ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 187 หรานอ๋อง

พอนางพึ่งจะออกจากวัดไป รูปปั้นเทพธิดาก็คล้ายจะมีความเคลื่อนไหว 
 
 
เพียงครู่เดียวเสียงลมที่โหมแรงอยู่ในวัดที่ผุพังก็ซาลงอย่างรวดเร็ว 
 
 
แผ่นยันต์ที่ผนึกอยู่บนกำแพงทั้งสี่ทิศก็สว่างวาบ เหล่าดวงจิตที่กำลังเกรี้ยวกราดได้แต่รายล้อมอยู่แต่เพียงด้านนอก 
 
 
……….. 
 
 
ตำหนักหรานอ๋อง 
 
 
 
 
 
ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะเข้าไป ก็ได้กลิ่นเน่าเหม็นที่เข้มข้น 
 
 
ค่ำมืดมากแล้ว แต่ว่าในตำหนักหรานอ๋องยังคงมีแสงไฟสว่างไสว บ่าวไพร่เดินกันขวักไขว่ ราวกับว่าในจวนมีเรื่องใหญ่ใดกำลังเกิดขึ้น 
 
 
ตู๋กูซิงหลันสวมชุดดำตลอดร่าง ติดตามไปด้านหลังพวกบ่าวไพร่ จนถึงตำหนักในของหรานอ๋อง 
 
 
พอพึ่งจะมาถึงในนี้ นางก็ได้กลิ่นคาวสดใหม่ กลิ่นคาวเลือดและคาวปลาปะปนกัน ทั้งยังมีกลิ่นอับคอยกลบทับอีกที 
 
 
นางคุกเข่าอยู่ที่เชิงกำแพง เห็นแค่ว่ามีเงาของบุรุษผู้หนึ่งถูกแสงโคมทอดอยู่บนหน้าต่าง 
 
 
” ฮะเฮ่อๆๆ ” เขาไอโขลกอยู่ในลำคอสองสามที ถวายคำนับผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า ” ฝ่าบาท กระหม่อมไร้ความสามารถ ทำให้เมืองลี่โจวต้องสูญเสียมากมายถึงเพียงนี้ ขอฝ่าบาททรงลงพระอาญาด้วย “ 
 
 
ตู๋กูซิงหลันออกจะตกใจอยู่บ้าง นางสมควรที่จะเดาได้ตั้งแต่แรก จีเฉวียนออกจากเมืองหลวงก็เพราะเรื่องอุทกภัยในลี่โจวนี่เอง 
 
 
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าการเคลื่อนไหวของเขาจะว่องไวถึงขนาดนี้ ที่ผ่านมาฮ่องเต้ยามเสด็จออกไปไหนมาไหนล้วนเป็นต้องเอิกเกริกยิ่งใหญ่เกรียงไกร ดังนั้นจึงเดินทางกันอย่างอืดอาดยืดยาด 
 
 
ตลอดทางที่นางมานี้ ก็ไม่เคยได้ยินคนพูดถึงเรื่องที่ฮ่องเต้เสด็จมายังลี่โจวด้วยพระองค์เองเลย เห็นทีต้องยอมให้เขาจริงๆ 
 
 
และก็ช่างน่าบังเอิญเหลือเกิน พึ่งจะมาถึงก็เจอเขาเข้าพอดี 
 
 
นางยอบตัวลง คนแทบจะแนบตัวลงไปกับกำแพง ระมัดระวังตัวกลัวว่าจะถูกพบเข้า 
 
 
บุรุษที่อยู่ในห้องนั้น น้ำเสียงแหบแห้ง แต่ถ้อยคำที่พูดออกไปก็มีความจริงใจ 
 
 
คิดๆ ดูแล้วบุรุษผู้นี้คงจะเป็นท่านอาสิบหกจีหรานละมั้ง 
 
 
หากดูแต่เพียงเงาของเขา คล้ายจะเป็นคนที่ร่างกายอ่อนแออย่างยิ่ง จะพูดจะจาแต่ละทีก็ต้องรวบรวมลมหายใจอยู่หลายเฮือก ท่าทางเหมือนคนที่ป่วยหนักไม่อาจหายขาดจนดูน่าสงสาร 
 
 
จีหรานพึ่งจะทูลจบ ลูกน้องของเขาก็เสริมว่า ” ท่านอ๋อง ท่านได้พยายามอย่างที่สุดแล้ว ถึงขนาดไม่คำนึงถึงร่างกายเอาตัวไปขวางน้ำในเขื่อน……” 
 
 
” หากไม่ใช่เพราะว่าคุณชายรองของตระกูลตู๋กูไม่ยอมฟังคำทัดทาน จะขุดลอกแม่น้ำลี่เหอให้ได้ เรื่องก็คงจะไม่เลยร้ายถึงขนาดนี้ “ 
 
 
” หุบปาก ” จีหรานรอจนลูกน้องพูดจนจบค่อยกล่าวว่า ” คุณชายรองนับเป็นผู้มีความสามารถที่ประเทศชาติต้องการ ทุกสิ่งที่เขาตัดสินใจทำย่อมต้องถูกแล้ว “ 
 
 
” แต่ว่าตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ เขากลับหนีหายไปจนไร้ร่องรอย ทั่วทั้งเมืองลี่โจวได้แต่ต้องพึ่งพาท่านอ๋องแบกรับเอาไว้ ทั้งๆ ที่ตอนแรกท่านอ๋องได้พยายามทัดทานเขาอย่างสุดชีวิตว่าต้องป้องกัน ไม่อาจขุดลอก “ 
 
 
 
 
 
ในใจของเหล่าลูกน้องมีแต่ความโกรธแค้นอย่างชัดเจน 
 
 
ตู๋กูซิงหลันฟังอยู่ด้านนอก ก็จับความได้อยู่ถึงเจ็ดแปดส่วน นี่ก็ความหมายว่าพี่รองเรียกร้องขุดลอกแม่น้ำลี่เหอเพื่อควบคุมอุทกภัย แต่ว่าหรานอ๋องให้เสริมแนวป้องกัน ความคิดเห็นของทั้งสองไม่ตรงกัน แต่สุดท้ายแล้วหรานอ๋องก็ยอมตามพี่รอง 
 
 
แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือแม่น้ำลี่เหอหลากทะลัก ท่วมใส่หมู่บ้านสิบกว่าแห่งใต้แม่น้ำ ชาวบ้านนับไม่ถ้วนถูกน้ำจำนวนมหาศาลพัดจนจมน้ำตาย 
 
 
พี่รองไม่กล้าแบกรับความรับผิดชอบ ดังนั้นจึงหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย 
 
 
แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงการรายงานจากหรานอ๋องเพียงฝ่ายเดียว 
 
 
ถึงแม้ว่านางจะไม่เคยได้พบพี่รองของตนเองมาก่อน แต่ก็รู้ดีว่าพี่รองจะต้องมิใช่บุคคลเช่นนี้ 
 
 
เรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมในเป็นแน่ 
 
 
” ฝ่าบาท คนของกระหม่อมไร้มารยาท ขอฝ่าบาทโปรดลงพระอาญา ” หรานอ๋องที่อยู่ภายในห้องถวายคำนับอีกครั้ง 
 
 
แสงสว่างที่จากภายในทำให้เห็นว่าเงาร่างของเขาไหวโอนอย่างไม่มั่นคง 
 
 
ผ่านไปอีกพักใหญ่ค่อยได้ยินเสียงของฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนเก้าอี้ในตำแหน่งที่สูงกว่าตรัสออกมาประโยคหนึ่ง ” เสด็จอา เรื่องนี้ลำบากท่านมากแล้ว ยังคงไปพักผ่อนให้ดีเถอะ “ 
 
 
น้ำเสียงที่เย็นเฉียบเช่นเดิมลอดผ่านหน้าต่างมาเข้าหูของตู๋กูซิงหลัน ทั้งที่ที่นี่เป็นสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย แต่ว่านางกลับรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา 
 
 
” กระหม่อมขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงละเว้น ” หรานอ๋องคุกเข่าอยู่บนพื้นน้อมคำนับลงไป ” กระหม่อมจะทุ่มเทกำลังเสาะหาเบาะแสของคุณชายรองตู๋กูอย่างเต็มที่ ฝ่าบาทเสด็จมาเหนื่อยล้า กระหม่อมขอทูลเชิญประทับในสถานที่อันซอมซ่อนี้ชั่วคราวก่อน “ 
 
 
” ไม่เป็นไร ” ฮ่องเต้ตรัสเสียงราบเรียบ 
 
 
” เรือนทางตะวันตกจัดแจงเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ยามค่ำคืนในลี่โจวไม่ปลอดภัย ขอฝ่าบาททรงพักผ่อนโดยเร็วเถอะพะยะค่ะ ” ขณะที่หรานอ๋องทูลไป ก็เห็นว่าฝ่าบาททรงประทับยืนขึ้นมา 
 
 
ภายใต้แสงโคมไฟ เรือนร่างของเขายืนตรงสง่างามดุจต้นสน รูปหน้าที่ชัดเจนทำให้เกิดเงาตกลงบนหน้าต่าง กลายเป็นเงาที่งดงาม 
 
 
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงประตูใหญ่เปิดออก จีเฉวียนทรงชุดเรียบๆ สีอ่อนไพล่มือไว้ด้านหลังเสด็จออกมา 
 
 
พอถอดชุดมังกรออกไป ทั้งที่เขาสวมใส่เสื้อผ้าอย่างคนธรรมดา แต่เพราะคนมีรูปลักษณ์งามจนถึงขั้นล้ำเลิศ เรือนร่างก็งามสง่า เสื้อผ้าที่ดูไปแสนจะธรรมดากลับกลายเป็นเลอค่าขึ้นมาอีกมากโข 
 
 
ตู๋กูซิงหลันแอบดูเขาอยู่ที่ตรงกำแพง ในสมองของนางมีเพียงสองคำวนเวียนอยู่ ‘หล่อโคตร’ 
 
 
นี่เป็นราศีสูงส่งที่สะท้อนออกมาจากภายใน ไม่ว่าจะขยับมือวาดเท้าอย่างไรล้วนมิอาจปิดบังความสง่างามสูงส่งนี้ไปได้ 
 
 
ท่ามกลางความมืดมิด เส้นพระเกศายาวพลิ้วไหว ราวกับคุณชายสูงศักดิ์ในราตรีมืดมิดผู้หนึ่ง ทำให้หัวใจผู้คนวาบหวิว 
 
 
ขนาดวิญญาณทมิฬยังชมดูจนใจลอยไปอยู่บ้าง ” ข้ารู้สึกว่า เจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้เปรียบเทียบกับเจ้าผู้เฒ่าซื่อม่ออาจารย์ของเจ้า ก็ไม่แพ้กันสักเท่าไหร่ “ 
 
 
เป็นพวกที่ยิ่งได้ชมดูก็ยิ่งรู้สึกว่างดงาม 
 
 
ตู๋กูซิงหลันมิได้สนใจเขา ที่ข้างกายจีเฉวียนไม่มีผู้ติดตามแม้สักคน เป็นถึงประมุขของแว่นแคว้นแห้งหนึ่ง กลับกล้ามายังเมืองลี่โจวแต่เพียงผู้เดียว ใจของเขาออกจะบ้าบิ่นเกินไปหน่อยแล้ว 
 
 
สายลมยามค่ำคืนยังไม่ยอมหยุด เสียงหวีดหวิวร่ำร้อง คล้ายกับเป็นวิญญาณผู้ตายมากมาย แม้จะรายล้อมอยู่รอบตัวเขา แต่จะอย่างไรก็ไม่อาจเข้าใกล้เขาได้ 
 
 
วิญญาณแต่ละตนยังไม่ทันได้เข้าใกล้เขา ก็มีอักขระจากยันต์ที่ตาเปล่ามิอาจมองเห็น ปรากฎขึ้นรายล้อมเป็นวงเวทย์ ปกป้องเขาเอาไว้ตรงกลาง 
 
 
ยันต์คุ้มครองที่ตู๋กูซิงหลันวาดขึ้นด้วยตนเองย่อมแข็งแกร่งอย่างยิ่ง 
 
 
จีเฉวียนคล้ายกับว่าทรงรู้สึกถึงสิ่งใดขึ้นมาได้ สองเนตรหงส์ปรายตามาที่ด้านหลัง ตู๋กูซิงหลันได้แต่รีบกลั้นลมหายใจ 
 
 
กลางคืนลมแรง เขาจึงมิได้รั้งอยู่นาน เพียงครู่เดียวก็เสด็จไปทางเรือนตะวันตก 
 
 
หรานอ๋องยังคงยืนส่งเขาอยู่ที่เดิม 
 
 
บุรุษผู้นี้มองดูแล้วมีอายุประมาณสามสิบกว่าปี รูปร่างผ่ายผอม ดวงหน้าซีดขาว โครงหน้ามีเหลี่ยมมุม ใต้ตามีรอยเขียวคล้ำ 
 
 
ทั้งๆ ที่รู้ลักษณ์ของเขาก็นับว่าไม่เลวร้าย แต่ดวงจิตของเขากลับเข้าขั้นย่ำแย่ ทำให้กลายเป็นคนอ่อนแออมโรค 
 
 
แถมที่จริงแล้วเขายังเป็นคนหลังค่อมน้อยๆ อีกด้วย รอจนจีเฉวียนเสด็จจากไปไกลแล้ว เขาถึงได้ยืดตัวขึ้นมามองไปยังเงาหลังของพระองค์อยู่อีกพักใหญ่ 
 
 
” ท่านอ๋อง ท่านก็พักผ่อนให้มากๆ เถอะ ฝ่าบาทเสด็จมาแล้ว เรื่องที่เหลืออยู่นี้ฝ่าบาทจะต้องทรงจัดการอย่างดีเป็นแน่ ” ผู้ติดตามเขากล่าวเตือนด้วยความห่วงใย 
 
 
หรานอ๋องได้ฟังแล้ว ก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างลึกลับอยู่บ้าง ” ถ้าเช่นนั้นก็คงต้องรบกวนฝ่าบาทลำบากมากหน่อยแล้ว “ 
 
 
ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิด รอยยิ้มนั้นดูน่าหวาดหวั่นอยู่บ้าง แม้แต่ตู๋กูซิงหลันที่ชมดูอยู่ก็ยังรู้สึกขนลุกขึ้นมา 
 
 
จากนั้นก็ได้ยินหรานอ๋องกล่าวอีกว่า ” จดจำไว้เสริมกำลังทหารเข้าไปอีก จะต้องหาตัวตู๋กูเจวี๋ยออกมาให้ได้ อยู่ต้องพบคน ตายต้องพบศพ “ 
 
 
” ขอรับ “ 
 
 
รอจนดวงไฟในห้องของหรานอ๋องดับลง ตู๋กูซิงหลันถึงได้หลบออกไป 
 
 
หลังจากครึ่งคืนไปแล้วตู๋กูซิงหลันถึงได้คลำทางมาจนถึงห้องครัวของตำหนักอ๋อง ท้องว่างมาแล้วทั้งวัน นางเองก็หิวมากแล้ว 
 
 
ในอารามร้างเองก็ยังมีฮว๋ายอันที่หิ้วท้องหิวอยู่อีกคนหนึ่ง นางย่อมไม่อาจปล่อยไปอย่างไม่สนใจไยดีได้ 
 
 
ห้องครัวของหรานอ๋องว่างเปล่า ไชเท้าผักสดอะไรก็ร่อยหรอ ข้าวสารและแป้งแทบจะติดก้นหม้อ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเนื้อสัตว์อะไรแล้ว 
 
 
ตู๋กูซิงหลันพลิกหาดูอยู่ครู่ใหญ่ ก็หาพบแต่เพียงแค่หมั่นโถขาวสองใบและผัดผักจานเล็กๆ จานหนึ่ง 
 
 
นางหยิบหมั่นโถได้ก็เตรียมจะหลบออกไป ก็เห็นเงาสีดำที่ดูคุ้นเคยพลิกเข้ามาทางหน้าต่าง 

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset