ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 270 เป็นฮ่องเต้ผู้ทรงสูงส่งจริงๆ

ชือหลีไม่มีร่างจริง ถึงตอนนี้ก็ยังมีร่างจิตเพียงครึ่งเดียว นางจงใจพรางกลิ่นอาย หากว่าไม่มีตบะสูงพอก็จะมองไม่เห็นนาง 
 
 
ตอนนี้นางจ้องมองไปยังผู้อาวุโสหยู่ซั่ง ในดวงตาสีแดงนั้นก็คือความเย็นยะเยือกอย่างที่สุด “ไม่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังของเจ้าจะเป็นใคร ก็จงออกห่างให้ไกลจากลูกหมาของข้า หากเราผู้เป็นเทพมีโทสะขึ้นมา ก็จะขุดศพบรรพบุรุษทั้งสิบแปดรุ่นของเจ้าขึ้นมาทรมาน” 
 
 
ผู้อาวุโสหยู่ซั่งตกตะลึงจนไม่ทันได้เรียกสติกลับมา ดวงจิตของชือหลีกดดันจนนางหายใจไม่ออก ไม่กล้าแม้แต่จะร่ำร้องที่กระดูกข้อมือถูกบีบจนแตกหัก ได้แต่เงยหน้าขึ้นมามองดูชือหลี 
 
 
บนภูเขาเทียนซานแห่งนี้……ถึงกับยังมีเทพสถิตอยู่? 
 
 
ถึงแม้ว่าจะเป็นร่างจิตที่มีอยู่เพียงครึ่งเดียว บนร่างก็ยังมีเหล่าวิญญาณคอยพยุงยามเคลื่อนไหว แต่ว่าก็เป็นเทพอย่างแน่นอน เป็นเทพที่มีไอชื้นอยู่ในดวงจิต 
 
 
ถึงแม้ว่านางเห็นแล้วก็จะยังไม่เข้าใจ ว่าทำไมเทพผู้หนึ่งถึงต้องมาคอยพิทักษ์ขุนนางอวี้ซื่อของแคว้นต้าโจว? 
 
 
คนปากพล่อยผู้นั้นไปเอาโชคเช่นนี้มาจากที่ใดกัน? 
 
 
ชือหลีเองก็ไม่เข้าใจว่าตนเองทำไมจะต้องโกรธมากมายถึงขนาดนี้? บางทีอาจจะเป็นเพราะช่วงเวลาที่คุมขังตู๋กูเจวี๋ยเอาไว้ จึงทำให้ถือว่าเขากลายเป็นสัตว์เลี้ยงของตนเองเสียแล้ว 
 
 
สัตว์เลี้ยงทุกชนิด มีแต่ตนเองเท่านั้นที่สามารถรังแกได้ ผู้อื่นไม่อาจแตะต้องแม้แต่น้อย 
 
 
ในเมื่อผู้อาวุโสหยู่ซั่งยังมิได้ตอบรับ ก็ได้ยินเสียงชือหลีกล่าวต่ออีกว่า “หากว่ายังไม่เพียงพอ เราก็จะสาปแช่งไปยังลูกหลานของเจ้าทุกรุ่นเป็นไง?” 
 
 
ผู้อาวุโสหยู่ซั่งอึกอักขึ้นมา “ข้าไม่มีลูกหลาน” 
 
 
นางอายุมาขาดนี้แล้ว แม้แต่คนมาชอบพอก็ยังไม่มี ทุกคนเอาแต่คร่ำเคร่งกับการฝึกฝน วาดหวังในความก้าวหน้า หรือไม่ก็มีชีวิตยืนยาว กลายเป็นสุดยอดผู้เข้มแข็งผู้หนึ่ง ใครจะมีเวลามาสนใจเรื่องของชายหญิงกันนางอายุมากขนาดนี้แล้ว แม้แต่คนมาชอบพอก็ยังไม่มี ทุกคนเอาแต่คร่ำเคร่งกับการฝึกฝน วาดหวังในความก้าวหน้า หรือไม่ก็มีชีวิตยืนยาว กลายเป็นสุดยอดผู้เข้มแข็งผู้หนึ่ง ใครจะมีเวลามาสนใจเรื่องของชายหญิงกัน 
 
 
“งั้นก็สาปแช่งเจ้าแล้วกัน” ชือหลียิ้มอย่างเย็นชา ยื่นปลายนิ้วออกมาข้างหนึ่งปาดลงไปบนลำคอของอีกฝ่ายเบาๆ ผู้อาวุโสหยู่ซั่งถูกกรีดผิวเป็นปากแผลเส้นหนึ่ง เลือดที่หยดออกมาจากปากแผล เย็นยะเยียบ 
 
 
นางรู้สึกหนาวจนชาวาบไปในทันที รีบส่ายศีรษะอย่างรวดเร็ว โยนคำสั่งขององค์ชายน้อยในหัวทิ้งไป “เป็นข้ามีตาแต่ไร้แวว บังอาจไปล่วงเกินคนของท่านเทพ ข้าสำนึกในความผิดของตนเองแล้ว ต่อไปไม่กล้าแตะต้องเขาอีกแม้แต่เส้นขน” 
 
 
ใช่แล้ว นางจะไม่ลงมือ แต่ปล่อยให้ผู้อื่นจัดการแทน 
 
 
ชือหลีหัวเราะเย็นชาสองคำ ก็ถีบลงไปบนเข่าของอีกฝ่าย “ไสหัวไปซะ” 
 
 
ผู้อาวุโสหยู่ซั่งไม่กล้ารั้งอยู่ คว้าแส้ของตนเองถอยออกไปในทันที แม้แต่หยวนเฟยนางก็ไม่สนใจอีกแล้ว 
 
 
คนของแคว้นต้าโจวแม่แต่ขุนนางอวี้ซื่อยังมีเทพคุ้มครอง แล้วถ้าเป็นพระสนมโปรดของฮ่องเต้ละ? คงจะมีแต่ผีสางเท่านั้นที่รู้ว่ามีสิ่งใดคอยคุ้มครองอยู่ 
 
 
ในใจของนางตอนนี้ก็ยังหวาดผวาไม่หาย ทำงานยังไม่ทันสำเร็จก็เกือบจะถูกฆ่าตายเสียแล้ว ถึงแม้ว่านางจะเป็นผู้อาวุโสของเขาฮว่าชิงซาน แต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่าเทพ ก็ยังไม่อาจต่อต้านใดๆ ได้ทั้งสิ้น 
 
 
เจ้างูเขียวน้อยที่อยู่บนข้อมือของหยวนเฟยตกใจจนเกือบฉี่ราด 
 
 
งูเขียวยักษ์ที่ติดตามพวกมันมาตลอดทาง ถึงกับอยู่ใกล้ๆ ขนาดนี้เลย? ไม่ใช่แค่นั้นนางถึงกับสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ด้วย? 
 
 
งูเขียวยักษ์ตัวนี้คงไม่ใช่ว่าถูกเมิ่งเมิ่งเลี้ยงเอาไว้หรอกนะ? 
 
 
หรือว่าถูกเมิ่งเมิ่งไปก่อเรื่องอาละวาดมากัน? อย่างเช่นว่าไปถอนเกล็ดงูของผู้อื่น….เพราะเรื่องเช่นนี้นางเคยทำบ่อยๆ 
 
 
ยิ่งคิดเจ้างูน้อยก็ยิ่งกลัว จนตัวของมันแข็งทื่อไปหมดแล้ว พอมันบังเอิญถูกชือหลีจ้องตาอีกครั้งหนึ่ง ก็ตกใจเสียจนแทบจะเป็นลมตายไปเลย 
 
 
 
 
 
…………………. 
 
 
บนร่างของตู๋กูเจวี๋ยเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำสีดำที่เหม็นคาว ตอนนี้อยู่ๆ เขาถึงได้รู้สึกหนาววูบๆ วาบๆ ขึ้นมา 
 
 
ก็ไม่รู้ว่าทำไม ถึงได้รู้สึกถึงลมหายใจที่คุ้นเคย 
 
 
ยามที่เขาหันศีรษะมองออกไปรอบๆ กลับไม่เห็นอะไรเป็นพิเศษ….. 
 
 
ประหลาดจริงๆ ทำไมเขาถึงได้กลิ่นของดอกฮว๋ายฮวาขึ้นมา? 
 
 
ไม่ใช่กลิ่นแบบที่อยู่บนร่างของน้องเล็ก เป็นกลิ่นชื้นๆ ของดอกฮว๋ายฮวา แบบที่คล้ายกับในอารามของชือหลี 
 
 
เอ๋…..ชือหลีจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? 
 
 
จะต้องเป็นเพราะว่าสมองของเขามีน้ำเข้าไปแน่ 
 
 
ตู๋กูเจวี๋ยโยกศีรษะ อยากจะลองดูว่าสามารถเทน้ำออกมาได้หรือไม่ 
 
 
ชือหลี “…..” โง่จริง 
 
 
………….. 
 
 
ท่ามกลางหมู่เมฆ ตู๋กูซิงหลันได้แต่มองดูเหตุการณ์อยู่เฉยๆ ดวงตาของนางหรี่ลงไปเป็นเส้นตรง 
 
 
ชือหลีมาถึงนี่แล้ว ก็แล้วไปเถอะ….. ‘ลูกหมาน้อยของข้า’ นั่นหมายความว่าอะไร? 
 
 
ตู๋กูซิงหลัน คิดย้อนกลับไปถึงยามเมื่ออยู่ในเมืองลี่โจว พี่รองผู้โง่เขลาคิดจะลากชือหลีไปกล่าวคำสาบาน…… 
 
 
สุดท้ายยังไม่ทันสาบานสำเร็จ ก็ถูกนางลากกลับมาก่อน 
 
 
พี่ตัวแสบนั่น คงไม่ได้ฉวยโอกาสที่นางไม่ทันสังเกต กลับไปให้คำสาบานอะไรที่ไม่สมควรจะให้หรอกนะ ถึงได้ดึงดูดชือหลีให้มาถึงที่นี่ได้? 
 
 
ฮ่องเต้ที่ทรงทอดพระเนตรงิ้วอยู่พลันขมวดพระขนง หันมาทางเจ้าอ้วนน้อยที่อยู่ข้างพระองค์ ตรัสถามอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ลูกหมาน้อยคืออะไร?” 
 
 
ตู๋กูซิงหลัน “……” 
 
 
“เปรียบเทียบว่าเป็นน้องชายที่น่ารัก” วิญญาณทมิฬช่วยตอบแทนนาง “ฝ่าบาท อย่างพระองค์ไม่มีทางเหมาะกับลูกหมาน้อยหรอก” 
 
 
“ตู๋กูเจวี๋ยน่ารักมากหรือ?” ฮ่องเต้ทรงสงสัยอย่างจริงจังว่าสายตาของชือหลีต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน 
 
 
สมควรใช่อยู่…..หากไม่ใช่ว่าสายตาในการมองบุรุษของนางไม่ดี ก็คงจะไม่ทำให้เกิดคดีน้ำท่วมที่ลี่โจวขึ้นมาหรอก 
 
 
ดังนั้นไม่อาจใช้มุมมองของชือหลีมาตัดสินบุรุษได้ 
 
 
ตู๋กูเจวี๋ยเป็นคนพูดมาก ไม่เห็นจะดูน่ารักที่ตรงไหน 
 
 
ตรัสแล้ว ก็หันพระพักตร์ไปถามตู๋กูซิงหลันอีกครั้ง “เสี่ยวซิงซิง เจ้าคิดว่า เราไม่น่ารักหรือ?” 
 
 
ตู๋กูซิงหลันหลั่งเหงื่อเย็นๆ ท่วมศีรษะ เขาไปเอาความมั่นอกมั่นใจมาจากไหนว่าตนเองน่ารัก? 
 
 
ไม่น่ารักเลยสักนิด น่ากลัวมากๆ! 
 
 
ยังดีที่จีเฉวียนยังพอจะมีความสำนึกรู้ตัวอยู่บ้าง เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตรัสตอบออกมาเองว่า “เอาเถอะ….เรากับความน่ารักก็ดูจะไม่ค่อยเข้ากันสักเท่าไหร่” 
 
 
“แต่ว่านอกจากไม่น่ารักแล้ว เรายังมีข้อดีอื่นอีกมากมาย หรือว่าเจ้าไม่เคยรู้?” 
 
 
ตู๋กูซิงหลัน “….” นอกจากมีหน้าตาดี รูปร่างดี มีเงินทองและอำนาจแล้ว……นางก็หาข้อดีของเขาไม่เจอเลย 
 
 
“อย่างแรก เราหน้าตาดี แล้วก็ เราทรงศักดิ์สูงส่ง นอกจากนั้น เรามีเงินเยอะ ที่สำคัญอย่างสุดท้าย เรามีรักลึกล้ำหนักแน่นมั่นคง….” 
 
 
อยากพูดอะไรก็พูดไป ไม่ต้องวกมาทางนี้ก็ได้! 
 
 
หากลบคำว่าหนักแน่นมั่งคงออกไป พวกเรายังคงพอพูดคุยกันได้ 
 
 
ส่วนเรื่องความรักลึกล้ำอะไรนั่น…..ก็ช่างมันไปเถอะ ในวังยังมีซูคนงามที่ท้องโตอยู่เลย 
 
 
ยามที่นางลำบากตั้งครรภ์ สามีกลับพาหญิงอื่นไปท่องเที่ยวชมภูเขาและสายน้ำ นี่เรียกว่ารักลึกซึ้งตรงไหน? 
 
 
ตู๋กูซิงหลันอดจะกรอกลูกตาขาวไม่ได้ 
 
 
“พอคิดดูให้ละเอียด ข้อดีของเรามีมากมายจริงๆ นอกจากหลายข้อเมื่อครู่ เราก็ยังชาญฉลาด อีกหน่อยพอมีลูก ต้องให้มีสมองเหมือนเรา” จีเฉวียนคิดๆ ดูแล้ว ก็รู้สึกว่าคำพูดนี้ไม่เคารพนางมากเกินไป จึงตรัสอีกว่า “เหมือนเจ้าก็ได้ ไม่โง่” 
 
 
ตู๋กูซิงหลันอยากจะกระอักเลือดใส่หน้าของเขาจริงๆ 
 
 
“ดังนั้น นอกจากคำว่าลูกหมาน้อยที่เอาไว้ชมคนแล้ว เจ้ายังมีคำใดจะมาชมเราหรือไม่?” 
 
 
จีเฉวียนเฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ เขาอยากจะได้ยินตู๋กูซิงหลันชมเขาจริงๆ 
 
 
แบบที่ตั้งใจมากๆ 
 
 
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้นางมักจะกล่าวคำประจบประแจงเขา แต่ว่าฟังดูแล้วยังเป็นทางการมากไป 
 
 
ตู๋กูซิงหลันฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย ดวงตาดอกท้อกระพริบวิบๆ วับๆ “ฝ่าบาท อยู่ๆ หม่อมฉันก็นึกถึงคำที่เหมาะสมกับพระองค์มากคำหนึ่งขึ้นมาเพคะ” 
 
 
จีเฉวียนยกยิ้มมุมพระโอษฐ์ สีพระพักตร์เต็มไปด้วยความเฝ้ารอ “เจ้าว่ามาสิ” 
 
 
ตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้มหวาน กล่าวออกมาสามคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “สุนัข…เฒ่า….บ้าอำนาจ” 
 
 
จีเฉวียน “หืม?” ฟังดูแล้วไม่ค่อยจะเหมือนคำชมสักเท่าไหร่ 
 
 
“ที่บอกว่า แก่เฒ่า นั้นคือชมว่าท่านสงบนิ่งสุขุมลุ่มลึกมากด้วยแผนการ สุนัขคือ เปรียบเทียบว่าเพื่อแคว้นต้าโจวแล้ว ท่านเฝ้าปกป้องรักษาแผ่นดิน บ้าอำนาจ คือพระบารมีของฝ่าบาทอยู่เหนือผู้คน ไม่ว่าใครที่ได้พบเห็นเป็นต้องคุกเข่าลงคำนับด้วยความเคารพในองค์ฮ่องเต้” 
 
 
 
 
 
—— 
 
 
คุยกันนิดนึง: 
 
 
ไรท์: ระดับพี่เต้ แค่นี้ไม่พอหรอก ตอนต่อไปถึงได้ชื่อว่า “ชมเราอีกหลายๆ รอบ” 555 
 
 
ศัพท์วันนี้: 
 
 
小奶狗: เสี่ยวหน่ายโกว่ : (ลูกหมาน้อยที่ยังไม่หย่านม) ละอ่อนน้อยหน้ามนที่ยังไม่ ประสีประสาเรื่องความรัก หนุ่มขี้อ้อน 
 
 
老狗逼: เหล่าโกว่ปี้: ไอ้หมาแก่ หนุ่มใหญ่เจ้าเล่ห์ ชำนาญเส้นทาง รู้จักวิธีการอย่างดี ผู้ชำนาญเกมส์ 

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset