ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 326 เคียงบ่าเคียงไหล่กับจีเฉวียน

ท่ามกลางแสงเพลิงเรืองรอง พระองค์ทรงมองเห็นกลุ่มคนของเหลียงจวิ้นอ๋อง  
 
 
แสงเพลิงลุกโหมไม่ยอมหยุด บนท้องฟ้าก็ยังมีลูกศรเหล่านั้นโบยบินอยู่เต็มไปหมด แสดงให้เห็นชัดเลยว่าสวนตะวันออกแห่งนี้ถูกคนวางเพลิงเข้าแล้ว  
 
 
“เหลียงป๋อ” จีเฉวียนประทับยืนอยู่บนต้นไม้ ดวงเนตรหงส์ทอประกายแสงออกมา  
 
 
เพียงแค่พระองค์เปล่งพระสุรเสียงออกไป ก็ดังไปทั่วทั้งสวนตะวันตก ถึงแม้ว่าจะมีเพลิงลุกท่วมอยู่ แต่ว่าคนภายนอกต่างก็สามารถได้ยินเสียงของพระองค์อย่างชัดเจน  
 
 
เหลียงจวิ้นอ๋องยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน เขาเงยหน้าขึ้นมองออกไป ก็เห็นว่าจีเฉวียนทรงยืนอยู่บนต้นไห่ถางท่ามกลางฝนเพลิงที่ตกลงมา  
 
 
แสงเพลิงจับดวงพักตร์ที่งามล้ำจนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน นอกจากเปลวไฟที่โอบล้อมอยู่นั้น ทั่วทั้งพระองค์ให้ความรู้สึกที่หนาวเย็นสุดขั้ว  
 
 
เขานึกไม่ถึงเลยว่า ทั้งๆ ที่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แล้ว แต่ว่าจีเฉวียนกลับมิได้บาดเจ็บใดๆ แม้แต่น้อย  
 
 
“เจ้าคิดจะกบฏหรือ?” จีเฉวียนยกพระหัตถ์ขึ้นมา กระบี่ในพระหัตถ์ชี้ไปยังเหลียงจวิ้นอ๋อง  
 
 
พระองค์ตรัสเพียงประโยคเดียว ก็ทำให้หัวใจของเหล่าทหารที่รายล้อมอยู่พากันกระตุกขึ้นมา  
 
 
เรื่องที่เหลียงจวิ้นอ๋องไม่พอใจในราชสำนักพวกเขาต่างก็รู้กันเป็นอย่างดี  
 
 
หน่วงเหนี่ยวอาวุธยุทโธปกรณ์เอาไว้ไม่ยอมส่งมอบขึ้นไป หมายความว่ามีจุดประสงค์เช่นไรพวกเขาล้วนแจ่มแจ้งอยู่แล้ว  
 
 
เพียงแต่ยามที่ถูกคนบ่งชี้ออกมา พวกเขาก็ยังรู้สึกตระหนกอยู่บ้าง  
 
 
“แค่คนบ้าตัณหาผู้หนึ่ง กับปีศาจบนเขาฝูซางซาน ร่วมมือกัน คิดทำร้ายหลานสาวของข้า ทั้งยังมุ่งร้ายต่อเมืองกู่เย่ว ที่ข้าเผาพวกเจ้าก็เพื่อจัดการเรื่องนี้ให้กับชาวเมืองกู่เย่ว” น้ำเสียงของเหลียงจวิ้นอ๋องเหมือนดั่งฆ้อง ยกย่องตนเองขึ้นไป  
 
 
“ใช่แล้ว วันนี้ที่ท่านอ๋องทำไปทั้งหมดก็เพื่อขจัดเภทภัยให้กับชาวเมืองกู่เย่ว” กองทหารของเขาพากันร้องรับขึ้นมา  
 
 
มิว่าอย่างไร เจ้าปีศาจบนฝูซางซานผู้นั้นก็ได้ปรากฏตัวออกมาแล้ว แต่ตอนนี้มันก็อยู่ในสวนตะวันตกอีกด้วย มีแต่เพลิงเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถจะกำจัดมันได้ หากปล่อยมันทิ้งเอาไว้ก็มีแต่จะก่อให้เกิดเภทภัยยิ่งใหญ่ในภายหลัง  
 
 
“อืม คนบ้าตัณหาหรือ?” ทันทีที่จีเฉวียนแย้มพระสรวลเย็นออกไป กระบี่ในพระหัตถ์ก็มิได้หยุดลง  
 
 
เพลงกระบี่ในพระหัตถ์ของฮ่องเต้พลิ้วไหวดุจสายน้ำไหลลื่นดุจสายหมอก ทั้งยังผันแปร เพียงสะบัดแค่เบาๆ ก็สามารถสกัดลูกศรเหล่านั้นเอาไว้ได้หมด  
 
 
สาวน้อยในอ้อมพระพาหาจึงปลอดภัยไร้เรื่องราว  
 
 
น้ำเสียงที่ตรัสกับเหลียงจวิ้นอ๋องเย็นยะเยือกถึงที่สุด “เราไม่เข้าใจจริงๆ ว่า ปากของเหลียงจวิ้นอ๋องท่านกำลังกล่าวเรื่องเหลวไหลอันใด?”  
 
 
คำว่า ‘เรา’ ที่กล่าวออกมา ถึงกับทำให้หัวใจของผู้คนกระตุกแล้ว  
 
 
บุรุษที่มีรูปโฉมงดงามดุจทวยเทพผู้นี้….ก็คือฮ่องเต้?  
 
 
มีแต่เหล่าทหารคนสนิทของเหลียงจวิ้นอ๋องเท่านั้นที่รู้ถึงฐานะของจีเฉวียน คนอื่นๆ ล้วนแต่ตกตะลึงไปตามๆ กัน  
 
 
แสงเพลิงที่ลุกท่วมจวนเหลียงจวิ้นอ๋องในครั้งนี้ทำเอาแม้แต่เหล่าชาวบ้านทั่วไปพากันแตกตื่นขึ้นมา ถึงจะดึกดื่นครึ่งคืนไปแล้วแต่ก็ยังมีคนออกมาชมดูอยู่ไม่น้อย  
 
 
ยามค่ำคืนในเมืองกู่เย่วมีไอหยินรุนแรงอยู่เสมอ จึงทำให้น้อยครั้งนักที่จะมีภาพคนนับหมื่นออกมาอยู่ที่ริมถนน  
 
 
ทุกคนต่างได้เห็นภาพที่กองเพลิงแผดเผาตัวเรือน ทั้งยังได้เห็นบุรุษลึกลับที่ดูไร้ที่มาผู้นั้น  
 
 
สายลมพลิ้วผ่านเสื้อผ้าและเส้นผมของเขา แสงไฟก็จับลงบนโฉมหน้าของเขา ริมฝีปากของเขามีรอยยิ้มเย็นชาเล็กน้อย ดูราวกับจอมปีศาจในยมโลกที่พึ่งจะก้าวเท้าออกมาจากกองเพลิงทำให้ผู้คนอดที่จะบังเกิดความยำเกรงขึ้นมาไม่ได้  
 
 
คนเช่นนี้ จะกลายเป็นคนบ้าตัณหาได้อย่างไร?  
 
 
“เจ้าไม่เพียงแต่มุ่งหมายจะคุกคามหลานสาวของข้า ทั้งยังกล้าปลอมแปลงเป็นฮ่องเต้? ไม่รู้จริงๆ หรือว่าคำว่าตายนั้นเขียนเช่นไร” นี่คือความสามารถในการปั้นน้ำเป็นตัวของเหลียงจวิ้นอ๋อง ที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังพลอยเชื่อไปด้วย  
 
 
การโป้ปดที่สูงส่งที่สุด คือต้องสามารถหลอกลวงได้แม้แต่ตนเอง  
 
 
จีเฉวียนเป็นฮ่องเต้แล้วอย่างไร ขอเพียงเขากัดฟันปฏิเสธว่าไม่รู้จัก ถือเสียว่านั่นเป็นเพียงตัวปลอม วันนี้ก็จะสามารถกำจัดให้คนตายไปพร้อมกับปีศาจนั้นได้อย่างแน่นอน  
 
 
เขาไม่ต้องการต่อความยาวกับจีเฉวียน จึงคว้าธนูขึ้นมาด้วยตนเอง น้าวสายธนูนั้นอย่างสุดแรง  
 
 
ลูกศรที่มีเปลวเพลิงสีทองดอกหนึ่งพุ่งตรงไปยังจีเฉวียนอย่างแม่นยำ  
 
 
“นั่นมัน…” คราวนี้แม้แต่เหล่าลูกน้องของเขาก็ยังต้องตกตะลึงไป ลูกศรเปลวเพลิงสีทองนี้คือสิ่งที่ท่านอ๋องค้นพบในคลังสมบัติลับของแคว้นกู่เย่วในตอนที่ตามเสด็จปฐมฮ่องเต้มาทำสงคราม  
 
 
เพียงแค่ศรนี้แล่นออกไป มิว่าเป็นทวยเทพหรือมารปีศาจล้วนต้องถูกเผาผลาญจนดับดิ้น  
 
 
วันนี้ท่านอ๋องตัดสินใจแล้วว่าต้องปลิดชีพคนผู้นั้นให้ได้  
 
 
เช่นนี้ต่อให้มิได้ก่อกบฏแต่ก็ต้องถือว่ากบฏแล้ว  
 
 
ทันทีที่ศรพุ่งออกจากคันธนู เหลียงจวิ้นอ๋องก็ส่งสายตาหยามหมิ่นไปถึงจีเฉวียน ความเกลียดชังราชวงศ์จีของเขานั้นเกิดขึ้นมานานหลายปีแล้ว  
 
 
ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องที่จีเฉวียนบังคับเซิงเซิงให้แต่งงานด้วย  
 
 
แต่นับตั้งแต่ที่องค์หญิงเย่วถูกทำลายแว่นแคว้นและบ้านเมือง บีบบังคับให้นางต้องแปดเปื้อน ทั้งยังพาตัวกลับไปยังแคว้นต้าโจว ความเกลียดชังนี้ก็เกิดขึ้นในก้นบึ้งของหัวใจแล้ว  
 
 
ศรดอกนี้ ถือเสียว่ายิงเพื่อเป็นการล้างแค้นแทนองค์หญิงเย่ว ล้างแค้นแทนตัวเขาเองก็แล้วกัน  
 
 
สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร ลูกศรเพลิงสีทองนี้ถือเป็นหนึ่งในสมบัติลับของราชวงศ์แคว้นกู่เย่ว เป็นสมบัติล้ำค้าที่ต้นราชวงศ์ของพวกเขาได้เก็บรักษาเอาไว้ ว่ากันว่ามันสามารถดับดวงอาทิตย์ลงมาได้ด้วยซ้ำ  
 
 
มิว่าผู้ใดก็ไม่สามารถรอดพ้นไปจากผลลัพธ์ที่จะต้องถูกเพลิงนี้เผาผลาญไปได้  
 
 
สำหรับจีเฉวียนแล้ว นี่จึงเป็นความตายสถานเดียวเท่านั้น  
 
 
ท่ามกลางฝนเพลิงที่ตกลงมา ลูกศรของเหลียงจวิ้นอ๋องทะยานขึ้นมาพร้อมกับพลังในการทำลายล้าง  
 
 
ลูกศรยังมาไม่ทันถึง ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกได้ถึงความร้อนแผดเผารุนแรงที่กำลังพุ่งเข้ามใกล้แล้ว แก้มก้นที่เดิมทีรู้สึกหนาวเย็นจนขนลุกเปลี่ยนเป็นร้อนระอุเหมือนถูกย่างขึ้นมาในทันที  
 
 
ร้อน!  
 
 
ร้อนจนสุกแล้ว!  
 
 
ในขณะที่ลูกศรพุ่งเข้ามานั้น มือของนางก็ขยับอย่างรวดเร็ว เขวี้ยงยันต์สีเหลืองออกไปหลายผืนติดๆ กัน  
 
 
พอยันต์สีเหลืองเหล่านั้นบินออกไปก็ล้อมตัวเป็นวงกลมอยู่เบื้องหน้าลูกศรเพลิงสีทองกลายเป็นวงแสงสีดำวงหนึ่งสะท้อนออกมา  
 
 
วงแสงแสดงพลังป้องกันที่แข็งแกร่ง เพื่อสกัดลูกศรดอกนั้นเอาไว้  
 
 
แต่น่าเสียดายที่พลังทำลายล้างของลูกศรนี้แข็งแกร่งเกินไป ยันต์สีเหลืองหลายใบนั้นจึงทำได้เพียงรั้งความเร็วในการเจาะทะลวงของมันลงเล็กน้อยเท่านั้น  
 
 
ตู๋กูซิงหลันสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปทันที ลูกศรดอกนี้มิใช่ของธรรมดา แต่ว่ามีพลังจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง  
 
 
เกรงว่าคงจะเป็นสมบัติล้ำค่าที่ผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่ในรุ่นก่อนผู้นั้นหลงเหลือเอาไว้ในโลกมิตินี้เสียแล้ว  
 
 
มิว่าในโลกปัจจุบันหรือว่าจะเป็นดินแดนแห่งนี้ มิว่าจะเป็นเหล่าปรมจารย์ไสยเวทย์หรือนักพรตผู้ฝึกตนบำเพ็ญเซียนทั้งหลาย ต่างก็มีสิ่งที่เรียกว่าอาวุธที่มีจิตวิญญาณหรือศาตราเทพอยู่  
 
 
เมื่อมีอาวุธที่มีจิตวิญญาณอยู่ในมือ ของเพียงมีความกล้ามากพอ มีความสามารถเพียงพอ หากคิดจะทำลายล้างเมืองสักเมืองก็มิใช่เรื่องที่ยากอะไร  
 
 
แน่นอนว่า ลูกศรดอกนี้อย่างน้อยๆ จะต้องเป็นอาวุธจิตวิญญาณ ที่ประเมินค่ามิได้  
 
 
ตู๋กูซิงหลันถูกจีเฉวียนอุ้มเอาไว้พักหนึ่งแล้ว คนค่อยหายมึนงงลงไปบ้าง ถึงแม้เขวี้ยงยันต์ออกไปหลายใบ แต่ยังพอมีเรี่ยวแรงกล่าวกับจีเฉวียนได้แล้ว  
 
 
“ฝ่าบาท หากพระองค์ยังเอาแต่ชมดูต่อไป เราสองคนคงต้องถูกเสียบไม้ย่างเป็นแน่”  
 
 
พอนางเงยหน้าขึ้นมอง สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ก็ยังคงสงบนิ่งไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เสมือนกับว่าที่พุ่งเข้ามานั้นเป็นเพียงแค่ไม้จิ้มฟัน มิใช่อาวุธวิญญาณอันใดทั้งสิ้น  
 
 
“ร้อยปีต่อไปภายหน้า แม้ว่าเราตายไปแล้วก็จะกลบฝังในหลุมเดียวกันกับเจ้า” จีเฉวียนกวาดพระเนตรมองดูลูกศรที่พุ่งเข้ามา ก็หยอดคำหวานออกมาอีกครั้ง  
 
 
ตู๋กูซิงหลัน “……” อยากจะอ้วกใส่หน้าเขาเสียเลย ทำไงดี?  
 
 
ในเมื่อเป็นถึงปรมจารย์นักพรต เป้าหมายสูงสุดของนางย่อมต้องเป็นการมีชีวิตยืนยาวเป็นนางมารทรงเสน่ห์ต่างหากรู้ไหม?  
 
 
ช่วงเวลาเพียงร้อยปี …..สำหรับเหล่านักพรตมันสั้นเกินไปแล้ว  
 
 
ส่วนฉู่เจียงที่อยู่ด้านข้างนั้นก็ได้แต่แบมือยักไหล่หันไปจับตามองจีเฉวียน  
 
 
ลูกศรดอกนี้เขาย่อมรู้จัก เป็นของที่ร้ายกาจ คนธรรมดาไม่ทันได้สัมผัสก็ถูกเผาผลาญกลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว  
 
 
ฮ่องเต้ต้าโจวผู้นี้ยังเข้มแข็งกว่าที่เขาคิดเอาไว้มากนัก  
 
 
ที่จริงแล้ว….ในร่างของเขาคล้ายจะมีขุมพลังบางอย่างเก็บงำเอาไว้โดยไม่ยอมเปิดเผยออกมา  
 
 
ความโกรธาที่เดิมมีต่อจีเฉวียนนั้น ตอนนี้ถูกย้ายไปที่เหลียงจวิ้นอ๋องแทนแล้ว  
 
 
นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาชิงชังรังเกียจพวกมนุษย์ เพราะความเห็นแก่ตัวและเจ้าเล่ห์เพทุบาย  
 
 
ตอนนี้ถึงกลับคิดวางกับดักใส่เขาเข้าแล้ว?  
 
 
ฉู่เจียงขยับเท้าดั่งสายลม พริบตาเดียวก็มาถึงข้างกายจีเฉวียน ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระองค์  
 
 
คนหนึ่งทรงฉลองพระองค์สีดำลายทอง คนหนึ่งสวมใส่ชุดแดงตลอดร่าง หนึ่งดำหนึ่งแดง นับเป็นยอดปีศาจที่งดงามน่าหลงใหลที่สุดในค่ำคืนนี้  
 
 
 
 
 
——  
 
 
ตอนต่อไป “กับคู่จิ้นหนุ่มน้อยรูปงาม”  

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset