ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 80 สนมร้าย

เสียนไท่เฟยถือร่มเอาไว้ ทั้งๆ ที่เห็นว่าเป็นเพียงร่มขาวด้ามหนึ่ง แต่กลับบดบังแสงอาทิตย์ทั้งหมดเอาไว้ แสงสว่างไม่อาจเล็ดลอดลงมาได้ 
 
สายตาลึกลับคู่นั้นจดจ้องอยู่ที่ตู๋กูซิงหลัน ทั้งยังแฝงความห่วงใยอยู่เล็กน้อย 
 
สีหน้าของนางสงบนิ่ง แม้แต่ยามสบตากับตู๋กูซิงหลัน นางก็ไม่ได้หลบหลีก ทำให้คนยากจะดูออก 
 
กลับเป็นจีเย่ว์ ที่พอเขาได้สบตากับตู๋กูซิงหลันนั้น ใจทั้งดวงก็สั่นสะท้านเสียแล้ว 
 
ในที่สุดนางก็……ยอมมองมาที่เขาแล้วหรือ?  
 
ขณะที่เต๋อเฟยยังแต่ร่ำไห้อยู่นั้น นักพรตอู๋เจินก็ถามขึ้นอีกครั้ง “พระสนมเต๋อเฟย ท่านหาพบหรือยังว่าเป็นศิษย์คนใดของข้าที่มอบยันต์ให้ท่านไป? “ 
 
 
 
หากว่าเต๋อเฟยผู้นี้ไม่ได้มุสา การที่มียันต์สาปแช่งชั่วร้ายเช่นนี้ถูกส่งออกไปจากอารามเทียนเก๋อกวนของพวกเขา ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง 
 
แต่หากว่าเต๋อเฟยผู้นี้เป็นคนมดเท็จหลอกลวง สตรีเช่นนี้ก็ไม่เหมาะสมที่จะเป็นพระสนมในวังหลังของต้าโจว  
 
เพราะว่าจิตใจที่โหดเ**้ยมร้ายกาจเช่นนี้ หากว่าภายหน้าเกิดสามารถสร้างความหลงใหลให้กับผู้ครองแคว้น เช่นนั้นก็ถือเป็นเภทภัยของบ้านเมืองและปวงประชาแล้ว 
 
เต๋อเฟยส่ายศีรษะ “คนผู้นั้นไม่อยู่ในกลุ่ม……ไม่รู้ว่าอารามเทียนเก๋อกวนดูแลสั่งสอนกันอย่างไร ถึงได้ปล่อยให้มีคนปลอมแปลงกระทั่งลูกศิษย์ของผู้อาวุโสขึ้นมาได้” 
 
พูดออกไปแล้ว นางก็หันไปร่ำไห้น้ำตานองกับจีเฉวียน เพียงวาดหวังว่าเขาจะยังมีเยื่อใยอยู่บ้าง เชื่อมั่นในตัวนาง 
 
แต่สายพระเนตรของฝ่าบาทมีแต่ความเย็นชา ดุจแท่งน้ำแข็งของดวงจันทร์ในฤดูหนาว ทำให้ทั่วร่างของนางกลายเป็นหนาวเหน็บในทันใด 
 
นางมองไปยังผู้คน หวังว่าจะมีใครก้าวออกมาพูดแก้ต่างให้กับตนเอง 
 
แต่ว่าเมื่อมองไปแล้ว สายตาของผู้คนทั้งหลายต่างระแวงคลางแคลงใจ  
 
เมื่อครู่ก่อนคนพวกนี้ยังสรรเสริญนางว่ามีเมตตาปราณีราวพระโพธิสัตว์อยู่เลย ต่างชมเชยว่านางทั้งงดงามและมีจิตใจบริสุทธิ์ แทบจะโอบอุ้มนางลอยขึ้นฟ้าไป….เฮอะแต่ว่าตอนนี้ ต่างก็ลังเลทั้งยังไม่มีน้ำใจ 
 
“พระสนมเพคะ~” ซิ่วเหอเข้ามาพยุงนาง ก่อนหน้านี้ยามที่พระสนมยังเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์นั้น นางมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง ผู้คนที่ส่งเทียบมาสู่ขอมีมากมายจนประตูจวนใหญ่แทบจะพัง 
 
แต่ว่าพระสนมไม่เหลือบแลผู้ใด กลับเอาแต่ปักใจต่อผู้ที่ไม่สมควรจะมอบใจให้ผู้นั้น….. 
 
จวบจนกระทั่งฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ เพราะไม่อาจขัดพระบัญชาจึงจำต้องเข้าวังมาเป็นพระสนม 
 
แต่ว่าฝ่าบาททรงได้สตรีที่ดีงามเช่นพระสนมไปกลับไม่ใส่พระทัย…. ไปยอมให้นังสวะนั่นล่อลวง 
 
หยาดน้ำตาของเต๋อเฟยหยดลงบนพระวรกายของจีเฉวียน แต่จีเฉวียนกลับสนใจมองดูแต่เพียงตู๋กูซิงหลัน 
 
เช่นนี้ก็หมายความว่า ในสายพระเนตรของฝ่าบาท นางไม่มีทางจะเปรียบได้กับเส้นผมสักเส้นของตู๋กูซิงหลันเลยหรือ?  
 
นางกำหมัดแล้วกำหมัดเล่า ภายใต้การพยุงขึ้นของซิ่วเหอ นางตัดสินใจแม่นมั่น มองไปยังจีเฉวียนกล่าวว่า “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันมีความผิด แต่อย่างมากก็เป็นเพียงเพราะถูกนักพรตเลวของอารามเทียนเก๋อกวนนั่นหลอกลวงเอา ทำให้ทำผิดไปโดยมิได้มีเจตนา พระองค์ทรงพระปรีชา จะต้องสามารถช่วยคืนความบริสุทธิ์ให้กับหม่อมฉัน ใช่ไหมเพคะ? “ 
 
ยังมีผู้คนไม่น้อยที่เห็นใจนางอยู่ พวกเขาต่างไม่อาจเชื่อได้ว่าพระสนมเต๋อเฟยจะทำเรื่องเลวร้าย 
 
เจียงเหม่ยหยู่ถึงกับก้าวออกมาเป็นคนแรก “ฝ่าบาทเพคะ พระองค์สมควรสั่งให้มีการสืบสวนอารามเทียนเก๋อกวน คืนความบริสุทธิ์ให้กับพระสนมเต๋อ! หม่อมฉันไม่เชื่อว่า พระสนมเต๋อเฟยที่เป็นคนมีเมตตา จะทำเรื่องร้ายๆ เช่นนั้น” 
 
จีเฉวียนเพียงแต่สาดพระเนตรเย็นชาออกไป ก็ทำให้เจียงเหม่ยหยู่ตกกะใจจนหุบปากลง 
 
หลี่กงกงก็ถลึงตาใส่นาง “ฝ่าบาททรงประสงค์จะทำสิ่งใด ยังจะต้องให้เจ้ามาสั่งสอนหรือ? “ 
 
เจียงเหม่ยหยู่ไหนเลยจะกล้าพูดอีก ได้แต่หลั่งเหงื่อเย็นท่วมศีรษะค่อยๆ ถอยออกไปยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง 
 
เต๋อเฟยทำท่าจะพูดอยู่หลายครั้ง คิดจะอธิบายสิ่งใดเพิ่มเติม ก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าม้าและเห็นบุรุษหนุ่มในชุดขุนนางผู้หนึ่งขี่ม้ามาถึง ที่ด้านหลังของเขายังมีรถม้าขนาดเล็กคันหนึ่งตามมาด้วย 
 
ผู้คนทั้งหลายต่างก็ชะงักไป บุรุษผู้นั้นไม่ใช่ว่าเป็น…….. 
 
ษุรุษผู้นั้นพอมาถึงก็รีบลงจากหลังม้า คุกเข่าลงที่เบื้องหน้าของจีเฉวียน “กระหม่อม ชิงจิ่งหยูแห่งกรมสืบสวนคดี ถวายพระพรฝ่าบาท” 
 
จีเฉวียนโบกพระหัตถ์เบาๆ “ลุกขึ้นแล้วค่อยพูดเถอะ” 
 
“ทูลฝ่าบาท พระสนมฉีผินมีเรื่องสำคัญต้องการจะกราบทูลต่อหน้าพระพักตร์ กระหม่อมไม่กล้ารอช้า จึงได้นำตัวนางมาเข้าเฝ้าโดยพละกาล ทำให้เป็นที่ขุ่นเคืองพระทัยพระองค์แล้ว” 
 
พอได้ยินเขากราบทูลออกมาเช่นนี้ ผู้คนทั้งหลายต่างอดที่จะตกใจไม่ได้ เรื่องของฉีผินผู้นั้นได้ยินว่านางวางยาพิษทำร้ายฝ่าบาท จึงถูกจับขังอยู่ที่กรมสืบสวนมาโดยตลอด แต่กลับสอบไม่ได้ความอันใดออกมา ทำไมถึงได้อยู่ดีๆ ก็มาขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทกันล่ะ?  
 
ประเด็นสำคัญก็คือ จิ่งหยูถึงกับกล้านำนางมาเข้าเฝ้าด้วย? ไม่เกรงหรือว่าจะทำให้ฝ่าบาททรงพิโรธ? 
 
ขุนนางกรมสืบสวนกราบทูลจบ ก็เห็นว่าม่านบนรถม้าถูกแง้มออกมา ฉีผินที่ผ่ายผอมราวหนังหุ้มกระดูกค่อยๆ ลงมาจากรถม้า คุกเข่าลงตรงหน้าจีเฉวียนโดยทันที 
 
“ฝ่าบาทเพคะ~ ขอทรงพระกรุณาให้ความเป็นธรรมกับหม่อมฉันด้วยเพคะ~” 
 
ทันทีที่เห็นฉีผินปรากฎตัว สีหน้าของเต๋อเฟยก็กลายเป็นซีดขาวไปในทันที ขณะที่นางจดจ้องไปที่ฉีผิน เลือดในตัวทั้งหมดก็จับตัวจนเย็นเฉียบ 
 
ยามที่ฉีผินเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาที่ปูดโปนนั่นราวกับผีตายโหง จ้องมองนางด้วนความเคียดแค้น 
 
ชั่วขณะนั้นความรู้สึกไม่ดีอย่างรุนแรงก็ก่อตัวขึ้นจับหัวใจของเต๋อเฟย ทำให้แม้แต่มือของนางยังสั่นสะท้าน 
 
คราวนี้ แม้แต่ซิ่วเหอเองก็พูดอะไรไม่ออกไปแล้ว ……นางหันไปมองหาตู๋กูเหลียนจ้องนางด้วยแววตาเย็นยะเยือก ใช้สายตาเย็นวาบนั่นไต่ถามนางว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน 
 
ฉีผินไม่ได้ถูกตู๋กูซิงหลันฆ่าตายก็แล้วไป แต่ทำไมถึงได้เลือกที่จะมาขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทในช่วงเวลาเช่นนี้ด้วย? 
 
เสียดายที่ ‘ตู๋กูเหลียน’ ก็หน้าเสียและตื่นตระหนกเช่นกัน ราวกับว่านางไม่กล้าที่จะเชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็นอยู่ด้วยซ้ำ 
 
เต๋อเฟยและซิ่วเหอย่อมไม่กล้าไปหาเรื่องเอาความต่อหน้าผู้คนทั้งหลาย 
 
ซิ่วเหอส่งสายตาเย็นชา พอเห็นฉีผินเริ่มเปิดปากพูด นางก็ล้วงเอาเข็มพิษออกมา 
 
เพียงแต่นางเองก็ไม่กล้าเขวี้ยงออกไปโดยง่าย ข้างกายของฉีผินมีตู๋กูจุนอยู่ใกล้ๆ หากขว้างเข็มนี้ออกไป แล้วเกิดโดนตู๋กูจุนจับได้ ก็จะยิ่งแก้ตัวได้ลำบากแล้ว 
 
นางลังเลอยู่เป็นนาน ถึงได้ยอมล้มเลิกความตั้งใจ 
 
ขณะนั้นเองก็ได้ยินฉีผินกราบทูลฝ่าบาท “ฝ่าบาทเพคะ! หม่อมฉันมีความผิด! ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไม่ควรหลงเชื่อเต๋อเฟย วางแผนลงมือโหดเ**้ยมต่อไทเฮา ไหนเลยจะรู้ว่าเกิดความผิดพลาดจับพลัดจับผลูกลายเป็นทำร้ายพระองค์เข้า! และเพราะครอบครัวของหม่อมฉันตกอยู่ภายใต้อำนาจของท่านรองมหาเสนาฯ จึงไม่มีทางเลือก แม้แต่ยามอยู่ในคุกของกรมสืบสวนหม่อมฉันก็ยังไม่กล้าจะสารภาพชื่อของเต๋อเฟยออกมาแม้สักคำ! “ 
 
ผู้คนทั้งหลาย “??? “ 
 
เต๋อเฟยมีโทสะขึ้นมาแล้ว “ฉีผิน ที่ผ่านมาข้าเอ็นดูเจ้าดุจน้องสาวแท้ๆ แต่เจ้ากลับมีใจอำมหิตโหดร้ายคิดให้ร้ายใส่ความข้าหรือ? “ 
 
เดิมทีเต๋อเฟยเองก็ตื่นตระหนกเพราะเรื่องยันต์สาปแช่งนี้อยู่แล้ว ตอนนี้กลับเพิ่มเรื่องของฉีผินเข้าไปอีก นางสุดที่จะรับมือได้ทันแล้วจริงๆ 
 
ถึงแม้นางจะเคยสงบนิ่งเยือกเย็นถึงเพียงไหน แต่ยามนี้ถึงกลับลืมตนไปแล้ว 
 
“เฮอะ พระสนมเต๋อเฟย ท่านรีบเอาหน้ากากเมตตาจอมปลอมนั่นเก็บไปเถอะ ” ฉีผินหัวเราะเสียงเย็น “ข้ายังไม่ตาย เจ้าประหลาดใจมากใช่ไหมเล่า? ใครให้สวรรค์มีตากันล่ะ เจ้าคิดกระทั่งจะฆ่าข้าปิดปาก แล้วผลักความผิดไปให้ไทเฮา หรือยังจะให้ข้าต้องทนรับแทนเจ้าต่อไปอีกหรือ? ถึงแม้ข้าจะไม่ได้เกิดมาสูงส่งเช่นเจ้า แต่ก็จะไม่ยอมให้เจ้าได้เหยียบย่ำได้อีก! “ 
 
ผู้คนทั้งหลาย “!!! ” หากนี่ไม่ใช่เรื่องจริง แล้วไยฉีผินถึงได้มีสภาพเช่นนี้? 
 
เพราะอย่างไรบิดาของนางก็ยังทำงานอยู่ใต้การบังคับบัญชาของรองมหาเสนาบดี ก็เสมือนหนึ่งว่าคนทั้งบ้านตกอยู่ภายใต้ฝ่ามือของรองมหาเสนาฯ 
 
อย่าว่าแต่ขุนนางกรมสืบสวนมีชื่อเสียงลือลั่นเรื่องการสืบเสาะหาข่าว ……ฉีผินสามารถอดทนการเค้นข่าวของจิ่งหยู ก็แสดงว่านางเป็นคนที่อดทนอย่างยิ่ง ปิดปากแน่นราวขวดถูกผนึก หากไม่ใช่เพราะเต๋อเฟยทำเกินกว่าเหตุไป ฉีผินไหนเลยจะมาสารภาพต่อหน้าชี้ตัวนางออกมาได้? 
 
พูดจบแล้ว ฉีผินก็ล้วงเอาหนังสือโลหิตม้วนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ “ฝ่าบาท เรื่องราวทั้งหมดหม่อมฉันได้สารภาพไว้ในฏีกาโลหิตฉบับนี้แล้ว มิว่าฝ่าบาทจะทรงตัดสินเช่นไร หม่อมฉันล้วนยอมรับโทษ หากแต่ขอฝ่าบาททรงล้างพระเนตรให้กระจ่างใส อย่าได้ถูกสนมร้ายข้างพระองค์อาศัยโฉมหน้าเมตตามาหลอกลวงพระองค์อีกต่อไป! “ 
 
ขณะที่นางพูดถึงสนมร้ายอยู่นั้น ผู้คนต่างก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้พากันหันไปดูตู๋กูซิงหลันเป็นตาเดียว 
 
ไม่ว่าจะพิจารณาดูอย่างไร นังตัวร้ายนั่นก็ดูคล้ายสนมร้ายมากกว่าเถอะ 

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset