่ยปากชมและหันไปสั่งการว่า

“ทำให้มันเป็นง่อยก่อน”

บอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำคนแรกพุ่งโจมตีเข้าใส่โดยตรง ทว่าไม่นานฉีเล่ยก็ยกมือขึ้นรับกำปั้นอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย เสี้ยวอึดใจต่อมา ดัชนีทั้งสามสิบสองจุดถูกสกัดทั่วร่างกำยำใหญ่ของบอดี้การ์ดคนนั้นอย่างรวดเร็วจนยากที่จะมองเห็นด้วยตาเปล่า ก่อนจะล้มลงกับพื้นเห่าหอนคร่ำครวญเสียงดังสนั่นด้วยความเจ็บปวด

บอดี้การ์ดคอที่สองพุ่งเข้ามาตรงหน้า ทว่าผลลัพธ์ยังคงเหมือนเดิม

ขณะที่บอดี้การ์ดคนที่สามกำลังเข้าโจมตี กลับหยุดชะงักกลางทาง…

เขารู้สึกสับสนอย่างยิ่งกับอาการบาดเจ็บของสหายสองคนก่อนหน้า ไม่ทราบเลยสักนิดว่าฉีเล่ยทำได้อย่างไร คล้ายว่าอีกฝ่ายเคลื่อนไหวอะไรสักอย่างเป็นเงาซ้อนวูบวาบ เพียงชั่วพริบตาต่อมา สหายทั้งสองของเขาก็นอนกองกับพื้นแล้ว

ชายวัยกลางคนตะโกนขึ้นทันทีว่า

“ระวังตัวด้วยพวกแก! ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ธรรมดา!”

“หัวหน้า ผมใช้มีดได้ไหมครับ?”

บอดี้การ์ดคนที่สามเอ่ยถามขึ้น

“ใช้ไปเถอะ ไม่ต้องซ่อน”

น้ำเสียงที่เปล่งดังออกมาของชายวัยกลางคนดูไม่แยแส และไม่ได้เกรงกลัวเลยว่าอีกฝ่ายจะเป็นหรือตาย

บอดี้การ์ดคนหนึ่งตะโกนขึ้นทันทีว่า

“พี่น้อง จุดไฟบนมีด!”

ฉีเล่ยขมวดคิ้วขึ้นทันที ต่อให้ร้อยต่อหนึ่ง มันก็ไม่ใช่คู่มือของเขาเลยก็จริง แต่จะให้ปกป้องพวกนักศึกษาระหว่างต่อสู้กับพวกใช้อาวุธโดยไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ มันถือเป็นโจทย์ที่ยากมาก ในท้ายที่สุดนี้จำนวนเด็กที่เฉีเล่ยจำเป็นต้องปกป้องมีมากเกินไป เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมุ่งจุดสนใจในการพิฆาตศัตรูทั้งหมดโดยเร็วที่สุด คมมีดไม่มีตา ดังนั้นก็ต้องจัดการกับคนถือคมมีดก่อนเป็นอับดับแรก ถ้าเด็กๆพวกนี้เป็นอะไรขึ้นมาเกรงว่าเรื่องจะไม่จบเพียงเท่านี้แน่นอน

ไม่ต้องพูดถึงบาดแผลที่อาจเกิดจากคมมีดฟันใส่ เพียงแค่เกิดรอยแผลช้ำม่วงหรือห้อเลือดกับพวกนักศึกษาแค่สองสามคนก็เป็นเรื่องใหญ่แล้ว

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่มีข้อกังวลเรื่องพวกนี้เลย กล่าวได้ว่าเมื่อปราศจากข้อจำกัดหรือเงื่อนไขต่างๆภายใต้สถานการณ์การต่อสู้ พวกย่อมสะดวกในการลงมือกว่าฉีเล่ยมาก คมมีดติดไฟที่เกิดจากการราดน้ำมันใส่ปรวดพุ่งมาที่หน้าอกของฉีเล่ย ทันที ส่วนอีกเล่มหนึ่งหันทิศทางไปหาพวกกลุ่มนักศึกษา ดูจากท่าทางของคนพวกนี้แล้ว มันคิดจะเอาถึงตายจริงๆ

คมมีดติดไฟนับไม่ถ้วนพวยพุ่งกระหน่ำเข้าใส่โดยพร้อมเพรียง จากรูปการณ์ในตอนนี้ดูเหมือนว่าฉีเล่ยกำลังตกอยู่ในอันตราย ทว่าความเป็นจริง เขากลับสามารถจัดการกับพวกมันได้อย่างง่ายดาย เบี่ยงตัวหลบไปทางซ้านทีขวาที หลบปลายคมมีดที่จู่โจมเข้าใส่ สกัดขาป้องกันไม่ให้พวกที่เหลือมุ่งคมมีดใส่เหล่าลูกศิษย์ของเขาได้ พอได้จังหวะโต้สวนก็หยิบใช้ดัชนีจิ้มทะลวงเข้ากลางหน้าผากของบอดี้การ์ดคนหนึ่ง เสมือนกับว่าจู่ๆบอดี้การ์ดคนนี้ก็ธาตุไฟแตกซ่าน กรีดร้องลั่นราวกับคนเสียสติ ก่อนจะหมดสติลงไป อีกคนรีบตรงเข้ามาตรงหน้าพร้อมคมมีดติดไฟภายในมือ ทว่าก่อนจะเข้าถึงตัวฉีเล่ยได้ ขาทั้งงสองข้างพลันรู้สึกชาเฉียบพลัน และล้มหัวทิ่มกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง

จินเซิงไม่สามารถทนดูอยู่เฉยๆได้อีกต่อไป เขารีบกระโดดเข้าร่วมการต่อสู้ทันที โดยยกขวดปากฉลามขึ้นกระสวกท้องบอดี้การ์ดคนหนึ่งที่ลอบโจมตีใส่ฉีเล่ยจากด้านข้าง เลือดสดสีแดงฉานพุ่งทะลักออกมาอย่างกับน้ำพุ ยกมือขึ้นกุมหน้าท้องด้วยความเจ็บลปวดก่อนจะล้มตึงลงกับพื้นในที่สุด

เมื่อเห็นเจียเซิงเปิดฉาก นักศึกษาชายที่เหลือก็แห่กันเข้ามาช่วยเหลือทันที

ฉีเล่ยที่เห็นดังนั้นถึงกับอุทานลั่นสาปแช่งในใจ ถ้าศัตรูทั้งหมดมุ่งเป้าหมายใส่เขาแค่คนเดียว มันจะเป็นเรื่องง่ายมากที่จะจัดการกับพวกมันทั้งหมดในคราวเดียว แต่พอพวกลูกศิษย์ของเขาเคลื่อนไหว นั้นเท่ากับว่า พวกมันจะเริ่มเบนเป้าหมายไปทางอื่นนอกจากเขาแทนคล้ายกับมดแตกรัง ทุกอย่างจะเกิดความโกลาหลขึ้นทันที และฉีเล่ยเองก็ใช่ว่าจะมีสามหัวหกแขน ที่จะเข้าดูแลผู้คนจำนวนมากในเวลาเดียวกันได้

ในเวลาแบบนี้ไม่รู้ทำไม ฉีเล่ยพลันรู้สึกคิดถึงกวนไห่ผิงขึ้นมาอย่างสุดซึ้ง ตราบใดที่กวนไห่ผิงอยู่ที่นี่และเข้าร่วมมือกับเขา ประสิทธิภาพในการต่อสู้คงเพิ่มพูนขึ้นอย่างน้อยสามเท่าทวี!

อัปเปอร์คัตใส่บอดี้การ์ดคนหนึ่งจนร่วงลงไป เหอจื่อรีบเข้าไปซ่อนตัวอยู่หลังโซฟามุมหนึ่ง เพื่อหลี้ภัยออกจากสมรภูมิเดือดแห่งนี้ชั่วขณะ จากนั้นเธอก็รีบหยิบมือถือโทรออกไปทันที

“มู่เซียวหยาน! ลูกสาวคนนี้ใกล้จะโดนแทงตายแล้ว!”

“หะ?!! แกอยู่ไหน? แกอยู่ที่ไหน?! ใครหน้าไหนมันกล้าแทงลูกสาวฉันห่ะ?! บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าแกอยู่ที่ไหน!!?”

ปลายสายโทรศัพท์ แม่ของเหอจื่อกรีดร้องลั่นทันทีด้วยความโกรธจัด

“อยู่ที่KTVโหย่วเฉียนเหยิน ถามทำไมเนี่ย? ตอนนี้หนูกำลังสู้กับพวกมันอยู่! จะตายอยู่แล้ว! แม่รู้ไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร?”

เหอจื่อกล่าวโต้ทันทีอย่างกังวลใจ

“เจ้าเด็กโง่! ทำไมแกนี่ชอบทำให้ฉันเป็นห่วงนักนะ! รอก่อนนะ แม่ใกล้ไปถึงที่นั่นแล้ว!”

“แล้วแม่จะมาทำไมที่นี่! ให้พวกมันฆ่าทิ้งเล่นรึไง!? รีบส่งพ่อมาที่นี่เดี๋ยวนี้!”

เหอจื่อแหกปากตะโกนลั่นแทบระเบิดอารมณ์ใส่แม่บังเกิดเกล้าเต็มทน เธอกลัวว่าแม่วัยใสของตัวเองจะมาฆ่าตัวตายที่นี่ซะมากกว่า

ชุดสูทสีน้ำเงินยี่ห้อArmaniผนวกกับท่วงท่ากระบวนต่อสู้อันเฉียบคมของฉีเล่ย เห็นแล้วเท่เป็นบ้า

ในแต่ละกระบวนท่าที่เคลื่อนไหวออกไปของฉีเล่ย ทำให้เกิดเสียงเสียดอากาศดังหวือหวาด ฟังแล้วดูเหมือนกับฉากประลองยุทธ์ของหนังจีนกำลังภายใน ถึงจะดูเป็นภาพฉากน่าประทับใจ แต่ในความเป็นจริง เสียงดังกล่าวเกิดจากวัสดุและเนื้อผ้าของชุดสูทไม่ดีพอ ทำให้ความยืดหยุ่นอยู่ในระดับที่ต่ำ จึงก่อให้เกิดเสียงฉีกขาดของเนื้อผ้า

ถึงกระนั้น แต่ละกระบวนเคลื่อนไหวของฉีเล่ยยังคงรวดเร็วเกินกว่าจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พวกศัตรูไม่แม้แต่มีเวลาตั้งตัวใดๆ วิสัยทัศน์เบื้องหน้าเห็นเพียงเงาสายหนึ่งที่ปรวดพุ่งเข้ามา ก่อนที่จะรู้สึกตัวอีกทีก็นอนหมดสภาพอยู่คาพื้นแล้ว

ตั้งแต่เริ่มต่อสู้จวบจนบัดนี้ ฉีเล่ยใช้เพียงดัชนีสองนิ้วเพื่อจู่โจมเท่านั้น โดยการสกัดจุดฝังเข็มลงบนร่างกายของพวกบอดี้การ์ดเท่านั้น ไม่ถึงขั้นฆ่าแกงกันจริงๆ

ถ้าหากให้ฉีเล่ยเปลี่ยนจากดัชนีสองนิ้วเป็นกำปั้นจริงล่ะก็ ปานนี้พวกมันหลายคนคงตายไปนานแล้ว

ฉีเล่ยบิดข้อมือบีบให้อีกฝ่ายยอมปล่อยคมมืดลง ก่อนจะกระตุกข้อกระดูกให้หลุดออกจากเบ่าและผลักร่างอีกฝ่ายจนเซล้มไป อีกฝ่ายพยายามคลานขึ้นมานั่งกับพื้นจับข้อมือแม้แต่จะร้องยังไม่มีเสียง ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำแสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดสุดพรรณนา

ข้อมือของหมอนี่หลุดออกมาแล้ว

เมื่อเห็นว่าพวกบอดี้การ์ดของตนไม่สามารถแตะเนื้อต้องตัวฉีเล่ยได้เลยแม้แต่ปลายเล็บ ชายวัยกลางคนผู้นั้นก็เสียสูญไปชั่วขณะก่อนถ่มน้ำลายลงพื้นไปที สบถขึ้นว่า

“ไอ้พวกสวะ!”

“เห้ย! พวกแกเอาเพื่อนรักมาด้วยไม่ใช่รึไง! ควักออกมายิงมันเลยสิ!”

หม่ารุ่ยกล่าวกระตุ้นพวกบอดี้การ์ดที่ยังเหลืออยู่ทันที

ชายวัยกลางคนเหลือบหางตามองหม่ารุ่ยเล็กน้อย ก่อนจะล้วงกระเป๋าเสื้อด้านในหยิบปืนพกของตนออกมา และส่งให้อีกฝ่ายโดยตรง

“คงรู้จักวิธีเหนี่ยวไกลนะ อยากยิงก็ยิงเอง”

ชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ใช่คนโง่ ตราบใดที่เขาหยิบปืนออกมา นั่นเท่ากับว่าสถานการณ์ความรุนแรงจะบานปลายขึ้นทันที ที่เขามายืนอยู่ตรงนี้ก็เพื่อช่วยเหลือคนอื่นไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ดังนั้นเขาจำเป็นต้องขึ้นขั้นลงมือเองให้เสี่ยงเปล่า

ช่วงเวลากดดันบีบเค้นเข้ามา หม่ารุ่ยค่อยๆยื่นมือที่สั่นเทาออกไปจับด้ามปืน เขาอยากจะฆ่าฉีเล่ยทิ้งด้วยกระสุนปืนจริงๆ

อย่างไรก็ตาม หลังจากลังเลอยู่นาน เขาก็วางปืนกลับคืนอีกฝ่ายไปพร้อมยิ้มเยาะกับตัวเองว่า

“ลืมมันไปเถอะ ผมไม่กล้าใช้เจ้าสิ่งนี้จริงๆ”

ชายวัยกลางคนเก็บปืนลง และหันมากล่าวกับหม่ารุ่ยว่า

“แกคิดว่าฉันโง่นักรึไง? จะยืมมือฉันฆ่าไอ้หมอนี่ ส่วนแกก็ไม่ต้องทำอะไรเลยงั้นเหรอ? เหอะ ใจเสาะจริงๆ! ขนาดมีปืนอยู่กับมือยังไม่กล้าแม้แต่จะเหนียวไกเลย!”

หม่ารุ่ยหัวเราะแห้งแก้เขิน

“ผมแค่พูดออกไปโดยไม่ยั้งคิดน่ะครับ ผะ-ผม…ผมจะกล้าใช้คุณทำแบบนั้นได้ยังไง?”

ชายวัยกลางคนผู้นั้นโยนก้นบุหรี่ทิ้ง พลางกระทืบเท้าบดละเอียดอยู่คาพื้น จากนั้นก็กวาดสายตามองดูสถานการณ์การต่อสู้อันแสนยุ่งเหยิงภายในห้อง เขากล่าวขึ้นว่า

“จู่ๆแกไปมีเรื่องกับไอ้หมอนี่ได้ยังไง? ไอ้หมอนี่เป็นคนที่ไม่ควรยุ่งด้วยแท้ๆ…แต่แกก็พาซวยจนได้! แกลองแหกตาดูสิว่า มีพี่น้องของฉันจำนวนมากแค่ไหนที่โดนมันจัดการไปภายในเวลาไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ! ”

สีหน้าของหม่ารุ่ยดูน่าเกลียดอย่างมาก ใครจะไปคิดว่าหมอนี่จะเก่งด้านศิลปะการต่อสู้แบบนี้กัน? เขารีบกล่าวตอบไปทันที

“เวร! ผมไม่รู้จริงๆครับว่ามันจะสู้เก่งขนาดนี้ หรือ…ควรเรียกคนมาเพิ่มดีไหมครับ?”

“เรียกคนมาเพิ่ม? คนอย่างฉันเคยเรียกคนมาเพิ่มตั้งแต่ตอนไหนกัน! ถ้าทำแบบนั้นชื่อเสียงของพี่ชายแกคนนี้พังไม่เป็นท่า! ครั้งนี้แกทำมากเกินไปจริงๆ อย่าลืมชดใช้ความเสียหายที่ก่อไว้ด้วยหลังจากนี้ นี่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้เลย!”

“ครับ เดี๋ยวผมเลี้ยงเหล่าพี่น้องพวกนี้เพื่อเป็นการไถ่โทษทีหลังครับ”

ชายวัยกลางคนพยักหน้าและเดินขึ้นหน้าแผดเสียงตะโกนดังลั่น

“ทุกคนหยุด!”

เมื่อได้ยินเสียงคำสั่งการของเขา บอดี้การ์ดทุกคนในห้องพลันหยุดมือในทันที ส่วนพวกที่บาดเจ็บก็นอนร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดไม่หยุดหย่อนอยู่บนพื้น บางคนพยายามคลานเข้าหาแทบเท้าของชายวัยกลางคน

บอดี้การ์ดคนหนึ่งโดนขวดปากฉลามแทงบริเวณต้นขากระเผกเข้ามากล่าวว่า

“หัวหน้า พวกเราพยายามสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ยังหยุดพวกมันไม่ได้!”

ชายวัยกลางคนกล่าวตอบอย่างไม่ค่อยพอใจว่า

“ก็ใครขอให้พวกมันเป็นนักศึกษากันล่ะ! ถ้าเราเผลอฆ่าพวกมันไปจริงๆ มีหวังเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นกันที่นี่แน่นอน!”

ฉีเล่ยลูบข้อมือของตนเล็กน้อย สำหรับศึกการต่อสู้ครั้งนี้ เขาใช้พละกำลังที่มีไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ แต่ก็ถือว่าได้ออกกำลังกายชุดใหญ่ หากเขาต้องเอาจริงกับคนพวกนี้ มีหวังพวกบอดี้การ์ดคงมีชะตากรรมแบบเดียวกับหลิวไห่หยางในตอนนั้นล

“คุณเองก็ตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหานี้เหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ?”

ฉีเล่ยหรี่ตาแคบจับจ้องไปที่ชายวัยกลางคนผู้นั้นและกล่าวต่อว่า

“ทั้งๆที่รู้ว่าหากเผลอทำอะไรนักศึกษาพวกนี้ลงไป ผลที่ตามมาจะเป็นยังไง? แต่คุณก็ยังเลือกที่จะลงมือ?”

คล้อยหลังพูดจบ ฉีเล่ยพลันรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างมันแปลกๆ ทั้งที่การต่อสู้ดังกล่าวกินพื้นที่เป็นวงค่อนข้างกว้าง น่าจะมีเสียงดังระหว่างชุลมุนเล็ดลอดบ้างไม่ใช่เหรอ? แต่ทำไมถึงไม่มีพนักงานของKTVออกมากันสักคน? แถมไม่มีใครโทรแจ้งตำรวจเลยด้วย?

ดูท่ากลุ่มคนพวกนี้น่าจะถาบทามไปบอกพวกKTVล่วงหน้าแล้ว หรือไม่แน่บางที คนพวกนี้อาจจะสมรู้ร่วมคิดกันตั้งแต่แรก

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset