ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 89 ฝ่าบาทกลายเป็นไก่กุ๊กไปแล้ว!

แม้แต่ลวดลายซับซ้อนบนเนื้อหยกเองก็จางลงไปมาก หากว่าไม่ได้มองดูอย่างละเอียดก็แทบจะสังเกตไม่ออก 
 
 
 
 
 
นี่คือ หยกสรรพชีวิตอย่างแน่นอน 
 
 
แต่ว่าไม่ใช่ชิ้นที่สมบูรณ์ เพียงสามารถบอกได้ว่านี่คือส่วนหนึ่งของหยกสรรพชีวิต และเป็นเพียงชิ้นส่วนเล็กๆ เท่านั้น 
 
 
หยกสรรพชีวิตที่สมบูรณ์นั้น น่าจะมีขนาดใหญ่ว่านี้สักสิบเท่า และร้ายกาจน่ากลัวกว่านี้ร้อยเท่า 
 
 
ถึงตอนนี้ โครงกระดูกขาวนั้นค่อยขยับปากเล็กน้อย เปล่งเสียงที่อ่อนโยนของสตรีผู้หนึ่งออกมา “….ส่งต่อให้เจ้าแล้ว…” 
 
 
สิ้นเสียง โครงกระดูกก็เอนกลับลงไปในโลงใบนั้น มือที่บีบวิญญาณทมิฬไว้แน่นค่อยๆ คลายออก ตู๋กูซิงหลันเข้าไปรับตัวเจ้าวิญญาณทมิฬไว้ พามันกลับมาไว้บนบ่าของตนเอง 
 
 
อาการของวิญญาณทมิฬ ถือว่าสาหัส! 
 
 
” ท่านย่าของเจ้าคนนี้……….ร้ายกาจยิ่ง! วิญญาณทมิฬครางออกมาไม่กี่คำก็ตาเหลือก สลบหมดสติไป 
 
 
ตู๋กูซิงหลันมองดูโครงกระดูกขาวที่นอนอยู่ในโลง ดูท่าเย่วฮูหยินก่อนตายคงมีความในใจหนักหนาที่ไม่อาจสมประสงค์ ถึงได้ผนึกความคาดหวังสุดท้ายเอาไว้บนร่าง อาศัยความสามารถขอหยกสรรพชีวิตหล่อเลี้ยงไว้ ถึงผ่านมาหลายปีแล้วก็ยังไม่สลายไป 
 
 
ถึงตอนนี้ความประสงค์สำเร็จลงแล้ว จึงปลดปล่อยทุกสิ่งเหลือเพียงกระดูกกองหนึ่ง 
 
 
แท้ที่จริงแล้วนางคือผู้ใดกันแน่? ทำไมจึงสามารถครอบครองหยกสรรพชีวิต และรอคอยที่จะส่งมอบต่อให้กับเจ้าของร่างเดิมในเวลานี้? 
 
 
ถึงแม้ว่าในหัวของนางจะมีแต่คำถามมากมาย แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยับหยิบเอาเส้นผมปอยนั้นของจีเฉวียนออกมาจากในอกเสื้อ ผูกเป็นเงื่อนแล้วจึงวางลงในโลงของนาง 
 
 
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ล้วงเอายันต์สีเหลืองที่ว่างเปล่าออกมาใบหนึ่ง สะกิดปลายนิ้วออก ใช้โลหิตของตนเองวาดยันต์เสริมวาสนาภพหน้าออกมาชุดหนึ่ง ค่อยเผามันต่อหน้าโครงกระดูกด้วยตนเอง 
 
 
“ท่านย่า ขอให้ภพหน้ามีแต่ความสงบสุขเจ้าค่ะ” 
 
 
ยามที่นางกล่าวประโยคนี้ออกไป แม้แต่เจ้าไก่ขนดำตัวฟูที่อยู่ด้านข้างยังน้ำตาร่วงไปด้วย มันใช้ปีกของตนเองมาโอบกอดขาของนางไว้ น้ำมูกน้ำตาอาบป้ายอยู่บนมุมกระโปรงของนาง 
 
 
ตู๋กูซิงหลันมองดูโฉมงามกระดูกขาว กล่าวลาคำหนึ่ง ค่อยเลื่อนปิดฝาโลงด้วยตนเอง 
 
 
ทันทีที่ฝาโลงเลื่อนปิดลง ทั่วทั้งสุสานก็เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นมา แท่นที่ประกอบขึ้นจากหินคริสตัลเลื่อนออกไปทั้งสองด้าน ที่ใต้เท้านางปรากฎทางเดินเล็กๆ สายหนึ่ง มีสายลมเย็นสบายพัดโชยออกมา 
 
 
“กุ๊กๆ กู๊ก~” ไก่ขนดำตัวฟูค่อยยอมปล่อยขาของนาง ใช้ปีกของมันชี้ไปทางทางน้อย สื่อความหมายว่าต้องการให้ตู๋กูซิงหลันเข้าไป 
 
 
ตู๋กูซิงหลันพาเจ้าวิญญาณทมิฬที่สลบเหมือบไปแล้ว ก้าวเท้าลงไปก้าวหนึ่ง ค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าเจ้าลูกชายสุนัขและคนรักเก่ายังอยู่ในสุสาน 
 
 
พอหันกลับไปมองดู ไม่รู้ว่าเจ้าตัววุ่นวายทั้งสองนี้สลบไปตั้งแต่เมื่อไหร่ 
 
 
แต่ก็ใช่อยู่นะ ………หยกสรรพชีวิตไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทนทานรับได้ 
 
 
ความเย็นที่กำจายออกมาเมื่อครู่ มากเกินพอที่จะทำให้พวกเขาสลบไสลไป 
 
 
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาทั้งสองได้รับบาดเจ็บตั้งแรกแรก ตลอดทางมานี้ต้องเผชิญทั้งไอเย็นและผีปีศาจต่างๆ นาๆ ……. 
 
 
ตู๋กูซิงหลันคิดๆ ดูแล้ว ต่อให้ตบหน้าลงไปสักรอบสองรอบก็คงไม่ใช่ให้ทั้งสองฟื้นขึ้นมาได้ มีแต่ต้องแบบพวกเขาไปด้วยเท่านั้น 
 
 
เจ้าไก่ขนดำตัวฟูติดตามนางมาดู สายตาของมันจดจ้องอยู่บนพระพักตร์ของจีเฉวียน จากนั้นก็จิกลงไปสองทีอย่างเคียดแค้น สุดท้ายยังไม่ลืมที่จะจิดเอารัดเกล้าประดับอัญมณีของเขาออกมา กรงเล็บของมันตะครุบลงแล้วสะบัดขึ้นไปทีหนึ่ง รัดเกล้านั้นก็คล้องอยู่บนลำคอของมันอย่างพอดิบพอดี 
 
 
จากนั้นก็หันไปเร่งตู๋กูซิงหลันให้รีบออกไปจากที่นี่ 
 
 
ตู๋กูซิงหลันก็ใช้ไหวพริบออกมา ตัดเอากิ่งไฮ่ถางที่ทั้งอ่อนและเหนียวออกมาหลายเส้น ใช้กิ่งของมันมัดจีเฉวียนเอาไว้บนหลังของตนเอง แล้วก็อุ้มจีเย่ว์ขึ้นมา บนศีรษะของนางก็มีวิญญาณทมิฬที่ยังสลบเหมือกอยู่ จากนั้นก็เริ่มออกเดินไป 
 
 
แต่เดินออกไปได้แค่สองก้าว ใจของนางก็รู้สึกไม่ยินยอม ต้องหันกลับไปแงะแผ่นทองออกมาสองแผ่นและงัดหยกดำบนกำแพงออกมาอีกชิ้นหนึ่งถึงจะจากไปได้ 
 
 
ท่านย่ามั่งมีถึงขนาดนั้น นางเอามาแค่นิดๆ หน่อยๆ ท่านผู้เฒ่าคงไม่ถือโทษโกรธเคืองหรอกมั้ง? 
 
 
หากไม่ใช่เพราะว่าเจ้าสองตัวนนี้สลบไปแล้วละก็ นางยังคิดจะเอามามากกว่านี้อีกสักหน่อย 
 
 
นางเหลือบมองดูกองมหาสมบัติพวกนั้น……..โอ้ สวยงามแวววาวเหลือเกิน อยากด๊ายอยากได้ง่ะ 
 
 
เอาวะ! นางจะต้องขูดรีดออกมาจากเจ้าสองตัวนี้แทนทั้งหมด! 
 
 
……………………………. 
 
 
ที่เชิงเขาใต้สุสาน หลี่กงกงสลบแล้วฟี้นอยู่หลายรอบแล้ว 
 
 
นับตั้งแต่ฟ้ายังสว่างจนกระทั้งฟ้ามืดค่ำ เขาเอาแต่เหม่อมองออกไป มองออกไปจนตัวเองแทบจะแข็งกลายเป็นหินไปแล้วด้วยซ้ำ 
 
 
ฝ่าบาททรงถูกฝังลงไปทั้งเป็น ท่านแม่ทัพผู้พิชิตไม่ยินยอมให้ขุดพลิกสุสาน แต่กลับเชื่อคำของนักพรตอู๋เจิน ที่ให้ย้ายลงมาขุดอุโมงค์อยู่ที่ตีนเขา เพราะบอกว่าสุสานเช่นนี้ เมื่อตกลงไปจากด้านบนย่อมต้องออกมาจากด้านล่าง 
 
 
ของเพียงแค่ขุดอุโมงค์ลงไปจากตำแหน่งที่เขาเลือกไว้ให้ลึกได้สามจั้งก็พอแล้ว 
 
 
แต่ว่าอุโมงค์นี้ขุดกันมาตั้งนานแล้ว กลับยังไม่มีทีท่าจะเจอะเจออะไรบ้างเลย 
 
 
แถมเรื่องที่ฝ่าบาททรงถูกฝังทั้งเป็นนี้ พวกเขาเองก็ไม่กล้ากระพือข่าวออกไป ได้แต่รีบแจ้งไปยังท่านราชครูและกองราชองครักษ์ให้นำจอบและเสียมมาขุดอุโมงค์ช่วยเหลือฝ่าบาท 
 
 
พอมองออกไปเช่นนี้ท้องฟ้ายิ่งทียิ่งมืดลงแล้ว แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะเจออะไรเลย 
 
 
สุดท้ายแล้วจะสามารถทำให้สุสานแห่งนี้ทลายราบลงได้หรือไม่ ได้แต่ต้องพึ่งพาพวกท่านแล้ว! 
 
 
ยามนี้แม้แต่ตู๋กูจุนเองก็รุ่มร้อนขึ้นมาแล้ว น้องเล็กยังติดอยู่ข้างในนั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่านางจะถูกเจ้าสุนัขสองตัวนั่นรังแก? 
 
 
นางเกิดมาก็มีรูปร่างหน้าตางดงาม ถ้าเกิดว่าเจ้าสุนัขแซ่จีสองตัวนั้นก็เกิดคึกคักอยากจะจ้ำจี้ขึ้นมา กระทำเรื่องอย่างว่ากับน้องเล็กเช่นนั้นจะทำอย่างไรดี? 
 
 
ยิ่งคิดๆ ไปตู๋กูจุนก็ยิ่งหวาดกลัว! 
 
 
เจ้าจีเย่ว์นั้นคงไม่มีความกล้าจะทำสักเท่าไหร่ 
 
 
กลัวก็แต่เจ้าฮ่องเต้สุนัขจีเฉวียนนั่น …..พอคิดย้อนไปถึงสายตาของจีเฉวียนยามมองมาที่น้องเล็ก เห็นอยู่ชัดๆ เลยว่าเป็นหมาป่าที่จ้องจะจัดการลูกแกะน้อย แทบอยากจะจับนางกลืนลงไปทั้งเป็น! 
 
 
แล้วหากมีโอกาสดีงามถึงขนาดนี้ เขามีหรือจะยอมพลาดไปได้? 
 
 
ตู๋กูจุนคิดไปไกลจนถึงขนาดเห็นภาพน้องเล็กตั้งครรภ์ จากนั้นทนทรมานคลอดลูกของเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นออกมาอย่างยากลำบาก! 
 
 
โอ้ น้องน้อยที่น่าสงสารของพี่! พี่ใหญ่ผิดต่อเจ้าแล้ว! พี่ใหญ่จะไปตัดหัวเจ้าสุนัขนั่นเดี๋ยวนี้! 
 
 
ตู๋กูจุนกำดาบใหญ่ของเขาเอาไว้แน่นตลอดเวลา จนข้อนิ้วทั้วหมดซีดขาว! 
 
 
เสียนไท่เฟยหุบร่มลงแล้ว บนพระพักตร์ของนางมีแต่ความกังวลใจ 
 
 
ท่านราชครูยืนอยู่ที่ปากอุโมงค์ กำชับเหล่าทหาราชองค์รักษ์ให้ขุดลึกลงไปอีกเรื่อยๆ 
 
 
เจียงเหม่ยหยู่และผู้คนทั้งหลายที่่มากราบไหว้ที่สุสานทั้งหมดต่างถูกกักตัวไว้ ต่างก็รอคอยอยู่ที่ด้านข้างมาทั้งวัน จนตัวสั่นสะท้านไปหมดแล้ว 
 
 
ตอนแรกนางยังกล้าจีบปากจีบคอพูดอยู่ปาก แต่ว่าตอนนี้แม้แต่ลมก็ยังไม่กล้าผาย ขุนนางใหญ่มากมายต่างมารวมกันอยู่ที่นี่ นางนับเป็นอะไรได้? 
 
 
หากว่าวันนี้ฝ่าบาททรงเป็นอะไรไป เพื่อปิดบังข่าวนี้เอาไว้กององครักษ์ประจำพระองค์อาจจะส่งพวกนางขึ้นสวรรค์่พื่อปิดปากตลอดไป 
 
 
สีหน้าของท่านนักพรตอู๋เจินสงบนิ่ง เขากำลังสวดประคำในมืออยู่ ริมฝีปากสวดมนต์ขมุบขมิบ ด้วยความสามารถของไทเฮาน้อยผู้นั้น ตอนให้ในสุสานมีผีมากมายแค่ไหน ยังจะทำอะไรนางได้? 
 
 
ที่จริงแล้วไม่จำเป็นจะต้องกังวลเลยด้วยซ้ำ 
 
 
แต่ว่าเขาไม่อาจแพร่งพรายความสามารถอันล้ำเลิศของไทเฮาน้อยออกไปได้ 
 
 
บรรดาเหล่านักพรตรูปงามทั้งหลายต่างก็รวมสวดพระไตรปิฎกไปกับเขาด้วย 
 
 
อาจบางทีเพราะมนต์ศักดิ์สิทธ์ในพระไตรปิฎกสำแดงเดช เมื่อพระจันทร์ขึ้นถึงกลางฟ้า ภายในอุโมงค์ก็เกิดความเคลื่อนไหว 
 
 
ชั่วขณะนั้นทุกคนต่างพากัดกลั้นลมหายใจไว้ ยืดคอยาวมองเข้าไปในอุโมงค์ 
 
 
อุโมงค์ที่ขุดเอาไว้ค่อนข้างกว้าง สามารถได้ยินเสียงฝีเท้าสะท้อนออกมาจากภายใน 
 
 
“ฝ่าบาท! จะต้องเป็นพวกฝ่าบาทเสด็จออกมาแล้วแน่ๆ! หลี่กงกงตื่นเต้นจนน้ำตาแห่งความยินดีรินไหล ส่งเสียงราวเป็ดตัวผู้ด้วยความยินดี 
 
 
แววตาของท่านราชครูก็ส่องประกาย 
 
 
“น้องเล็ก! “ 
 
 
“เย่เอ๋อร์! “ 
 
 
ทุกคนต่างพลอยถูกเขากระตุ้นไปด้วย แต่ละคนมุ่งไปทางปากอุโมงค์ 
 
 
เพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ หัวใจของทุกคนต่างก็ลิงโลดขึ้นมา หลังจากลำบากมาทั้งวัน ในที่สุดเวลาที่รอคอยก็มาถึงแล้ว! 
 
 
“ฝ่าบาทททท ฝ่าบาท~” หลี่กงกงรีบสั่งให้ขันทีน้อยยกเกี้ยวมาเตรียมไว้นำเสด็จกลับวังหลวง 
 
 
พอเขาเรียกออกไปเช่นนี้ เสียงฝีเท้าด้านในกลับหยุดลง 
 
 
หัวใจของผู้คนทั้งหมดต่างรอคอยด้วยความระทึก ครู่เดียวก็ได้ยินเสียงตอบรับกลับมาจากด้านใน “กุ๊กๆ กรู้~” 
 
 
ผู้คนทั้งหลาย “!!! “ 
 
 
ไม่ทันรอให้พวกเขาได้มีปฎิกิริยาใดๆ พวกเขาก็เห็นไก่ขนดำตัวฟูตัวหนึ่งขนาดใหญ่เท่าครึ่งตัวคนตัวหนึ่งขนกระโดดตุ๊บตับออกมา บนลำคอของมันมีรัดเกล้าของฮ่องเต้สวมอยู่ มันยืนเด่นเป็นสง่าท่วงท่าประหนึ่งผู้นำของใต้หล้ามองดูผู้คนทั่งหลาย 
 
 
หลี่กงกงเกือบจะเป็นลมล้มลงไปอีกครั้ง “ฝ่า…..ฝ่าบาท….ฝ่าบาทกลายเป็นไก่ไปแล้วววว! “ 

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset