ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 203 ที่แท้นางก็มิได้หลอกลวงเขา

มันกระพือปีกทั้งสองข้าง และด้วยการกระโดดโผเพียงครั้งเดียวก็โบยบินออกไปจากทางเดินใต้ดินไปแล้ว 
 
 
พอส่งเสียงร้องออกมาครั้งหนึ่ง ทั่วทั้งร่างก็เปล่งประกายสีทองออกมา 
 
 
มันสะบัดปีก อุ้งเท้าที่รวบอยู่ในอากาศก็แสดงท่วงท่าอันสง่างามและองอาจออกมา โผบินด้วยลีลาที่สุดแสนจะหยิ่งผยอง 
 
 
ท่ามกลางท้องฟ้าที่อึมครึมพลันปรากฎสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งที่มีประกายสีทองทั่วทั้งร่าง สายตาของทุกผู้ทุกนามต่างก็ถูกดึงดูดไปทางนั้น 
 
 
เจ้างูยักษ์พอเห็นมันเข้า ก็คิดถึงความน่ากลัวยามเมื่อถูกเจ้าไก่ตัวนั้นโจมตีเมื่อหลายคืนก่อนขึ้นมาทันที 
 
 
ความดุร้ายของมันจึงถดถอยลงไปมาก 
 
 
พอมันม้วนหางได้ก็คิดจะหลบหนี แต่กลับถูกเหล่าองครักษ์และนักพรตทั้งหลายสกัดไว้ 
 
 
เจ้าติ๊งต๊องโฉบลงไปตรงบริเวณเจ็ดนิ้วจากหน้าท้องของมัน กรงเล็บที่แหลมคมคู่นั้นเปล่งประกายสีทองออกมา มันตะปบลงไปโดยมิได้รอช้า 
 
 
ทันทีที่กรีดอุ้งเท้าลงไป ก็ฉีกเอาเกล็ดที่แข็งแกร่งเหล่านั้นออกมา 
 
 
” ซี่ ซี่ ซี่……” งูยักษ์กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างกายที่ใหญ่โตโอฬารของมันขดม้วนไปมาคิดจะสะบัดเจ้าไก่ขนฟูตัวนั้นลงไป 
 
 
แต่ยิ่งมันออกแรง กรงเล็บของเจ้าไก่ขนฟูก็ยิ่งตะครุบแน่นขึ้น เล็บของมันยาวเสียยิ่งกว่ามีดสั้น พอกรีดทะลุเกล็ดลงไปก็ฉีกจนเห็นเนื้อที่อยู่ภายใน 
 
 
จุดเจ็ดนิ้วจากหน้าท้องของงูนั้นเป็นบริเวณที่ใกล้กับหัวใจของงู หากว่าหัวใจถูกตะครุบเอาไว้ มันก็ได้แต่ต้องตายสถานเดียวแล้ว 
 
 
กรงเล็บที่ยาวและแหลมคมของเจ้าไก่ตัวนั้นเดิมทีมิได้มีผลกับมันสักเท่าไร ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถเผาผลาญสิ่งชั่วร้ายทั้งหมด มันต้องคำสาปแห่งทวยเทพต้องกลายเป็นอสรพิษดุร้าย เดิมที่ก็นับว่าตัวประหลาดที่ไม่อาจสู้หน้าผู้คนได้อยู่แล้ว 
 
 
พอแสงเพลิงสีทองนี้แผดเผาจากจุดเจ็ดนิ้วลงไป ก็ยิ่งทำให้กระทั่งหัวใจของมันถูกเผาไปด้วย จนมันเจ็บปวดอย่างไม่อาจทนทาน 
 
 
แต่ว่าหางของมันยังคงม้วนตัวจีหรานเอาไว้ ทำให้ไม่อาจตอบโต้เจ้าไก่ขนฟูนั่นได้เลยแม้แต่น้อย 
 
 
มันคิดแต่จะพาจีหรานหนีไปให้ไกลจากที่นี่ 
 
 
” กะ กะ กะต๊าก! “เจ้าไก่ขนฟูคือติ๊งต๊องผู้ไร้ความปราณี มันตะกุยกรงเล็บลงไป ทั้งยังสาดแสงเพลิงออกมาโดยมิได้หยุดหายใจ 
 
 
ยามนี้ไฟนั่นแผดเผาไปจนถึงหัวใจของงูยักษ์แล้วจริงๆ 
 
 
จนสามารถได้ยินเสียงดังฉ่าๆ ออกมา กลิ่นเนื้อที่ถูกย่างลอยคุ้งไปทั่ว จุดเจ็ดนิ้วของงูถูกย่างจนสุกกลายเป็นเนื้องูสุกใหม่ที่แสนจะน่ากิน 
 
 
เจ้าไก่ขนฟูได้แต่น้ำลายไหล 
 
 
วันนั้นมันได้กินเนื้องูไปเล็กน้อย ก็ได้รับพลังที่สามารถสร้างเพลิงสีทองเช่นนี้ขึ้นมา หากว่าวันนี้มันได้กินไปอีกสักหลายคำ ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดผลได้ถึงขนาดไหน 
 
 
หากว่ามันมีความสามารถเพิ่มพูนขึ้นมาละก็ พี่สาวตัวน้อยจะต้องยิ่งชมชอบมันอย่างแน่นอน 
 
 
ฮืม จะต้องรักมันมากกว่าไอ้ถวนจื่อตัวดำนั่นเป็นแน่ 
 
 
พอคิดได้ถึงตรงนี้ มันก็ใช้จงอยปากที่แหลมคมจิกลงไป ฉีกเอาทั้งเนื้อและเกล็ดหลุดออกมาชิ้นใหญ่ กลืนลงไปโดยไม่ได้เคี้ยวเลยแม้แต่น้อย 
 
 
ที่จริงแล้ววิญญาณทมิฬเองก็คิดอยากจะเข้าไปเอาส่วนแบ่งอย่างยิ่ง แต่ว่าน่าเสียดายกระทั่งตัวมันเองยังต้องเกรงใจเพลิงสีทองของเจ้าไก่ขนฟูตัวนั้น จนไม่กล้าเข้าใกล้เลยสักนิด 
 
 
พอคิดไปคิดมาแล้วมันก็เห็นว่าชีวิตน้อยๆ ของตนเองยังคงสำคัญกว่า เนื้องูนั่นมันคงได้แต่ต้องถอดใจเสียแล้ว 
 
 
เพียงครู่เดียว เจ้าไก่ขนฟูก็กลืนเนื้องูลงไปอีกชิ้น 
 
 
พอผู้คนทั้งหลายอยู่ๆ ก็ได้เห็น’ไก่ยักษ์’ ที่มีเพลิงสีทองโผบินออกมาก็ต้องพากันตกตะลึงไปตามๆ กัน 
 
 
พอเห็นมันโผบินขึ้นสูง ตลอดร่างสง่างามแกล้วกล้า แม้แต่งูยักษ์ตัวนั้นก็ถูกมันโจมตีจนไม่มีเรี่ยวแรงจะตอบโต้ได้เลย 
 
 
เจ้าไก่สีทองตัวนั้นบินออกมาจากในอาราม หรือว่าจะเป็นสัตว์เทพที่เป็นผู้ติดตามของเทพธิดากัน? 
 
 
” เราผู้เป็นเทพได้รับเครื่องบูชาขอพรจากโอรสสวรรค์ ย่อมต้องขจัดสิ่งชั่วร้ายแทนสวรรค์ ไก่ตัวนี้เกิดจากผืนทรายใต้ฐานรองนั่งของเรา ควรค่าแก่การให้ความเคารพ ” ตู๋กูซิงหลันเริ่มพล่ามไร้สาระต่อไป 
 
 
สหายติ๊งต๊องนั้นเป็นดาวพิฆาตของงูยักษ์แต่กำเนิด ทั้งๆ ที่ขนาดร่างกายของมันต่างกับเจ้างูยักษ์นั้นมาก แต่ว่ายิ่งจู่โจมก็ยิ่งได้เปรียบ 
 
 
ในเมื่อไม่มีความจำเป็นที่จะต้องออกไปจัดการด้วยตนเอง ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่านางสามารถออมแรงไปได้มาก 
 
 
นางอาศัยจิตเทพเอื้อนเอ่ยของชือหลี นอกจากฮ่องเต้แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดมาสังเกตทางใต้ดินที่ใต้โต๊ะบูชาอีก 
 
 
ยามนี้ดวงเนตรหงส์เหลือบมองลงไปอีกครั้ง 
 
 
คนในวังยิ่งทียิ่งโอหังมากแล้ว ที่แท้แล้วเจ้าไก่ขนฟูที่เขาลงมือจับส่งไปยังห้องเครื่องด้วยตนเองกลับยังไม่ตาย คนในห้องเครื่องเหล่านั่นไปหาไก่กาตัวอื่นมาปิดบังเขา 
 
 
เจ้าไก่ขนฟูนั้นเอาแต่ตามติดนางอยู่ทั้งวี่ทั้งวัน แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ไก่ดีจากที่ไหน 
 
 
ยามนี้มันมีเพลิงสีทองทั่วทั้งร่าง พอคิดว่าหากในอนาคตจะจับมันมาตุ๋นน้ำแกงก็จะต้องยากยิ่งกว่าเดิมแล้ว 
 
 
ขณะที่ฮ่องเต้ทรงกำลังใคร่ครวญปัญหาที่สำคัญนี้อยู่ ก็ชักพระบาทเสด็จไปยังปากทางใต้ดินอีกก้าวหนึ่ง ร่างสูงมองลงไปยังด้านล่าง 
 
 
เพียงแค่แว๊บเดียวก็ทอดพระเนตรเห็นตู๋กูซิงหลันยืนอยู่บนบันไดไม้ 
 
 
นางสวมชุดบุรุษหนุ่มสีดำ เกล้าผมรวบสูงเป็นหางม้าเช่นเดิม ใบหน้ารูปไข่ที่งดงามสะดุดตา คราวนี้ยิ่งส่งประกายองอาจเหนือผู้คน 
 
 
เป็นหนุ่มน้อยที่หล่อเหลางดงามผู้หนึ่ง 
 
 
อยู่ๆ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าศีรษะเย็นวาบขึ้นมา พอเงยหน้ามองดูก็เห็นว่าเป็นพระพักตร์ภูเขาน้ำแข็งพันปีที่ไม่มีวันละลายของฮ่องเต้ 
 
 
อุ้ย ทำไงดี ชักจะอายๆ อยู่เหมือนกัน 
 
 
ทำไมสิ่งที่อยู่ในความสนใจของฮ่องเต้ผู้นี้ถึงได้ไม่เหมือนกับของผู้อื่นตลอดเลยนะ? 
 
 
เจ้าติ๊งต๊องนั้นเท่ห์จะตายเขาไม่คิดจะไปดูบ้างหรือ? 
 
 
เขาสมควรจะประหลาดใจที่ได้เห็นไก่ที่เสกไฟได้ไม่ใช่หรือ? จะวิ่งมานี่เพื่อจับตาดูนางทำไมกัน? 
 
 
พอดวงตาทั้งสี่ประสานกัน สายพระเนตรของจีเฉวียนก็หรี่ลง เมื่อครู่เขาโดนหุ่นไม้สาปแช่ง แม้ว่าน้ำแข็งบางๆ บนใบหน้าจะละลายไปแล้วแต่ว่าสีหน้าก็ยังคงย่ำแย่อยู่หลายส่วน 
 
 
คนดูไปแล้วให้ความรู้สึกคล้ายดั่งกับคนงามที่ป่วยไข้ 
 
 
จีเฉวียนมองเห็นนาง ก็มิได้ตรัสสิ่งใด 
 
 
เขามิได้ประหลาดใจเลยสักน้อย เพียงยืนอยู่ด้านข้าง มองดูนางควบคุมดวงจิตของชือหลี 
 
 
ตู๋กูซิงหลันถูกเขาจ้องมองมา ก็เกรงว่าวันหน้าเขาจะมาหาเรื่องนาง จึงได้แต่ทำหน้าหนากล่าวออกไปว่า ” จีเฉวียน โอรสสวรรค์แห่งต้าโจว ได้รับชะตาฟ้าเป็นมังกรจุติ แคว้นต้าโจวมีประมุขเช่นนี้ ย่อมต้องเจริญรุ่งเรืองสืบเนื่องกันไปทุกรุ่นอีกนานนับพันปี “ 
 
 
แน่นอนว่า ในสายตาของผู้คนทั้งหลาย คำพูดนี้เป็นชือหลีเอ่ยออกมา 
 
 
แต่ที่จริงประโยคประจบประแจงเช่นนี้ เป็นเพียงการดิ้นรนเพื่อการเอาชีวิตรอดของนางเท่านั้น 
 
 
ชือหลีรู้สึกว่านางเป็นเทพมาตั้งนานหลายปี ยังไม่เคยรู้สึกว่าอับอายขายหน้าถึงขนาดนี้มาก่อน 
 
 
จะอย่างไรนางก็เป็นถึงดวงจิตของเทพ แต่ว่านังเด็กน้อยผู้นี้กลับยืมปากของนางมาประจบประแจงฮ่องเต้นั่น 
 
 
ขนาดนางที่เป็นเทพเด็กนั่นยังกล้าเล่นงาน แต่แล้วกลับเกรงกลัวฮ่องเต้องค์หนึ่ง? นางที่มีความสามารถถึงเพียงนี้หากจะกำจัดฮ่องเต้ทิ้งไปสักคนแล้วให้ตนเองขึ้นแทนที่ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาใดๆ เลยสักนิด 
 
 
จีเฉวียนถูกนางประจบประแจงเสียจนอิ่มเอิบขึ้นมาเขานึกถึงคำพูดนี่นางเคยกล่าวกับเขาเมื่อตอนแรกๆ ขึ้นมาได้ 
 
 
นางอยากให้เขาเป็นฮ่องเต้ที่ดี 
 
 
ตระกูลตู๋กูของนางยังจงรักภักดีต่อเขา 
 
 
ที่แท้ นางก็ไม่ได้โกหกเขา 
 
 
เขารู้ว่านางรู้วิชาไสยเวท แต่คิดไม่ถึงว่าแม้แต่จิตของเทพนางก็สามารถควบคุมได้ ทั้งยังใช้ปากของเทพมาพิสูจน์ให้เขาดู 
 
 
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ตู๋กูซิงหลันจะทำเพื่อเขาถึงเพียงนี้ 
 
 
นอกจากตอนเด็กๆ ที่เคยได้รับการปกป้องจากพระมารดาแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่จีเฉวียนทรงรู้สึกว่ามีคนปกป้องเขา 
 
 
หัวใจที่เย็นเป็นน้ำแข็งถูกกระเทาะออกมาเล็กน้อย ความอบอุ่นสายหนึ่งแทรกซึมเข้าไป เติมเต็มในหัวใจของเขา 
 
 
อืม เป็นความอบอุ่นจากดอกฮว๋ายฮวา 
 
 
จีเฉวียนมองดูนาง เกล็ดน้ำแข็งในดวงเนตรหงส์คู่นั้นละลายออกไป ปลายนาสิกแสบร้อนขึ้นมา แม้กระทั่งในดวงเนตรก็มีไอน้ำเกาะพราว 
 
 
นั่นเป็นความรู้สึกที่มิอาจจะบรรยายออกมาได้ 
 
 
เขาที่ถูกพระบิดาทอดทิ้ง ถูกผู้คนรุมรังแก มีกระทั่งช่วงเวลาที่ต้องไปแย่งชิงอาหารกับสุนัข แต่ก็ยังไม่เคยหลั่งน้ำตาเลยสักหยด 
 
 
ตอนนี้กลับ อยากจะร้องไห้ออกมา 
 
 
เขาเป็นฮ่องเต้ จะหลั่งน้ำตาได้อย่างไร? 
 
 
แต่ว่าตอนนี้ หยดน้ำในดวงตากลับเอ่อขึ้นมาอย่างระงับไม่อยู่ 
 
 
เขามองดูตู๋กูซิงหลันด้วยสายตาที่ลึกล้ำครั้งหนึ่ง 
 
 
ในตอนนั้นเอง ฮ่องเต้ได้ทรงตัดสินพระทัยบางอย่างออกไปอย่างเงียบๆ …… 

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset