ตอนที่ 342 สองต่อหนึ่ง
เย่เชียนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะสามารถข่มคนอื่นได้โดยอาศัยออร่าและจิตวิญญาณอันแข็งกล้าของตัวเองเว้นแต่เขาจะเป็นผู้ฝึกตนอย่างหูวเค่อ เพราะเย่เชียนนั้นก็แค่ต้องการใช้สมาธิและจิตวิญญาณของเขาเพื่อสร้างความกดดันให้อีกฝ่ายเพื่อให้อีกฝ่ายไม่มีความมั่นใจในตัวเองเหมือนเดิมอีกต่อไป
ความมั่นใจในตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากสำหรับการดวลระดับยอดฝีมือหรือปรมาจารย์ เพราะในมุมมองของเย่เชียนนั้นถ้าหากใครไม่มีความมุ่งมั่นที่จะสู้และฝ่าฟันไปล่ะก็เมื่อนั้นในเวลาที่เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ด้วยพละกำลังของตัวเองเพียงอย่างเดียวนั้นมันก็มีแต่จะพ่ายแพ้ไป
ดวงตาของเย่เชียนนั้นคมดั่งมีดและในทันใดนั้นเย่เชียนก็พุ่งเข้าหาทั้งสองคน ซึ่งความเร็วนั้นมันเร็วมากจนผู้คนต่างก็ตกตะลึงรวมไปถึงอุเอโนะกับอันคยองซูด้วยเช่นกันแต่ทว่าตอนนี้พวกเขาทั้งสองก็ยังคงคุมสติและสมาธิได้อยู่เพราะเมื่อพวกเขาเห็นเย่เชียนพุ่งมาหาพวกเขาเช่นนี้แล้วพวกเขาทั้งสองก็สวนกลับเย่เชียนในทันทีโดยอุเอโนะใช้หมัดคาราเต้ส่วนอันคยองซูนั้นใช้ขาเตะไปที่เย่เชียนตรงๆ
อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวของพวกเขาทั้งสองนั้นก็ช้าอย่างมากในสายตาของเย่เชียนจึงโดนหมัดปาจี๋ที่ทรงพลังของเย่เชียนเข้ากลางลำตัวจนอุเอโนะกระเด็นออกไปจากเวทีอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงกระดูกที่หักก็ดังเข้ามาในหูของเขาอย่างชัดเจนและแม้แต่หูวเค่อเองก็ถึงประหลาดใจและเธอก็รู้สึกหวาดกลัวไปกับการระเบิดพลังที่หมัดของเย่เชียน
อุเอโนะก็จับเอวของตัวเองในส่วนที่ซี่โครงหักแล้วเขาก็ขมวดคิ้วแน่นพร้อมกับสีหน้าที่เจ็บปวดและด้วยความช่วยเหลือจากลูกศิษย์ของเขาที่ช่วยพยุงเขาขึ้นนั้นในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นยืนได้
“ฮ่าๆ ..มันจบแล้วเหรอ..แกไม่ได้บอกว่าแกสามารถจัดการใครบางคนได้ในห้านาทีหรอกเหรอ?” อันคยองซูพูดอย่างประชดประชันและเย้ยหยันอย่างมาก
อุเอโนะก็ตัวสั่นเล็กน้อยและฝืนตะโกนโต้กลับว่า “อย่าได้ใจไป..เดี๋ยวแกก็รู้!”
อันคยองซูก็พูดอย่างเย้ยหยันว่า “คอยดูก็แล้วกันว่าฉันเอาชนะเขาได้ยังไง” ถึงแม้ว่าเขาจะพูดอย่างนั้นแต่อันคยองซูก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขานั้นก็คงจะเหมือนกับอุเอโนะเพราะเหตุผลที่อุเอโนะเป็นคนแรกที่โดนจัดการไปนั้นมันก็เป็นเพียงแค่ความโชคดีของเขาที่เป้าหมายแรกของเย่เชียนก็คืออุเอโนะเองเพราะถ้าหากเป็นเขาล่ะก็เขาก็คงจะได้ผลลัพธ์เหมือนกับอุเอโนอย่างแน่นอน
หลังจากที่เย่เชียนเอาชนะอุเอโนะไปได้เขาก็ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเพราะเขาหันกลับมาอย่างสวยงามและหลบการเตะจากด้านข้างของอันคยองซูและหลังจากนั้นลูกเตะของอันคยองซูก็เลยผ่านไปโดยเย่เชียนได้ใช้จังหวะนี้เตะสวนขาของอันคยองซูไปด้วยการแกว่งขาหลังใส่ของอันคยองซูอย่างรวดเร็วและรุนแรงซึ่งทำให้กระดูกขาของอันคยองซูหักหักอย่างรุนแรงและในทันใดนั้นอันคยองซูก็ส่งเสียงร้องโอดครวญอย่างน่าสังเวช
จากนั้นเย่เชียนก็หมุนตัวกลับมาและเหวี่ยงขาของเขาไปที่หัวของอันคยองซูอย่างแรง ซึ่งอันคยองซูนั้นก็รู้สึกได้แค่เพียงเสียงวิ้งๆ ในหูของเขาและสติของเขาก็ดับวูบไปและร่างของเขาก็ล้มลงไปกับพื้น
เสียงปรบมือดังกึกก้องในทันทีจากข้างสนามและเหล่าคนหนุ่มสาวต่างก็ตะโกนชื่อของเย่เชียนกันอย่างบ้าคลั่งโดยมีกล้องของนักข่าวจากสื่อมวลชนต่างก็จับจ้องไปที่เย่เชียนอย่างสง่าผ่าเผย และหลายคนก็เชื่อว่าทันทีที่วันนี้ผ่านพ้นไปเย่เชียนนั้นจะต้องกลายเป็นบุคคลที่โด่งดังที่สุดในไต้หวันทันทีอย่างแน่นอน
เหล่าลูกศิษย์จากสโมสรเทควันโดของอันคยองซูก็รีบขึ้นมาช่วยแบกร่างของอันคยองซูลงจากเวทีไป ส่วนเย่เชียนก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดว่า “อย่าลืมเรื่องที่เดิมพันกันเอาไว้นะ..พวกคุณต้องว่ายน้ำกลับประเทศบ้านเกิดของพวกคุณและผมก็หวังว่าพวกคุณคงจะไม่เจอฉลามนะ..พี่ๆ น้องๆ จากสื่อมวลชนและทุกๆ คนที่อยู่ที่นี่พวกคุณเป็นสักขีพยานและคอยดูแลว่าพวกเขาทั้งสองจะว่ายน้ำกลับไปหรือเปล่า!”
เหล่าลูกศิษย์ของอุเอโนะและอันคยองซูก็รู้สึกอับอายกันอย่างมากและพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหาช่องทางเพื่อจะหนีออกไป
เย่เชียนก็โบกมือเพื่อหยุดเสียงตะโกนเชียร์ของเหล่าหนุ่มสาวที่อยู่ด้านล่างข้างขอบสนามและพูดอย่างช้าๆ ว่า “ทุกคนไม่ต้องกังวลไปครับ..เพราะว่าสโมสรโรงยิมศิลปะการต่อสู้ของเราสาขาอื่นๆ นั้นจะถูกจัดตั้งขึ้นในไม่ช้านี้..และพวกคุณก็สามารถไปที่นั่นเพื่อลงทะเบียนได้ในเร้วๆ นี้ครับ”
มีเสียงตะโกนและเสียงปรบมือดังมาจากด้านล่างอีกครั้งและด้วยเหตุนี้นั้นสโมสรโรงยิมศิลปะการต่อสู้ของเครือน่านฟ้ากรุ๊ปนั้นแทบจะเป็นเพียงสถาบันเดียวในเมืองไทเปที่สามารถรับสมัครลูกศิษย์จำนวนมากได้ในเวลาไม่กี่วันและชายหนุ่มกับหญิงสาวเหล่านั้นก็จะได้พูดกันอย่างภาคภูมิใจว่า ‘ฉันเป็นสมาชิกของสโมสรโรงยิมเครือน่านฟ้ากรุ๊ปและท่านเย่เชียนก็เป็นเจ้าของสโมสรโรงยิมของเรา!’ ซึ่งท่าทางและการพูดเช่นนี้นั้นสำหรับพวกเขาแล้วมันน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าการขึ้นบัลลังก์ของจักรพรรดิเสียอีก
และอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่จะก็เกิดขึ้นในสโมสรและโรงยิมอื่นๆ โดยครูฝึกหรืออาจารย์ผู้สอนประจำที่จะมาเข้าสอนในตอนเช้าและเขาก็จะได้พบว่าห้องทั้งห้องนั้นว่างเปล่าและไร้นักเรียนกับลูกศิษย์ไปอย่างสมบูรณ์และเขาก็จะไปถามป้าแม่บ้านที่กำลังกวาดพื้นด้วยความประหลาดใจว่า “ป้า..แล้วพวกนักเรียนไปไหนกันหมดล่ะ..ทำไมวันนี้ไม่มีใครมาเลย”
ป้าแม่บ้านก็มองเขาอย่างเย้ยหยันและพูดว่า “พวกเขาไปเรียนกันที่สโมสรโรงยิมเครือน่านฟ้ากรุ๊ปแล้ว..เพราะงั้นสโมสรคาราเต้หรือเทควันโดน่ะไม่มีอีกแล้ว..ฉันก็กำลังจะมาบอกคุณว่าฉันจะลาออกแล้วไปทำงานที่สโมสรโรงยิมเครือน่านฟ้ากรุ๊ปเหมือนกัน”
นี่จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสโมสรโรงยิมทุกแห่งในอนาคตดังนั้นก็จะไม่พูดถึงมันในตอนนี้
หลังจากจัดพิธีเปิดสโมสรโรงยิมเครือน่านฟ้ากรุ๊ปอย่างเป็นทางการแล้วหูวเค่อก็แอบพาเย่เชียนออกไปทางด้านหลัง นั่นก็เพราะว่าพวกเขาได้เห็นแล้วว่าเหล่าหญิงสาวและเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เหล่านั้นมีความกระตือรือร้นมากเพียงใดซึ่งถ้าหากเย่เชียนยังอยู่ที่นั่นต่ออีกล่ะก็พวกเธอก็คงจะกรูเข้ามาลุมเย่เชียนอย่างแน่นอน
หลังจากที่พวกเขาขึ้นรถกันแล้วเย่เชียนก็ขับรถพาหูวเค่อออกจากสโมสรโรงยิมไปและทิ้งเรื่องต่างๆ เอาไว้ให้เฉินโม่ทำต่อ นั่นก็เพราะว่าเย่เชียนนั้นไม่เคยชอบที่จะดูแลเรื่องแบบนี้มากนักนั่นก็เพราะว่าสิ่งใดที่ต้องตามเช็ดตามแก้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นั้นมันก็เป็นสิ่งสมควรที่จะให้ผู้ใต้บังคับบัญชาลงมือทำซึ่งนั่นก็เป็นคำที่สมเหตุสมผลที่สุดสำหรับเย่เชียนแล้ว
“พลังหมัดของคุณแข็งแกร่งมากเลยนะคะ..ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคุณจะสามารถเอาชนะยอดฝีมือสองคนได้ในระยะเวลาสั้นๆ แบบนี้” หูวเค่อพูด
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างมีความสุขและพูดว่า “เป็นไงล่ะคนสวย? ..ผมเท่มั้ยล่ะ..หืม..ในสายตาของคุณผมไม่หล่อบ้างเลยหรอ?”
หูวเค่อก็มองค้อนเย่เชียนด้วยหางตาและพูดว่า “ก็งั้นๆ น่ะ..ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษเลย”
“นี่คุณตาบอดหรอ..คุณไม่เห็นพวกผู้หญิงเหล่านั้นที่กรีดร้องเรียกชื่อผมกันอย่างเร่าร้อนเลยหรอ..ตอนนี้พวกเธอคงจะรอแทบไม่ไหวแล้วที่จะตะครุบและขย้ำผมน่ะ” เย่เชียนพูดต่อ “เอาเถอะๆ ..แล้วคุณล่ะ? ..คุณอยากไปไหนมั้ย..หรือจะไปช้อปปิ้งกันมั้ย..ในอนาคตคุณอาจจะยุ่งจนไม่มีเวลาก็ได้นะ”
“ฉันไม่ค่อยคุ้นเคยกับไต้หวันเลยน่ะ..คุณพาฉันไปที่ที่มีทิวทัศน์สวยๆ หน่อยได้มั้ยคะ” หูวเค่อพูด
“อ๋อ..งั้นเราไปภูเขาเจ้าแม่กวนอิมดีมั้ย..ที่นั่นวิวและทิวทัศน์ดีมาก” เย่เชียนพูด ซึ่งหลังจากพูดจบเขาก็เหยียบคันเร่งหนักขึ้นเพื่อรีบขับรถตรงไปยังชานเมืองของเมืองไทเป
ภูเขาเจ้าแม่กวนอิมนั้นเป็นภูเขาที่มีชื่อเสียงในเขตชานเมืองของไทเป ซึ่งรูปร่างของมันนั้นคล้ายกับรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมที่นอนตั้งตระหง่านอยู่ในพื้นที่ทางฝั่งใต้ของแม่น้ำตั้นสุ่ย โดยความสูงของมันนั้นไม่สูงมากนักและเชื่อมต่อกันกับยอดเขาเล็กๆ จำนวน 18 ยอดภูเขาและที่สูงที่สุดก็มีความสูงเพียงแค่ 612 เมตรและเส้นทางบนภูเขานั้นก็มีนักท่องเที่ยวหนาแน่นจึงทำให้มันเป็นจุดชมวิวยอดนิยมแห่งหนึ่งในเขตชานเมืองทางตะวันตกของเมืองไทเปและมีวัดที่มีชื่อเสียงและวัดโบราณหลายแห่งบนภูเขาซึ่งเราก็สามารถเดินกลับไปที่แม่น้ำเพื่อชมน้ำตกชมนกและชมทิวทัศน์ของเมืองไทเปครึ่งเมืองได้อย่างงดงาม
ใช้เวลาไม่นานนักเย่เชียนกับหูวเค่อก็มาถึงเชิงเขาและเย่เชียนก็หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “นี่คนสวย..บอกมาหน่อยสิว่าที่นี่มีสโมสรน้ำพุร้อนขนาดเล็กบ้างมั้ย..แบบที่ผู้ชายและผู้หญิงสามารถอาบน้ำด้วยกันได้น่ะ..เพราะเราสองคนจะได้เปิดห้องส่วนตัวแล้วแช่น้ำด้วยกันน่ะดีมั้ย..น้ำพุร้อนน่ะดีต่อผิวของสาวๆ นะ”
“ตอนนี้คุณดูกะล่อนปลิ้นปล่อนมากขึ้นเรื่อยๆ เลยนะคะ..เห้อ..ฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้” หูวเค่ออดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและถอนหายใจ
“แล้วผมเคยเป็นคนดีด้วยหรอ” เย่เชียนก็พูดต่อ “ยิ่งไปกว่านั้นผมก็คิดว่าเนื่องจากพวกเราสองคนก็เป็นผู้ชายและผู้หญิงเพราะงั้นเราก็ควรจะจีบกันและแกล้งหยอกล้อกันบ้างเป็นครั้งคราวน่ะ..แบบนี้มันจะได้ช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ของเราให้ดีขึ้นนะ..เพราะเราสองคนมักจะคุยกันอย่างจริงจังกันทุกวัน..มันน่าเบื่อนะ..มันไม่เหมือนคู่รักเลยแต่เหมือนกับการรายงานสิ่งต่างๆ ให้หัวหน้ามากกว่าน่ะ..คุณไม่คิดบ้างหรอ?”
หูวเค่อก็ชำเลืองมองเย่เชียนและเธอก็ขี้เกียจที่จะเถียงอะไรกับเขาอีกเพราะเธอนั้นรู้อยู่แก่ใจว่าเธอไม่ใช่คู่ต่อสู้ทางวาจาและอารมณ์กับเย่เชียนเลย
ในขณะที่พวกเขาลงจากรถจู่ๆ ก็ได้ยินเสียง “ตั้ม” ปรากฏว่ารถแท็กซี่คนหนึ่งพุ่งเข้าไปชนที่ท้ายรถส่วนตัวโดยไม่มีเสียงเบรกเลยแม้แต่น้อยซึ่งดูไม่เหมือนอุบัติเหตุแต่อย่างใดแต่กลับดูเหมือนคนขับแท็กซี่นั้นจงใจเสียมากกว่า
หลังจากนั้นไม่นานชายหญิงคู่หนึ่งก็เดินออกจากรถส่วนตัวซึ่งผู้ชายนั้นอายุประมาณ 50 ต้นๆ และผู้หญิงคนนั้นก็อายุประมาณสามสิบต้นๆ ซึ่งในทันใดนั้นก็มีชายฉกรรจ์หลายคนในชุดสูทสีดำปรากฏตัวขึ้นจากรถคันข้างๆ ของพวกเขาโดยผู้ชายเหล่านั้นสวมแว่นกันแดดสีดำซึ่งดูเหมือนบอดี้การ์ดอย่างไงอย่างงั้น
ชายวัยกลางคนก็เดินออกมาจากรถแท็กซี่เช่นกันซึ่งเขาอายุประมาณสามสิบต้นๆ และใบหน้าของเขานั้นก็มีร่องรอยของความมืดมนและหดหู่และรูปร่างของเขาก็ดูซูบผอมอย่างมากซึ่งดูเหมือนคนทำงานหนักและสู้ชีวิตอย่างมาก
“หลี่เต๋อฉวน! ..คืนภรรยาของฉันมาซะ” คนขับแท็กซี่ก็ตะโกนใส่ชายชรา
ชายชราก็หัวเราะเบาๆ และใบหน้าของเขานั้นก็เต็มไปด้วยความรังเกียจและดูถูกและพูดว่า “แกคิดไม่ได้เหรอว่าฉันน่ะไม่ได้ขโมยภรรยาของแกไปสักหน่อย..แต่ภรรยาของแกน่ะเธอมาหาฉันเอง..ถ้าแกไม่เชื่อฉันแกก็ถามเธอเอาเองสิ” เขาพูดและมองไปที่ผู้หญิงในอ้อมแขนของเขา
ผู้หญิงคนนั้นก็ก้มลงไปในอ้อมแขนของชายชราด้วยรอยยิ้มและพูดอย่างเย้ยหยันว่า “หม่าหงจง..นี่คุณโง่ถึงขนาดนี้เลยเหรอ..ฉันกำลังจะทำเรื่องหย่าร้างกับคุณแล้ว..เพราะงั้นตอนนี้เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันแล้ว..คุณมายุ่งกับฉันทำไม..แล้วคุณน่ะมีดีอะไร..คุณไม่สามารถหารายได้มากมายต่อเดือนได้แบบนี้แล้วคุณจะเลี้ยงดูฉันได้ยังไง?”
“เฟิงอิ๋ง! ..นี่คุณไม่แยแสความสัมพันธ์แปดปีของเราในฐานะสามีภรรยาเลยเหรอ..คุณจะโยนมันทิ้งไปแบบนี้น่ะเหรอ..แล้วเสี่ยวหมิงล่ะ? ..เธอยังอยู่ในโรงพยาบาลอยู่เลย..ในฐานะแม่น่ะคุณไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ?” หม่าจงหงพูดอย่างหดหู่
“แล้วไง? ..ค่าผ่าตัดล่ะ 500,000 หยวนน่ะ..คุณจะหาเงินมากมายเหล่านั้นเพื่อมารักษาเธอได้มั้ยล่ะ? ..แล้วทำไมฉันจะห่วงอนาคตของตัวเองไม่ได้กันล่ะ?” เฟิงอิ๋งพูดอย่างไร้ยางอายโดยไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาและในฐานะแม่คนเลยแม้แต่น้อย
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วโดยไม่สมัครใจเพราะการที่มีแม่เช่นนี้นั้นมันก็เท่ากับว่าโลกใบนี้ทั้งใบมันก็เป็นเพียงแค่ขยะ
หม่าหงจงก็กัดฟันแน่นและแสดงออกถึงความเจ็บปวดและความโกรธและความเศร้าและความสิ้นหวังและเขาก็หันกลับไปหยิบมีดจากในรถแท็กซี่แล้วพุ่งเข้าไปหาชายชราพร้อมกับพูดว่า “ฉันฆ่าแก!”
ชายชราก็รีบไปหลับที่ด้านหลังของเฟิงอิ๋งและหลังจากนั้นเหล่าบอดี้การ์ดก็พุ่งมาอยู่ตรงหน้าเขาและคว้ามีดในมือของหม่าหงจงอย่างง่ายดายและเตะเขาออกไปและเหล่าบอดี้การ์ดทั้งสามก็รายล้อมหม่าจงหงเอาไว้และเริ่มชกต่อยและเตะหม่าหงจงอย่างรุนแรง
เฟิงอิ๋งนั้นไม่มีความเมตตาใดๆ เลยแม้แต่น้อยแต่กลับมีเพียงแค่การดูถูกและรังเกียจในสายตาของเธอ และหลังจากนั้นชายชราก็พูดอย่างเย้ยหยันว่า “ต่อให้แกอยากจะฆ่าฉันให้ตายสักแค่ไหนแต่แกก็ทำไม่ได้..ต่อให้เป็นชาตินี้หรือชาติหน้าแกก็ทำไม่ได้! ..แต่ฉันน่ะสามารถฆ่าแกได้โดยแค่ขยับนิ้วสั่งเท่านั้น!”
หม่าหงจงถูกทุบตีและกรีดร้องโอดครวญครั้งแล้วครั้งเล่าแต่เขาก็ยังคงสาปแช่งคนเหล่านั้นอย่างอาฆาตแค้น ซึ่งเย่เชียนที่เห็นฉากนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ซึ่งนั่นก็เพราะว่าบางครั้งคนที่ยากจนชีวิตก็น่าเศร้าจริงๆ และการที่เย่เชียนนั้นก็มาจากครอบครัวที่ยากจนเช่นกันดังนั้นเขาจึงรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดนั้นๆ อย่างสุดซึ้ง “หยุด!” ในที่สุดเย่เชียนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปและเขาก็ตะโกนขึ้นอย่างเย็นยะเยือก
.
.
.
.
.
.
.