ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 208-1 ไปจวนจิ้นอ๋อง

เดิมเสิ่นเวยก็อยากไปสืบข่าวเรื่องตระกูลราชบัณฑิตสวี่จากป้าสะใภ้ใหญ่ ตอนนี้ถูกนางดึงไว้พูดเรื้อยเจื้อยไม่หยุดปาก กลับลืมเรื่องหลักไปเสียแล้ว เมื่อป้าสะใภ้ใหญ่นางออกจากเรือนเฟิงหวาไปเสิ่นเวยก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ ตบหน้าผากด้วยหงุดหงิดอย่างอดไม่ได้ ช่างมัน ช่างมัน อย่างไรเสียก็ไม่เกินวันสองวันนี้ รอนางไปรับมือกับพระชายาจิ้นอ๋องก่อนแล้วค่อยว่ากัน

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องเชิญคุณหนูสี่ไปสนทนา ข่าวๆ นี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งจวนโหวราวกับกระพือปีก มีคนอิจฉา มีคนริษยา ทั้งยังมีใบหน้าบางคนที่มีความดุร้ายและโกรธแค้นแวบผ่าน

 

 

คนที่อิจฉาก็คือฮูหยินจ้าวบ้านรอง นางลากเสิ่นเซวียนมาข้างหน้าตน เห็นท่าทางที่ไม่สนใจนั้นของลูกสาว ก็เจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้

 

 

“ดูชะตาพี่สี่เจ้าสิ ทั้งได้รับพระราชทานสมรสทั้งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นจู่ ตอนนี้ยังถูกพระชายาจิ้นอ๋องเรียกไปสนทนา จุๆๆ ในเมืองหลวงยังนับได้ว่าเป็นครั้งแรก เซวียนเอ๋อร์ เจ้าตั้งใจฟังที่แม่พูดหรือไม่” ฮูหยินจ้าวเห็นว่าลูกสาวใจลอย ชั่วขณะก็โมโหอย่างยิ่ง

 

 

“ท่านแม่ ฟังอยู่ ฟังอยู่ เจ็บยิ่งนัก” เสิ่นเซวียนกุมบริเวณที่แม่นางใช้นิ้วจิ้ม พูดด้วยความไม่พอใจ

 

 

ฮูหยินจ้าวถลึงตามองลูกสาวปราดหนึ่ง “แม่ให้เจ้าไปเล่นกับพี่สี่เจ้าบ่อยๆ ไม่ใช่หรือ วันทั้งวันเจ้าเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องจะได้ประโยชน์อะไร ไม่ใช่ว่าแม่หวังดีกับเจ้าหรือ ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้…”

 

 

เห็นแม่นางกำลังจะร่ายยาวไม่หยุดอีกครั้ง เสิ่นเซวียนก็อึดอัดจนลำไส้แทบจะบิดเป็นเกลียว รีบลุกขึ้นยืนตัดบท “ท่านแม่ ลูกต้องกลับเรือนแล้ว ตอนบ่ายแม่นมเหยาจะทดสอบกฎมารยาท ลูกยังไม่ได้ฝึกให้ดีเลย”

 

 

มองแผ่นหลังที่ออกไปราวกับวิ่งหนีของลูกสาว ฮูหยินจ้าวก็ตบโต๊ะหลายครั้งด้วยความเคียดแค้น “เด็กคนนี้นี่ ไม่คิดบ้างหรือว่าแม่หวังดีกับเจ้า หนึ่งคนสองคน ล้วนแต่ทำให้แม่กลัดกลุ้ม หากนางมีโชคได้ครึ่งหนึ่งของเวยเอ๋อร์ ข้าจะยังต้องกลุ้มใจอะไรอีก”

 

 

ช่วงนี้นางกำลังดูเรื่องสมรสให้เซวียนเอ๋อร์มาโดยตลอด ส่วนใหญ่ในนั้นนางล้วนแต่ไม่ชอบ มีเพียงสองสามตระกูลที่ยังนับว่าไม่เลว แต่ก็ยังห่างจากความต้องการในใจนางอยู่ดี เป็นคุณหนูจวนจงอู่โหวเหมือนกัน แม้เซวียนเอ๋อร์จะไม่อาจเทียบเวยเอ๋อร์ได้ แต่ก็ไม่อาจด้อยกว่าเกินไปมิใช่หรือ

 

 

ชุ่ยหนงสาวใช้ใหญ่เองก็รู้ว่าฮูหยินของตนกำลังเป็นทุกข์เรื่องสมรสของคุณหนูอยู่ จึงลอบมองสีหน้านางอย่างระมัดระวังแล้วกล่าวเสียงเบา “ฮูหยิน มะรืนนี้คุณหนูสี่ไปจวนจิ้นอ๋อง หากคุณหนูของพวกเราตามไปได้ ถึงตอนนั้นเข้าตาพระชายาจิ้นอ๋อง ขอเพียงแค่พระชายาจิ้นอ๋องพูดถึงคุณหนูของเราดีๆ ที่ข้างนอก เช่นนั้นเรื่องสมรสของคุณหนูยังจะต้องเป็นกังวลไปไยอีก”

 

 

ฮูหยินจ้าวได้ยินดังนั้นก็คล้ายครุ่นคิด ตริตรองอยู่ครู่หนึ่งกลับส่ายหน้า “ไม่ควร เวยเอ๋อร์ไปจวนจิ้นอ๋องเป็นครั้งแรก ตนเองก็ต้องรวบรวมสติให้ดี ไหนเลยจะแบ่งความสนใจมาดูแลเซวียนเอ๋อร์ได้อีก ไม่ควร ไม่ควร”

 

 

ข้อเสนอนี้แม้ว่าฮูหยินจ้าวจะสนใจอย่างถึงที่สุด แต่นางก็ไม่ได้สายตาสั้นจนไม่ใส่ใจอะไรทั้งสิ้น เวยเอ๋อร์ไปจวนจิ้นอ๋องเป็นครั้งแรก ตนเองก็ต้องตื่นเต้นมากอยู่แล้ว เซวียนเอ๋อร์อย่าไปสร้างปัญหาเพิ่มจะดีกว่า แต่ว่าที่ชุ่ยหนงพูดกลับเตือนสตินางได้ ตอนนี้ไปไม่ได้ รอเวยเอ๋อร์แต่งเข้าไปแล้ว เซวียนเอ๋อร์จะไปไม่ได้หรือไร อืม ต้องกำชับเซวียนเอ๋อร์ให้ผูกมิตรกับเวยเอ๋อร์ไว้จะดีกว่า

 

 

เรือนเหลียนอี หลิวรุ่ยฟังกำลังนั่งเย็บปักถักร้อยกันสองคนในห้องเหอหลินหลิน

 

 

หลิวรุ่ยฟังมาเยี่ยมเยียนถึงที่ด้วยตัวเอง เสิ่นหย่าย่อมไม่อาจไล่คนไปข้างนอกได้ บวกกับที่นางปากหวานรู้จักพูดจา อายุก็พอๆ กับบุตรสาวของตน นางเองก็หวังว่าบุตรสาวจะไปมาหาสู่กับแม่นางน้อยรุ่นราวคราวเดียวกัน ดังนั้นจึงเป็นมิตรกับหลิวรุ่ยฟังมากเป็นพิเศษ ทั้งยังให้ของขวัญพบหน้าเป็นเครื่องประดับศีรษะแก่นางหนึ่งชิ้น

 

 

หลิวรุ่ยฟังถอนหายใจเฮือกใหญ่หนึ่งครา นับแต่นั้นมาก็มาเล่นกับเหอหลินหลินอยู่บ่อยครั้ง ทั้งสองทำงานเย็บปักไม่ก็เล่นแต่งหน้าด้วยกัน แม้หลิวรุ่ยฟังจะเป็นเพียงบุตรสาวขุนนางยศเล็ก แต่อย่างไรเสียก็เติบโตมาในเมืองหลวง ความรู้ประสบการณ์ย่อมสูงกว่าเหอหลินหลินที่ถูกขังอยู่ในเรือนหลังมาตั้งแต่เล็ก กลับสอนเหอหลินหลินได้ไม่น้อยเลยจริงๆ

 

 

เสิ่นหย่าเห็นท่าทีก็ไม่ห้ามให้หลิวรุ่ยฟังมาที่เรือนเหลียนอีแล้ว ไปๆ มาๆ เด็กทั้งสองกลับสนิทกันหลายส่วนจริงๆ

 

 

“น้องหลินได้ยินหรือไม่ วันนี้จวนจิ้นอ๋องมีคนมา” หลิวรุ่ยฟังกล่าวอย่างแสร้งทำทีไม่สนใจ

 

 

เหอหลินหลินสนใจขึ้นมาดังคาด “ใช่จวนจิ้นอ๋องว่าที่บ้านสามีของญาติผู้พี่สี่หรือไม่ ผู้ใดมา มีเรื่องอะไรหรือ” เสิ่นหย่าสองแม่ลูกคิดเพียงแต่จะอาศัยจวนโหวใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ย่อมไม่เหมือนหลิวรุ่ยฟังที่กระโดดโลดเต้นขึ้นลงเช่นนี้ ดังนั้นข่าวในเรือนเหลียนอีจึงไม่รวดเร็วที่สุด เรื่องที่จวนจิ้นอ๋องส่งคนมาเหอหลินหลินยังคงไม่รู้จริงๆ

 

 

หลิวรุ่ยฟังกล่าว “ฟังว่าคนที่มาคือแม่นมประจำกายพระชายาจิ้นอ๋อง มาเชิญญาติผู้พี่สี่ไปสนทนาที่จวนจิ้งอ๋อง” ดวงตาของนางมีความอิจฉาแวบผ่าน นั่นคือจวนจิ้นอ๋อง จวนอ๋องจะต้องทรงอำนาจกว่าจวนโหวใช่หรือไม่ หากตามไปดูสักหน่อยได้ก็คงดียิ่งนัก

 

 

“เหตุใดเล่า ญาติผู้พี่สี่ยังไม่แต่งเข้าเรือนเลยมิใช่หรือ เข้าบ้านเช่นนี้จะดีหรือ” อย่างไรเสียความคิดของเหอหลินหลินก็ใสซื่อ บนใบหน้านางมีความกังวลแวบผ่าน

 

 

ในใจหลิวรุ่ยฟังร้อนผ่าว ก้มหน้ากัดปลายด้ายบนผ้าเช็ดหน้า “จะเป็นอะไรไป คุณชายใหญ่สวีไม่อยู่มิใช่หรือ ข้าคิดว่าเป็นเพราะคุณชายใหญ่สวีไม่อยู่ พระชายาจิ้นอ๋องจึงให้เกียรติญาติผู้พี่สี่เช่นนี้ พระชายาจิ้นอ๋องดีต่อญาติผู้พี่สี่จริงๆ” ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความอิจฉา

 

 

เมื่อเหอหลินหลินได้ฟังก็ดีใจ “นั่นก็เพราะว่าญาติผู้พี่สี่เป็นคนดีอย่างไรเล่า” ในใจนาง ญาติผู้พี่สี่เป็นคนที่นอกจากแม่นางแล้วก็ดีต่อนางที่สุด ทั้งสวยทั้งมีความสามารถ พระชายาจิ้นอ๋องดีต่อนางก็เป็นสิ่งสมควรแล้ว เหอหลินหลินดีใจแทนนางจากใจจริง

 

 

โง่นัก ในสายตาของหลิวรุ่ยฟังมีบางอย่างแวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว “ฟังว่าจวนจิ้นอ๋องทรงอำนาจอย่างยิ่ง หากได้เห็นกับตาก็คงจะดี น่าเสียดายที่พวกเราไม่ได้โชคดีเหมือนญาติผู้พี่สี่” นางเท้าคาง ทั้งใบหน้าเฝ้าใฝ่ฝัน

 

 

เหอหลินหลินกลับไม่ได้รู้สึกสนใจต่อเรื่องนี้ จากมุมมองของนางจวนโหวก็ทรงอำนาจมากแล้ว ต่อให้จวนจิ้นอ๋องจะร่ำรวยทรงอำนาจแล้วอย่างไร มิหนำซ้ำยังเป็นเพียงที่อยู่อาศัย เห็นจนชินแล้วก็เหมือนกันทั้งหมด

 

 

การตอบสนองของเหอหลินหลินจากมุมมองของหลิวรุ่ยฟังก็คือคำว่า ‘โง่’ เพียงคำเดียว ไม่มีพัฒนาการเกินไปแล้ว ดวงตานางกะพริบวาบ แสร้งกระแทกแขนเหอหลินหลินอย่างมีเลศนัย “น้องหลิน ไม่ใช่ว่าเจ้ามีความสัมพันธ์อันดีกับญาติผู้พี่สี่หรอกหรือ เจ้าไม่อยากตามญาติผู้พี่สี่ไปเปิดหูเปิดตาที่จวนจิ้นอ๋องหรือ”

 

 

เหอหลินหลินปฏิเสธตามจิตใต้สำนึกทันที “ข้าจะไปทำไม คนที่นางเชิญก็ไม่ใช่ข้า อีกทั้งข้ายังเรียนไม่ครบแม้แต่กฎมารยาท ไปแล้วไม่ใช่จะไปทำให้ญาติผู้พี่ขายหน้าหรอกหรือ ข้าไม่ไปหรอก”

 

 

หลิวรุ่ยฟังสีหน้าแข็งทื่อ เป็นคนโง่จริงๆ นี่จะให้นางพูดอะไรต่อดี ตอนนี้ เบื้องลึกในใจนางมีความริษยาเปี่ยมล้นหนึ่งกลุ่มพุ่งขึ้นมา มีสิทธิอะไร นางเทียบญาติผู้พี่สี่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ทว่าแม้แต่คนโง่เช่นเหอหลินหลินก็ยังโชคดีกว่านาง อย่างน้อยนางก็เป็นหลานสาวตาแท้ๆ ของนายท่านผู้เฒ่าโหว ภายหลังคู่หมั้นที่ดีก็คงหนีไม้พ้น อีกทั้งยังมีมารดาที่รักนาง แม่นางมีนางเพียงคนเดียว สินเดิมมหาศาลก็ต้องเป็นของนางคนเดียวทั้งหมดมิใช่หรือ ไหนเลยจะเหมือนนาง พ่อไม่รัก แม้แต่แม่แท้ๆ ก็ยังใส่ใจน้องชายที่สำคัญยิ่งกว่านาง

 

 

ต่อมาหลิวรุ่ยฟังก็ใจลอยเล็กน้อย นางไม่พูด เหอหลินหลินก็ก้มหน้าตั้งใจปักกระเป๋าเงินใบเล็ก ญาติผู้พี่สี่ช่วยพวกนางแม่ลูกเยอะเพียงนี้ นางไม่มีสิ่งอื่นที่จะตอบแทนได้ ทำได้เพียงเย็บปักสิ่งของเล็กน้อยเพื่อแสดงความจริงใจ ตั้งแต่เล็กแม่ก็สอนนางว่า ‘เป็นคนต้องรู้จักตอบแทนคุณ’

 

 

เมื่อหลิวรุ่ยฟังไป เหอหลินหลินก็เก็บ**บเข็มด้ายไปยังห้องของแม่นาง “ท่านแม่ ข้าไม่ชอบญาติผู้พี่รุ่ยฟัง”

 

 

เสิ่นหย่าเห็นท่าทางไม่มีความสุขของลูกสาว ก็กล่าวอย่างอ่อนโยน “เป็นอะไรไปเล่า ทะเลาะกันหรือ ใช่เจ้าขี้งอนหรือไม่”

 

 

เหอหลินหลินเขยิบเข้าไปนั่งใกล้แม่นาง “เปล่าเจ้าค่ะ ก็ญาติผู้พี่รุ่ยฟังน่ะสิ นางเอาแต่พูดว่าญาติผู้พี่สี่โชคดีต่างๆ นานา แล้วยังยุงยงให้ลูกตามญาติผู้พี่สี่ไปจวนจิ้นอ๋อง นาง นางเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร” เหอหลินหลินเบ้ปาก ท่าทางน้อยใจอย่างถึงที่สุด

 

 

นางเพียงแค่ไร้เดียงสา ไม่ได้โง่จริงๆ เจตนาในคำพูดนอกคำพูดของญาติผู้พี่หลิวรุ่ยฟังนางจะฟังไม่ออกได้อย่างไร เดิมนางคิดว่าทุกวันที่ญาติผู้พี่รุ่ยฟังมาหานางก็เพราะว่าชอบนาง ไม่นึกว่าเพียงแค่คิดว่านางโง่ต้องการใช้ประโยชน์จากนางก็เท่านั้น นี่ทำให้จิตใจเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเหอหลินหลินเสียใจยิ่งนัก

 

 

ในดวงตาเสิ่นหย่ามีความเข้าใจแวบผ่าน นางลูบศีรษะของลูกสาว กล่าวชี้แนะจากใจจริง “หลินเอ๋อร์ เรื่องมากมายบางเรื่องก่อนหน้านี้แม่ก็ไม่เคยสอนเจ้า จึงเลี้ยงให้เจ้ามีนิสัยที่ไร้เดียงสาเช่นนี้ แม่หวังเสมอว่าเจ้าจะมีชีวิตที่เรียบง่ายมีความสุข ตอนนี้พวกเรากลับมาเมืองหลวงแล้ว แม่ก็เสียใจเล็กน้อย นิสัยที่ไร้เดียงสาของเจ้านี้เดินออกไปข้างนอกจะไม่ถูกคนหลอกแย่หรือ นี่เป็นความผิดของแม่เอง แม่ควรจะสอนเจ้าให้มากกว่านี้”

 

 

แม้นางจะมีชีวิตที่ยากลำบาก แต่กลับพยายามคิดจะค้ำฟ้าที่สะอาดฟากหนึ่งให้ลูกสาว ไม่อยากให้มลทินเรือนหลังกับอุบายที่โสมมแปดเปื้อนจิตใจที่ดีงามของลูกสาว

 

 

“ท่านแม่” น้ำเสียงที่สำนึกผิดของมารดาทำให้เหอหลินหลินรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ขยับตัวเงยหน้ามองแม่นางอย่างอดไม่ได้

 

 

เสิ่นหย่ายิ้มอย่างปลอบประโลมให้ลูกสาว ตบแขนของนางแล้วกล่าว “แต่ว่าตอนนี้พวกเรากลับเมืองหลวงแล้ว เรื่องจำนวนมากเจ้าเองก็ควรจะเรียนรู้ได้แล้ว ไม่ต้องรีบร้อน แม่จะค่อยๆ สอนเจ้า”

 

 

หยุดครู่หนึ่งนางจึงกล่าวต่อ “เจ้าสามารถสังเกตเห็นแผนการของฟังเอ๋อร์ได้ อีกทั้งยังนิ่งเฉย แม่ดีใจยิ่งนัก หลินเอ๋อร์เจ้าต้องจำไว้ แม่เป็นสตรีที่หย่ากลับมา ตาเจ้าเป็นห่วงความผูกพันในสายโลหิตจึงให้พวกเราอาศัยอยู่ในจวนโหว แต่พวกเราก็ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่อาจสร้างปัญหาให้ในจวนได้ ไม่ว่าใครจะพูดอะไรกับเจ้า เจ้าก็ต้องคิดในสมองหลายๆ รอบ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับญาติผู้พี่สี่ของเจ้า ญาติผู้พี่สี่ของเจ้ามีบุญคุณใหญ่หลวงกับพวกเรา พวกเราไม่อาจถูกคนใช้ประโยชน์เพื่อทำร้ายจิตใจญาติผู้พี่สี่ของเจ้าได้” สีหน้าบนใบหน้าเสิ่นหย่าจริงจังขึ้นมา

 

 

เหอหลินหลินรีบพยักหน้า “ท่านแม่ ลูกทราบแล้ว วันนี้ตลอดเวลาที่ญาติผู้พี่รุ่ยฟังพูด ข้าไม่ได้พูดอะไรเลย” ญาติผู้พี่สี่ดีที่สุด นางไม่มีทางช่วยคนนอกวางแผนให้ร้ายญาติผู้พี่สี่หรอก

 

 

สีหน้าท่าทางของเสิ่นเวยจึงอ่อนโยนลงเล็กน้อย พูดต่อ “สำหรับฟังเอ๋อร์ ในใจเจ้ารู้ว่านางเป็นคนเช่นไรก็พอแล้ว ไม่ต้องถอยห่างจากนางฉับพลัน ก่อนหน้านี้เป็นเช่นไร หลังจากนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น เจ้าต้องรู้ไว้ว่า ข้าวสวยเหมือนกันยังเลี้ยงคนให้มีนิสัยร้อยแปดพันเก้า เจ้าไม่อาจขอให้คนอื่นเป็นเหมือนเจ้าได้ทั้งหมด ฟังว่าฟังเอ๋อร์อยู่ในจวนหลิวไม่ค่อยน่าพอใจนัก พ่อนางรักอี๋เหนียงและบุตรสาวอนุภรรยา น้องชายแม่เดียวกันของนางก็มีสุขภาพไม่ค่อยดีตั้งแต่เล็ก แม่นางก็ไม่ใส่ใจนาง นางถือโอกาสหาช่องทางคิดเพื่อตัวเองเช่นนี้ก็ไม่อาจตำหนิมากได้ ต่อจากนี้นางมาหาเจ้า เจ้าก็ปฏิบัติต่อนางเหมือนเดิม อย่าได้เผยพิรุธเชียว”

 

 

แม้เสิ่นหย่าจะมีนิสัยอ่อนแอ อย่างไรเสียก็ใช้ชีวิตมามากกว่าลูกสาวหลายปีเพียงนั้น สายตาที่มองคนและประสบการณ์ชีวิตยังนับได้ว่ามี แวบแรกที่เห็นฟังเอ๋อร์ก็รู้แล้วว่านี่คือคนที่มีแผนการเต็มสมอง นางเองก็เคยลังเลว่าควรจะให้ลูกสาวเล่นกับนางหรือไม่ แต่แม่นมโน้มน้าวนาง แม่นมพูดมาหนึ่งประโยค ‘คุณหนูท่านไม่อาจติดตามคุณหนูน้อยไปได้ตลอดชีวิตนะเจ้าคะ’

 

 

ถูกต้อง ลูกสาวต้องเติบโต ต้องแต่งงาน นางไม่อาจอยู่กับลูกสาวไปตลอดชีวิตได้ แทนที่จะปกป้องนางเป็นอย่างดี ไม่สู้ให้นางออกไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง แม้ว่าจะเสียเปรียบถูกทำร้าย นั่นก็ถือเป็นประสบการณ์

 

 

ดูสิ ตอนนี้ลูกสาวแสดงออกมาได้ดีอย่างยิ่งมิใช่หรือ ดวงตาของเสิ่นหย่ามีความภูมิใจปรากฎขึ้นมา

 

 

“ญาติผู้พี่รุ่ยฟังน่าสงสารจริงๆ” เหอหลินหลินได้ยินว่าพ่อของญาติผู้พี่รุ่ยฟังโปรดปรานอี๋เหนียงและบุตรสาวอนุภรรยา ก็นึกถึงตัวเองทันที บนใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสารและเห็นใจ

 

 

เสิ่นหย่าเห็นสีหน้าท่าทางของลูกสาวก็ยิ่งเอ็นดู ลูกสาวของนางดีเพียงใด น่าสงสาร คนที่น่าสงสารบนโลกนี้มีมากแล้ว หลินเอ่อร์ของนางไม่น่าสงสารหรือ แต่น่าสงสารก็ไม่ใช่ข้ออ้าง นางไม่มีวันปล่อยให้ลูกสาวใช้ข้ออ้างว่าน่าสงสารไปทำเรื่องวางแผนให้ร้ายผู้อื่น

 

 

“ดังนั้นหลังจากนี้หลินเอ๋อร์จึงต้องปฏิบัติต่อฟังเอ๋อร์ให้เหมือนปกติ สิ่งที่นางพูดหรือทำเจ้าคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีก็ไม่ต้องไปสนใจ กลับมาเล่าให้แม่ฟัง ให้แม่สอนเจ้า” เสิ่นหย่าฉวยโอกาสชี้แนะลูกสาว อย่างไรเสียก็อดใจทำลายความดีงามในจิตใจลูกสาวไม่ได้ ช่างเถอะ เพียงแค่ให้หลินเอ๋อร์รู้สึกว่าฟังเอ๋อร์เป็นคนที่ให้อภัยได้ก็พอ ชีวิตยังอีกยาวไกล นางจะต้องเห็นกับตาตัวเองสักวัน

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset