ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 195 ข้าต้องการร่างเนื้อของเจ้า

เปลวเพลิงสีทองของเจ้าไก่ขนดำสาดส่องจนสามารถมองเห็นดวงจิตของนางได้อย่างชัดเจน ในดวงเนตรสีชาดคู่นั้นยังคงมีความเจ็บช้ำอยู่ 
 
 
ตู๋กูซิงหลันจดจ้องไปยังดวงเนตรของนาง ” หากว่ามิเคยได้สัมผัสถึงความสว่าง ย่อมไม่รู้ว่าความมืดนั้นน่ากลัวเพียงไร หากแม้นมิเคยมีคู่ครอง ย่อมไม่รู้จักความว้าเหว่ เทพธิดาแห่งสายน้ำ ท่านมิได้น่าหัวเราะเลย “ 
 
 
ผู้ที่เป็นเทพเซียนล้วนแล้วแต่ต้องมีชีวิตอย่างอ้างว้าง หากว่าสามารถมีใครสักคนอยู่เคียงคู่กัน ก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่หาได้ยากอย่างยิ่ง 
 
 
คำพูดนี้ของนางทำให้ ชือหลียิ่งจดจ้องมองนางอย่างลึกซึ้งกว่าเดิม ดวงเนตรสีชาดนั้นคล้ายกับว่าต้องการจะมองเข้าไปให้ทะลุถึงภายในของนาง ” เจ้าก็เป็นผู้ที่มีอายุเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น ไหนเลยจะสามารถเข้าใจความเจ็บปวดของผู้ที่เป็นเทพได้กัน? “ 
 
 
” ข้าเป็นถึงเทพประจำลำน้ำลี่เหอ มอบหัวใจทั้งดวงให้แก่เขา แต่สุดท้าย เขากลับหักหลังข้า เขาร่วมมือกับน้องสาวของข้ากระทำเรื่องชั่วช้า ทำลายควันธูปของข้า คิดจะให้ข้าต้องสาปสูญไปจากโลกนี้ มนุษย์อย่างพวกเจ้า ทั้งจิตใจหยาบช้าและน่ารังเกียจนัก “ 
 
 
ตู๋กูซิงหลันได้ฟังแล้ว ก็รู้สึกว่าเรื่องน้ำเน่าพรรค์นี้ช่างฟังดูคุ้นหูอย่างยิ่ง คล้ายกับภาพยนต์ชุดหนึ่งที่นางเคยได้ร่วมแสดงมาก่อน ในเรื่องนั้นน้องสาวแย่งชิงว่าที่พี่เขยมาจากพี่สาว แถมยังเป็นเหตุให้พี่เขยทำร้ายพี่สาวจนพิการ เรื่องน้ำเน่าพรรค์นี้ก็เกิดขึ้นกับพวกเทพเซียนได้เหมือนกันหรือ? 
 
 
นางครุ่นคิดอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยตอบไปว่า ” ข้ารู้สึกว่า ข้าก็เป็นคนดีคนหนึ่ง เจ้าก็ไม่ควรจะใช้ไม้กวาดทุกคนไปด้านเดียว ในโลกนี้ก็ยังมีคนที่มีเมตตาอยู่ “ 
 
 
ชือหลี “……..” การจับประเด็นของนางทำไมถึงได้ประหลาดเช่นนี้? 
 
 
” คนที่มีจิตใจชั่วร้ายในโลกนี้ เจ้าคงยังไม่เคยได้พบมาก่อน ” ชือหลีเปลี่ยนเป็นอึมครึมลงไป นางพยายามจะบังคับลิ้นให้พูดชัด เพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่สูงส่งในฐานะเทพธิกดาแห่งสายน้ำของนาง 
 
 
ตู๋กูซิงหลันถอนใจเบาๆ ก็ถามออกไปอีกว่า ” แล้วต่อมาหญิงร้ายชายโฉดคู่นั้นเป็นอย่างไรบ้างล่ะ? “ 
 
 
ชือหลียังมีน้องสาวอยู่อีกคนหนึ่ง เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง 
 
 
ถ้อยคำที่ว่า ‘หญิงร้ายชายโฉด’ นั้นได้สลักลงในใจของชือหลีแล้ว ดวงเนตรของนางเปล่งประกาย ตอบว่า ” พอข้าถูกกักขังอยู่ใต้อาราม ชือฉิงน้องสาวข้าก็ทำให้แม่น้ำลี่เหอปั่นป่วน จนเกิดกระแสน้ำหลาก ชาวบ้านบริเวณแม่น้ำลี่เหอเมื่อไม่ได้รับความคุ้มครองจากข้า ในไม่ช้าก็ไม่ได้ให้ความเคารพนับถือข้าอีก ข้าจึงยิ่งอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ “ 
 
 
” บุรุษผู้นั้นได้รับความรักนับถือจากชาวบ้าน ยิ่งทีก็ยิ่งมีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ “ 
 
 
ชือหลียิ่งพูดก็ยิ่งโกรธแค้น พูดไปพูดไปนางก็ยิ่งหัวเราะเหอะๆ ออกมา ” พวกเขารักกันแล้วจะอย่างไร ก็ต้องถูกข้าสาปแช่ง ไม่อาจอยู่ร่วมกัน หนึ่งคนหนึ่งงู ย่อมไม่มีทางลงเอยไปได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า “ 
 
 
พอได้พูดถึงเรื่องนี้ชือหลีก็ยินดีกว่าเดิม ” ฟ้าดินไม่ทอดทิ้งข้า ตอนนี้ก็ได้เจอเจ้าแล้ว ในเมื่อรูปปั้นเทพธิดาถูกตั้งขึ้นใหม่ ข้าก็สามารถออกไปจากใต้ดินที่เย็นยะเยือกนี้ได้แล้ว ถึงแม้ว่าจะเหลือเพียงเศษเสี้ยวของดวงจิต ข้าก็จะไม่ปล่อยให้พวกมันได้อยู่อย่างมีความสุข! “ 
 
 
” เจ้าพวกชั่วช้าที่ทรยศข้า ทำร้ายข้า ย่อมต้องไม่มีจุดจบที่ดีแม้แต่คนเดียว! ” พูดถึงตรงนี้ ร่างของนางก็เพิ่มพูนไอหยินที่เย็นยะเยือกขึ้นมา ” รวมไปถึงเจ้าพวกที่ข้าเคยปกป้องเหล่านั้นด้วย! ตอนที่ข้าต้องการพวกมันที่สุด แต่ละคนต่างก็ทิ้งข้าไป ไม่มีแม้แต่จะหยุดแวะพียงชั่วครู่เพื่อกราบไหว้ ต่างก็เป็นเพียงพวกขี้ขลาดตาขาว ปกป้องมันไปมีประโยชน์อะไร! “ 
 
 
นางพูดพลางก็ดึงดูดวิญญาณคนตายดวงหนึ่งเข้ามา จากนั้นก็บีบเค้นมันจนแตกละเอียดไปต่อหน้าต่อตาของตู๋กูซิงหลัน ก่อนจะค่อยๆ ดูดซับดวงวิญญาณเข้าไปในร่างอย่างช้าๆ 
 
 
วิธีการเช่นนี้ดูแล้วน่าหวาดผวาอย่างยิ่ง 
 
 
วิญญาณคนตายเหล่านั้นกรีดร้อง แต่อย่างไรก็ไม่อาจหลบหนีไปได้ 
 
 
วิญญาณอื่นๆ ที่ได้แต่สั่นสะท้าน พวกมันคิดอยากจะหลบหนี แต่กลับถูกพลังเทพของชือหลีกดครอบเอาไว้ จึงมิอาจหลบเลี่ยงไปได้เลย 
 
 
ยามที่ยังมีชีวิตอยู่พวกเขาก็คือชาวเมืองลี่โจว ทั้งยังเคยเชื่อถือเทพธิดาแห่งแม่น้ำลี่เหอ แต่พอแม่น้ำลี่เหอท่วมบ่อยครั้งเข้า พวกเขาก็ละทิ้งนางไป แม้แต่อารามก็ผุพังลงมา 
 
 
ชือหลีดูดกลืนดวงวิญญาณเข้าไปดวงหนึ่ง ดวงจิตของนางก็มั่นคงขึ้นมาบ้าง ดวงเนตรสีชาดนั้นจดจ้องมายังตู๋กูซิงหลันอีกครั้ง นางมองออกไปยังกองโครงกระดูกขาวโพลนที่อยู่ราบรอบ ” พวกนี้ล้วนเป็นบุรุษหนุ่มเยาว์วัยในชุดขาว และไม่มีสักคน ที่จริงใจ หลายปีที่ข้าต้องทนอยู่ในใต้ดินแห่งนี้ ก็เพียงแค่อยากจะให้พวกเขา อยู่เป็นเพื่อนข้าเท่านั้น แต่ละคนต่างก็หวาดกลัวจนไม่กล้ามองข้าแม้สักแวบเดียว ดังนั้นข้าจึงค่อยๆ ทรมานพวกเขาจนตาย “ 
 
 
ตู๋กูซิงหลันพูดไม่ออก หลายวันนี้มีเหล่าวิญญาณแค้นและวิญญาณคนตายถูกดูดกลืนหายไปมากมาย คิดดูแล้วก็คงจะเป็นฝีมือของชือหลีนั่นเอง 
 
 
เพียงแต่ว่าเพราะเรื่องที่นางถูกทรยศหักหลังในปีนั้น ทำให้อุปนิสัยเปลี่ยนแปลงไปจนหมดสิ้น ดูดกลืนวิญญาณคนตายนั้นยังแล้วไปเถอะ แต่ว่านี่แม้แต่คนเป็นก็ไม่ละเว้น 
 
 
กองกระดูกขาวมากมายบนพื้น เกรงว่ายามมีชีวิตอยู่คงมิใช่แค่ถูกทรมานจนตายแล้ว นางหันไปเหลือบมองพี่รองที่อยู่ท่ามกลางกองซากกระต่ายแวบหนึ่ง หากว่านางมาช้าไปอีกสักหน่อย เกรงว่าพี่รองก็คงจะกลายเป็นหนึ่งในโครงกระดูกขาวเหล่านี้แน่ๆ 
 
 
เห็นนางมองดูตู๋กูเจวี๋ยโดยมิได้พูดจา ชือหลีก็หัวเราะเสียงเย็นออกมาคำหนึ่ง ” พี่ชายของเจ้าคนนี้ช่าง โดดเด่นเป็นพิเศษนัก ไม่เพียงไม่หวาดกลัวข้า ยังคอยสั่งสอนข้าอยู่ทุกๆ วัน คิดจะเกลี้ยกล่อมข้า หลายปีมานี้ ผู้ที่สามารถอดทนมาได้หลายวันโดยไม่ตายเช่นนี้ ก็มีแต่เขาเพียงคนเดียว “ 
 
 
ตู๋กูซิงหลันหรี่ตาลงช้าๆ กล่าวว่า ” ข้าต้องการจะพาเขาไป “ 
 
 
ชือหลีได้ฟังแล้ว ดวงเนตรก็มีประกายเย็นชามากขึ้นกว่าเดิม ” พาเขาไปหรือ? นังเด็กน้อย เจ้าพลาดไปแล้ว ตอนนี้ทั้งเจ้าและเขาล้วนตกอยู่ในกำมือของข้า เจ้าจะพาเขาไปได้อย่างไร? “ 
 
 
” ข้าก็บอกแล้วไง บุญคุณที่ติดค้างเจ้านั้นถูกชดใช้ไปแล้ว ถึงตอนนี้ เจ้าก็เหมือนกับเขา ต่างก็เป็นสัตว์เลี้ยงของข้า เจ้าเองยังเอาตัวไม่รอด แล้วยังคิดจะช่วยเขาอีกหรือ? “ 
 
 
ตู๋กูซิงหลัน เดินเข้าไปยังข้างกายพี่รอง ยื่นมือออกไปสัมผัสโซ่เหล็กตรงเอวของเขา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาถามชือหลีประโยคหนึ่ง ” เจ้าคิดจะทำอะไร? “ 
 
 
ชือหลีล่อลวงนางมาจนถึงที่นี่ ย่อมมิได้มีประสงค์ดีอยู่แล้ว จุดนี้ตู๋กูซิงหลันเองก็รู้ดี 
 
 
ชือหลียิ้มอย่างเย็นชา ยกมือขึ้นมาลูบไล้ปอยผมสีแดงเพลิงที่ข้างหู ค่อยยื่นนิ้วยาวๆ ชี้มายังตู๋กูซิงหลัน ” ข้าต้องการร่างเนื้อของเจ้า “ 
 
 
หลายปีมานี้นางควานหาไปจนทั่ว คิดจะตามหา ร่างสักร่างหนึ่งที่สามารถรองรับดวงจิตเทพของนางได้ แต่ว่าน่าเสียดาย จะอย่างไร ก็ไม่เคยได้สมใจ 
 
 
จนกระทั่งบังเอิญได้เจอกับตู๋กูซิงหลัน นางรู้ดีว่าร่างของ แม่นางน้อยผู้นี้ไม่ธรรมดา 
 
 
ดวงจิตที่อยู่ในร่างนี้ก็ยิ่งแปลกประหลาด คล้ายกับว่ามีกึ่งเทพกึ่งมาร เคลื่อนไหวอยู่ นางสัมผัสได้เพียงเท่านี้ 
 
 
แต่เพียงเท่านี้ ก็สามารถยืนยันได้แล้วว่า ร่างและดวงจิตของแม่นางน้อยผู้นี้ไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกัน ดูท่าแล้วก็คงจะเป็นการเข้าสิงเช่นกัน 
 
 
” ร่างเนื้อนี้ เดิมทีก็ไม่ใช่ของเจ้า หากเจ้ามอบนางให้กับข้า ข้าก็จะแผ่เมตตา ละเว้นชีวิตพี่ชายของเจ้าสักครั้ง ” นางพูดไป ก็เคลื่อนเข้าไปหาตู๋กูซิงหลัน 
 
 
ตู๋กูซิงหลันหลบหลีก ชือหลีก็ซัดส่ายอยู่ในอากาศ ยามนี้นางมีแต่เพียงดวงจิตครึ่งบน ใช้ดวงเนตรแดงชาดนั้นจดจ้องมายังตู๋กูซิงหลัน ” นังเด็กน้อย นอกจากต้องรับปากข้าแล้ว เจ้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก “ 
 
 
ตู๋กูซิงหลันมองดูนาง เห็นในดวงเนตรของชือหลีมีแต่ความละโมภอย่างไม่อาจปิดบัง 
 
 
ที่แท้ที่นางต้องการก็คือร่างเนื้อ จึงต้องยอมเสียเรี่ยวแรงไปมากมายกว่าครึ่งวัน ช่างน่าสงสารเทพธิดาแห่งสายน้ำผู้นี้อยู่เหมือนกัน 
 
 
” ว่าแต่หากได้ร่างกายของข้าไปแล้ว เจ้าคิดจะทำสิ่งใดกันละ? “ 
 
 
ความใจเย็นของตู๋กูซิงหลันราวกับสุนัขแก่ที่ชำนิชำนาญงาน ภายนอกนางดูตกตะลึงพรึงเพริด ” เจ้าเป็นถึงดวงจิตของเทพ ข้าไม่ใช่คู่มือของเจ้าเลยสักนิด แต่ว่าหากข้าไม่มีร่างเนื้อ ก็เท่ากับว่าต้องตายแล้ว อย่างน้อยๆ ข้าก็นับว่ามีบุญคุณกับเจ้ามาบ้าง เจ้าก็ควรจะให้ข้าได้ตายอย่างเข้าใจอะไรชัดเจนมิใช่หรือ? “ 
 
 
 
 
 
——
 
 
แซ่ 蚩 นี้ มีเสียงพ้องกับคำว่า 吃 ที่แปลว่า กิน ดังนั้นก็เหมาะสมแล้วกับสองสาวพี่น้องที่บริโภคผู้อื่นเป็นอาหาร
 
 
ชือหลี (蚩梨) : 梨 อักษรตัวนี้แม้จะแปลว่าลูกแพร แต่ว่าคนจีนไม่นิยมนำมาตั้งชื่อลูกหลาน เนื่องจากพ้องเสียงกับคำว่า 离 ที่แปลว่าพรากจาก ดังนั้นตัวละครนี้จึงถูกกำหนดมาให้ต้องมีรักที่ไม่สมหวังตั้งแต่ชื่อเลย
 
 
ชือฉิง (蚩情) : 情 อักษรนี้หมายถึงความรัก ความผูกพัน ตัวละครน้องสาวจึงเป็นผู้ที่ชะตาพัวพันอยู่ในความรักและความลุ่มหลง นางทำทุกสิ่งเพื่อความรักของนาง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset