ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 72 ทั้งสองร่ำสุราครวญเพลงกันจนดึกดื่นค่อนคืน

นับตั้งแต่รัชกาลก่อน อารามเทียนเก๋อกวนก็เป็นที่เชื่อถือในความศักดิ์สิทธิ์และความลึกลับในหมู่เชื้อพระวงค์ เล่าลือกันว่านักพรตปี้จูอู๋เลี่ยงผู้ก่อตั้งอารามสุดท้ายสำเร็จวิชาเป็นเซียนไปแล้ว 
 
 
ในอารามล้วนแต่เต็มไปด้วยผู้มีความสามารถ ได้รับความเมตตาจากฟ้า เป็นที่บูชาของผู้คน แม้แต่ในยามที่ปฐมกษัตริย์แคว้นต้าโจวเข้ายึดครองเมืองหลวงแห่งนี้ ยังมิได้แตะต้องอารามเทียนเก่อเจี้ยนแม้สักขุมขน 
 
 
พระสนมเต๋อเฟยเพียรวอนขอยันต์เสริมวาสนาในภพหน้าให้กับเย่วฟูเหรินเห็นชัดว่ามีน้ำใจมากถึงเพียงไหน 
 
 
“นับตั้งแต่ครึ่งปีก่อนพระสนมก็ทรงเริ่มขอยันต์นี้แล้ว ในที่สุดความตั้งใจของนางสร้างความประทับใจให้กับท่านอาจารย์อู้เจิ้นในอาราม……” ซิ่วเหออธิบายพลาง ดวงตาของนางก็สะท้อนแววชอกช้ำ 
 
 
ผู้คนทั้งหลายต่างก็แปลกใจไม่น้อย ท่านอาจารย์อู้เจิ้นผู้นั้นเป็นหนึ่งในสุดยอดผู้สูงส่งของอารามผู้หนึ่ง ที่ผ่านมาใจแข็งยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าเต๋อเฟยจะสามารถทำให้เขาหวั่นไหวได้ นี้แสดงว่านางจะต้องเป็นผู้ที่มีเมตตาสูงส่งอย่างยิ่ง 
 
 
ทั้งที่ตู๋กูซิงหลันทำเช่นนั้นกับนาง แต่เต๋อเฟยกลับใช้คุณธรรมตอบแทนความชั่ว วอนขอสิ่งที่ล้ำค่าหาอยากเช่นนี้มาให้ เห็นชัดว่าเป็นผู้ที่มีจิตใจสูงส่งน่าเคารพชื่นชมถึงเพียงไหน 
 
 
“สิ่งนี้ไม่นับว่าเป็นอะไรได้หรอก” เต๋อเฟยก้าวขึ้นมาหลายก้าว ยืนอยู่ด้านข้างจีเฉวียนกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันยังขอยันต์มาถวายฉางซุนฮองเฮาอีกชุดหนึ่ง เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่กล้านำมาถวายพระองค์….” 
 
 
จีเฉวียนกวาดตามองนางครั้งหนึ่ง “เจ้ามีน้ำใจแล้ว” 
 
 
 
 
 
 
 
 
“หม่อฉันสมควรทำเช่นนี้อยู่แล้ว” เต๋อเฟยหลุบตาลงตอบเสียงเบา แล้วจึงค่อยเงยหน้าขึ้นกวาดตาดูรอบด้าน พอพบเห็นอี้อ๋องและเสียนไท่เฟยก็ผงกศีรษะให้เล็กน้อย ค่อยหันเหสายตาไปทางอื่น 
 
 
 
 
 
ครู่หนึ่งจึงค่อยถามขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “เอ๋? ยามนี้ก็เป็นเวลาไม่เช้าแล้ว ไยจึงยังไม่เห็นไทเฮาและท่านแม่ทัพผู้พิชิตอีก? “ 
 
 
“ทูลพระสนมเต๋อเฟย ไทเฮาและท่านแม่ทัพผู้พิชิตเป็นผู้มีผลงานความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เมื่อคืนทั้งสองยังร่ำสุราครวญเพลงกันจนดึกดื่นค่อนคืน คาดว่าคงลืมวันรำลึกของท่านย่าใหญ่ไปตั้งแต่แรกแล้ว ” คนที่ตอบคำก็คือตู๋กูอี้ หลานชายของเจียงเหมยหยู่ 
 
 
พอได้ฟังแล้วพระพักตร์ที่เดิมทีไม่แสดงพระอารมณ์ใดๆ ของฝ่าบาทก็เริ่มจะมืดครึ้มลง เพราะประเด็นหลักที่ทรงสดับไว้ก็คือ ‘ทั้งสองร่ำสุราครวญเพลงจนดึกดื่น’ 
 
 
ตู๋กูซิงหลันมิใช่สาวน้อยแล้ว ถึงแม้จะเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน แต่อย่างไรเสียชายหนุ่มหญิงสาวอยู่กันเพียงลำพัง เหมาะสมที่ไหนกัน? 
 
 
หลี่กงกงที่ยืนด้านข้างของฝ่าบาทชักจะเริ่มตัวสั่นสะท้านขึ้นมา เขามีความรู้สึกว่า ฝ่าบาททรงเสด็จมาวันนี้ก็เพื่อจะมาพบไทเฮา 
 
 
ผู้คนทั้งหลายเห็นฝ่าบาทพระพักตร์เคร่งขรึมลง ก็เข้าใจชัดเจนไปว่าฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยในตัวตู๋กูจุนและตู๋ซิงหลัน 
 
 
ก็คงใช่อยู่ จะอย่างไรตู๋กูซิงหลันยังไม่ถือว่าได้ออกจากตำหนักเย็นอย่างถูกต้อง เพียงแต่ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาปล่อยนางกลับมาทำความเคารพบรรพชน นางกลับถือดีนัก กล้าคิดเองทำเองขึ้นมา รานน้ำพระทัยอันดีของฝ่าบาท 
 
 
” จะพูดไปก็เป็นเรื่องไม่ดีภายในบ้าน แม้แต่คนนอกเช่นพระสนมเต๋อเฟยยังสามารถทำเพื่อพี่สาวขนาดนี้ หลานชายหลานสาวของข้านั้น…..เฮ่อ….” นางเจียงเหม่ยหยู่ก็พลอยทอดถอนใจไปด้วย “ต้องโทษว่าข้าผู้เฒ่าไม่ดี ไม่อาจสั่งสอนพวกเขาได้” 
 
 
เมื่อคืนนางโกรธไม่น้อย สีหน้าจึงไม่น่าดูอย่างยิ่ง ตอนนี้ก็ยิ่งทำท่าทำทางอึดอัดคับข้องใจว่าไม่อาจทำสิ่งใดได้ 
 
 
ผู้คนทั้งหลายพอได้ฟังคำของนาง ประกอบกับยิ่งเห็นท่าทีของนางเจียงซื่อก็รู้ดีว่า ยามปกตินางคงถูกข่มเหงไม่น้อย ก็คงเป็นเช่นนี้ละ สองพี่น้องตู๋กูจุนที่แม้แต่ท่านย่าแท้ๆ ของตนเองยังไม่ให้ความเคารพเช่นนี้ จะไปคาดหวังให้พวกเขามีน้ำใจต่อนางเจียงซื่อได้อย่างไร? 
 
 
นางเจียงซื่อผู้นี้แม้ว่าจะเป็นแค่อนุของนายท่านผู้เฒ่า แต่ก็ถือว่าเป็นอนุภรรยาผู้มีศักดิ์ฐานะ เป็นน้องสาวของเย่วฮูหยิน ไม่สมควรจะถูกหมิ่นหยาม 
 
 
ท่ามกลางสายตาเห็นอกเห็นใจของผู้คนทั้งหลาย เจียงเหม่ยหยู่ก็ทำท่าน้ำตาซึมออกมา 
 
 
ช่วงเวลาเช่นนี้แน่นอนว่า เต๋อเฟยย่อมต้องก้าวออกมาวางท่าเป็นคนดี “ฝ่าบาทเพคะ ขอพระองค์อย่าได้ทรงตำหนิไทเฮาและท่านแม่ทัพผู้พิชิตเลยนะเพคะ พวกเขาพี่น้องพึ่งจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง จะต้องมีเรื่องพูดคุยกันมากมาย หรืออาจบางทีหลับจนเลยเวลาไป แค่ส่งคนไปเรียกก็พอแล้ว” 
 
 
จากนั้นนางก็ไม่ลืมหันไปปลอบใจเจียงเหม่ยหยู่ “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านวางใจเถอะ ไทเฮาและท่านแม่ทัพผู้พิชิตต่างก็เป็นผู้ที่รู้จักเหตุผล คำสอนของท่านพวกเขาจะต้องรับฟังแน่นอน” 
 
 
แม้ว่าเต๋อเฟยจะกล่าวเช่นนั้น แต่สายตาของนางกลับแฝงความเย็นชาอยู่ลึกๆ เช้าวันนี้ พวกนางได้รับข่าวสารจากตู๋กูเหลียนแล้วว่า ฉีผินนั่นตายแล้ว ถูกตู๋กูซิงหลันฆ่าตายกับมือ 
 
 
ดังนั้นนางจึงได้หาวิธีการชักนำให้ฝ่าบาททรงพานางมาทำความเคารพเจียงเย่วที่สุสานก่อน เพื่อที่นางจะได้เห็นท่าทางของตู๋กูซิงหลันยามที่ชื่อเสียงย่อยยับด้วยตนเอง 
 
 
ในเมื่อนางกลายเป็นฆาตกรฆ่านักโทษ ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ แม้ฝ่าบาทจะมีพระทัยอยากปกป้องช่วยเหลือนางพระองค์ก็ไม่อาจทำได้ 
 
 
ไม่รู้ว่าหากทุกคนได้ทราบเรื่องไทเฮาฆ่าคนแล้วละก็ จะแสดงออกเช่นไร? 
 
 
คิดถึงตรงนี้ นางก็จ้องไปยังตู๋กูเหลียนที่เอาแต่ยืนอยู่ข้างเจียงเหม่ยหยู่ ไม่ยอมพูดยอมจามาโดยตลอด 
 
 
วันนี้เหลียนไฉเหรินคล้ายกับยังไม่ได้พูดอะไรสักคำเดียว คาดว่าน่าจะเป็นเพราะเมื่อคืนเหน็ดเหนื่อยมากไป เห็นหน้าผากหมองคล้ำ ดวงตาก็ช้ำ ดูท่าแล้วเรื่องเมื่อคืนคงจัดการได้ไม่ง่ายนัก 
 
 
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของเต๋อเฟย ‘ตู๋กูเหลียน’ถึงได้เงยหน้าขึ้นมา สงสายตาบอกใบ้ว่า ‘วางใจเถอะ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว’ 
 
 
คราวนี้เต๋อเฟยถึงได้วางใจ ตู๋กูเหลียนเกลียดชังตู๋กูซิงหลันถึงเพียงไหน แล้วมีหรือจะยอมปล่อยนางไป? 
 
 
เมื่อพวกนางร่วมมือกันเช่นนี้ นางสวะนั่นจะต้องตายอย่างไร้ทางรอด 
 
 
ผู้คนทั้งหลายต่างมองเต๋อเฟยด้วยสายตาที่เคารพ ต่างรู้สึกว่านางช่างเปี่ยมไปด้วยความเมตตาปราณี ไยตู๋กูซิงหลันถึงได้กระทำกับนางถึงเพียงนี้? อยากจะรีบกำจัดกันให้จบสิ้นเลยหรือไร? 
 
 
เพราะสำหรับวังหลังแล้ว เต๋อเฟยก็คือหินรองเท้าที่นังหญิงร้ายนี่จะใช้เหยียบย่างขึ้นไป 
 
 
แต่เต๋อเฟยกระทั่งยามนี้ก็ยังคงพูดจาออกหน้าเพื่อพวกเขาพี่น้องอยู่เลย! 
 
 
จีเย่ว์มองดูเต๋อเฟย เขาก็คิดจะกล่าวอะไรออกมา แต่กลับถูกเสียนไท่เฟยรั้งเอาไว้ นางตวัดสายตาแฝงความเยือกเย็นชนิดหนึ่ง ส่ายศีรษะเบาๆ “เย่เอ๋อร์ อย่าได้ก่อเรื่องแล้ว” 
 
 
วันนี้ พวกเขามาเพื่อกราบไหว้เย่วฮูหยินเท่านั้น 
 
 
จีเย่ว์ถอดทอนหายใจ เขาจะทนเห็นหลันเอ๋อร์ต้องถูกหมิ่นเกียรติได้อย่างไร 
 
 
“มีท่านแม่ทัพผู้พิชิตอยู่ด้วย นางย่อมไม่มีทางเกิดเรื่องได้เด็ดขาด ” เสียนไท่เฟยตบไหล่เขาเบาๆ ขยับร่มมาบังแดดให้จีเย่ว์ไว้ “เจ้าต้องเยือกเย็นเข้าไว้” 
 
 
ตั้งแต่ฝ่าบาทปรากฎพระองค์ จีเย่ว์ก็ไม่อาจรักษาความสุขุมไว้ได้ 
 
 
พูดแล้ว เสียนไท่เฟยก็หันไปมองจีเฉวียน 
 
 
ดวงพระเนตรหงส์ของฮ่องเต้หรี่ลงเล็กน้อยๆ ฝ่าบาททรงฉลองพระองค์ดำประทับอยู่ท่ามกลางดอกชมจันทรา สายลมพริ้วพัดพาชายฉลองพระองค์ให้ไหวเบาๆ หางคิ้วยาวขมวดขึ้น แฝงรอยขุ่นเคือง 
 
 
ยามที่เสียนไท่เฟยทอดพระเนตรมานั้น ก็พอดีกับที่จีเฉวียนทรงกวาดพระเนตรไปทางนาง สายพระเนตรของพระองค์เปี่ยมไปด้วยความเย็นชาที่แทรกเข้าไปในกระดูก 
 
 
ครู่หนึ่งจีเฉวียนถึงได้เก็บสายพระเนตรกลับมา กล่าวกับหลี่กงกงว่า 
 
 
“ไปเชิญเสด็จไทเฮา” 
 
 
เต๋อเฟยซ่อนยิ้มเย็นอยู่ในใจ นังสวะนั่น วันนี้ไม่มีทางมาได้แล้ว 
 
 
อีกสักครู่ก็จะมีข่าวสารมาถึง ว่าตู๋กูซิงหลันฆ่าฉีผินตาย ฮึๆ งิ้วที่น่าสนุกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว 
 
 
เจียงเหม่ยหยู่เองก็ลอบยิ้มบางๆ ตั้งแต่ตอนที่เหลียนเออร์กลับมาจากในวังก็ได้บอกกับนางไว้แล้ว ว่าในวันรำลึกนี้ ช่วงเวลาที่เคยดีงามของตู๋กูซิงหลันจะจุดสิ้นสุดไป เมื่อเห็นเหลียนเออร์มีความมั่นใจถึงเพียงนั้น นางก็เฝ้ารอคอยไปด้วยเช่นกัน 
 
 
ครู่หนึ่ง ‘ตู๋กูเหลียน’ ก็ขยับเข้ามาใกล้นาง หยอดยาหอมให้นางวางใจว่า “ท่านย่า วางใจเถอะเจ้าค่ะ นางตายแน่แล้ว” 
 
 
คราวนี้ เจียงเหม่ยหยู่ค่อยวางใจลงได้เช่นกัน 
 
 
หลี่กงกงเช็ดเหงื่อเย็นบนใบหน้า ขณะที่ตระเตรียมจะใช้คนไปเชิญเสด็จไทเฮา เท้ายังไม่ทันจะก้าวออกไป ก็เห็นวางที่เชิงเขาด้านล่างมีความเคลื่อนไหว 
 
 
เสียงฝีเท้าม้า และเสียงคนเดินเท้า สร้างผงฝุ่นปลิวคลุ้งขึ้นมาจากพื้นดิน 
 
 
ผู้คนทั้งหลายต่างมองลงไป ก็เห็นฝุ่นคลุ้งพัดมาจนถึงบริเวณที่มีดอกชมจันทรางอกงาม ค่อยหยุดลง ผู้คนสิบกว่าคนปรากฎตัวขึ้นมา 
 
 
ครู่หนึ่งค่อยมองเห็นว่า ที่แท้ก็คือ……. 

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset