ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 373 ความเมตตาในฐานะที่เป็นฮ่องเต้

น้ำเสียงที่ทุ้มลึกนั้นแทบจะดังสะท้อนไปทั่วทั้งพระตำหนักบรรทม
 
 
ทุกคนต่างก็พากันมองออกไปที่ด้านนอกประตูใหญ่
 
 
เงาร่างที่เปล่งประกายสีทองนั้นดูราวกับจอมมารที่ผุดขึ้นมาจากนรก ทั้งๆ ที่มีเพียงแค่คนๆ เดียวแต่พลังที่กดดันออกมากลับให้ความรู้สึกว่าเหนือกว่ากองทัพนับพันนับหมื่น
 
 
ฮ่องเต้ผู้ชราของแคว้นเหยียนเบิกพระเนตรโต ตรัสอะไรไม่ออกทั้งสิ้น
 
 
เป็นไป เป็นไปได้อย่างไร…..
 
 
เมื่อครู่ทหารใต้บัญชาพึ่งจะมาส่งข่าวว่าไอ้เด็กน้อยจีเฉวียนนั่นถูกผีดิบกัด จนร่างกายติดโรคไปแล้ว
 
 
ทำไมมันถึงได้เข่นฆ่าจนบุกเข้ามาถึงวังของพระองค์ได้กัน ทั้งยังเงียบงันจนไร้สุ้มเสียง?
 
 
เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรออกไป ก็เห็นว่าในพระหัตถ์ของจีเฉวียนนั้นทรงง้าว เสด็จเพียงไม่กี่ก้าวก็เข้ามาถึงในตำหนัก
 
 
ที่ผ่านมาจีเฉวียนทรงใช้กระบี่มาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นง้าวเล่มหนึ่ง
 
 
ง้าวเล่มนั้นยาวเพียงหนึ่งจั้ง (1.3เมตร) คมง้าวสีดำทองแม้ว่าจะอยู่ในที่อับแสงก็ยังเปล่งประกายที่เย็นยะเยือกออกมา
 
 
ท่ามกลางอากาศที่เหน็บหนาวในฤดูหนาว
 
 
แต่ทุกก้าวที่สาวพระบาทเข้ามาล้วนเพิ่มพูนไอเย็นที่กำจายออกจากพระวรกายขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง จนทำให้คนทรมานเสียยิ่งกว่าลมหิมะอีก
 
 
ในตำหนักเดิมทีก็มีเหล่าองครักษ์อยู่ไม่น้อย แต่ตอนนี้กลับไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปขวางทางพระองค์
 
 
ยิ่งไปกว่านั้น…..พวกเขายังพากันถอยออกไปด้านหลังอีกด้วย
 
 
แสงโคมในพระตำหนักบรรทมสว่างอย่างยิ่ง เมื่อพระองค์เสด็จเข้ามาถึงกลางพระตำหนักก็ทำให้ทุกผู้ได้เห็นพระพักตร์ได้อย่างชัดเจน
 
 
ความหนาวเย็นที่พาให้สั่นสะท้าน ครึ่งพระพักตร์เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด นั่นเป็นใบหน้าที่งดงามอย่างที่สุดเกินจะหาใดเปรียบ
 
 
เลือดแข็งตัวจนจับเป็นก้อนอยู่บนพระพักตร์ที่งดงามยากจะเปรียบเทียบ น่าเสียดายที่….มีสิวเต็มไปหมด?
 
 
ไม่ถูกต้อง…..นี่จะต้องเป็นสัญญานเตือนของอาการโรคผีดิบกำเริบของเขา
 
 
ทั้งฮ่องเต้ผู้ชราและคนอื่นๆ ต่างก็คิดเช่นนี้
 
 
แต่คนชุดดำผู้นั้นกลับถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ภายใต้ผ้าโปร่งสีดำดวงตาคู่นั้นจับจ้องอยู่ที่จีเฉวียน เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อ ว่าพระองค์จะบุกเข้ามาได้ถึงที่นี่?
 
 
“ถวายอารักขาสิ มัวตกตะลึงอะไรกันอยู่?” องค์ชายเจ็ดเหยียนฉิวมีปฏิกริยาขึ้นมาเป็นคนแรก ทั้งยังหันไปคว้าโล่จากทหารด้านข้างมากันเอาไว้เบื้องหน้าตนเอง
 
 
ไม่ใช่เพราะว่าเขาเกรงกลัวจีเฉวียน เพียงแต่ว่าหากอีกสักครู่จีเฉวียนอาการกำเริบขึ้นมา อาละวาดกัดคน นั่นต่างหากที่จะทำให้ลำบากที่สุด
 
 
ที่เขาร้องเรียกให้ถวายอารักขาก็ไม่ใช่เพียงแค่จะให้อารักขาฮ่องเต้ชราเท่านั้น
 
 
ไอ้แก่ผู้หนึ่งอยู่มาตั้งนานถึงเพียงนี้ก็สมควรที่จะตายๆ ไปได้แล้วกระมัง?
 
 
เหยียนหยุนอ้าปากค้างขึ้นมา เขายังคงได้แต่กุมไม้เท้าด้ามหนึ่งเอาไว้
 
 
ครั้งก่อนยามเมื่อแยกกันในแคว้นเซอปี่ซือ จีเฉวียนทำให้เขาเกิดเงามืดอยู่ในใจอย่างล้ำลึก
 
 
ก็ใครเลยจะคาดคิดได้กัน? ว่าเด็กน้อยขนอ่อนที่ผ่ายผอมในตอนนั้น คนที่เคยถูกเขารังแกมาก็ไม่น้อย ถึงตอนนี้กลับจะแข็งแกร่งจนน่าหวาดกลัวได้ขนาดนี้
 
 
เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ตนก็ได้แต่ก้มศีรษะลงไปอย่างศิโรราบเท่านั้น
 
 
หากจะบอกว่าไม่ได้เกลียดชังจีเฉวียน นั้นคงเป็นไปไม่ได้
 
 
เพียงแต่เขาไม่กล้า…….
 
 
ดวงพักตร์ของฮ่องเต้เย็นชา เสด็จเข้ามาจนเกือบจะถึงเบื้องหน้าของฮ่องเต้ชราแคว้นเหยียน
 
 
เหล่าองครักษ์ถึงได้ค่อยได้สติขึ้นมาพากันขยับเข้ามาขวางเขาไว้อย่างแน่นขนัด ช่วยกันล้อมฮ่องเต้ชราและเหยียนฉิวเอาไว้ภายใน
 
 
ฝ่าบาททรงหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าของเหล่าองครักษ์ ดวงเนตรทั้งคู่ยังคงจับจ้องฮ่องเต้ชราอยู่เช่นนั้น พลางตรัสเรียกด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เหยียนเหลียน”
 
 
เหยียนเหลียนคือพระนามของฮ่องเต้ผู้ชราแห่งต้าเหยียน
 
 
พระองค์ทรงคุ้นเคยกับการที่ผู้คนทั้งหลายต่างเรียกหาพระองค์ด้วยความเคารพว่าฝ่าบาท พออยู่ๆ ถูกเรียกชื่อตรงๆ ขึ้นมา ก็รู้สึกไม่คุ้นเคยสักเท่าไร
 
 
“ไอ้เด็กน้อยจีเฉวียน!” ฮ่องเต้ผู้ชราแสดงพระพิโรธรุนแรง “เจ้าฆ่าบุตรสาวสุดที่รักของเรา ตัดขาบุตรชายของเรา แย่งชิงดินแดนของเรา วันนี้ยังกล้าบุกเข้ามาถึงในวังของเรา ทำไม เจ้ากลัวว่าจะตายช้าไปหรืออย่างไร?”
 
 
ฮ่องเต้ชราระเบิดพระพิโรธ แทบจะทรงโผขึ้นมาจากเตียงบรรทม ตอนที่ยังทรงหนุ่มแน่นพระองค์ก็เคยมีช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมาก่อน หากว่าสามารถกลับไปหนุ่มแน่นได้อีกสักหลายสิบปี ใครว่าพระองค์จะมิใช่คู่มือของจีเฉวียนกัน
 
 
จีเฉวียนทรงคร้านที่จะอธิบายอะไรให้เขาฟังแล้ว เหยียนเฉียวหลัวตายเพราะความร้ายกาจของนางเอง เหยียนหยุนที่ขาขาดยิ่งมิได้เกี่ยวอะไรกับพระองค์เลยแม้แต่น้อย
 
 
เรื่องที่เป็นเสมือนน้ำครำเหล่านี้ เมื่อผู้อื่นปักใจว่าตนเป็นคนทำ จะอธิบายไปก็ไร้ประโยชน์
 
 
“เดิมที่เราคิดว่า หลังกำราบแคว้นเหยียนแล้ว จะเหลือทางรอดให้กับราชวงศ์เหยียนของเจ้าสายหนึ่ง” จีเฉวียนประทับยืนอยู่ท่ามกลางโล่มากมาย พระหัตถ์ใหญ่ของพระองค์กุมง้าวเอาไว้อย่างแนบแน่น ขนาดเส้นเลือดหลังพระหัตถ์ก็ยังปูดโปนขึ้นมา
 
 
“แต่ว่าคิดไม่ถึงเลย เพื่อบัลลังก์แคว้นเหยียน เจ้ากลับผลักไสประชาชนแคว้นเหยียนลงไปในกองไฟ” พอตรัสถึงตรงนี้สีพระพักตร์ของจีเฉวียนก็ยิ่งมืดครึ้มลงไปอีกหลายส่วน
 
 
“เมืองจิงหวากลายเป็นกองขี้เถ้า กว่าครึ่งของแคว้นเหยียนกลายเป็นนรกบนดิน นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการหรือ?”
 
 
“เจ้าเคยมีความเมตตาในฐานะที่เป็นฮ่องเต้บ้างสักนิดหรือไม่?”
 
 
“ไอ้เด็กน้อยจีเฉวียน ทั้งหมดก็เป็นเพราะว่าเจ้าบุกโจมตีแคว้นเหยียนของเราก่อน เจ้าคิดจะทำลายแคว้นเหยียนของเรา แล้วตอนนี้ยังจะมาพูดถึงเรื่องความเมตตากับเราอีกหรือ?” ฮ่องเต้ผู้ชราแย้มสรวลเย็นชา พระองค์ถึงขนาดป่ายปีนลงมาจากเตียงบรรทม ผลักพวกองครักษ์ที่ถือโล่บังไว้ออกไป จดจ้องไปที่จีเฉวียนอย่างคลุ้มคลั่ง
 
 
“หากว่าไม่โจมตีแคว้นของเรา ประชาชนของเราก็ยังอยู่อย่างสงบสุขสามัคคีดังเดิม ที่แคว้นเหยียนกลายเป็นนรกทั้งหมดก็เป็นเพราะฝีมือของเจ้า เจ้ามันมีสิทธิอะไรจะมาสั่งสอนเรากัน?”
 
 
“เรื่องเดียวที่เราสำนึกเสียใจก็คือ ตอนที่เจ้ามาเป็นตัวประกันอยู่ในแคว้นเหยียนของเรา เราไม่ได้ฆ่าเจ้าสัตว์เดรัจฉานอย่างเจ้ากับมือ! ถึงได้ทำให้กลายเป็นเภทภัยต่อแคว้นเหยียนของเรา”
 
 
“นับตั้งแต่ที่เราบุกเข้าแคว้นเหยียน ก็ไม่ได้ทำร้ายราษฏร์เลยสักนิด” จีเฉวียนตรัสพลางกระแทกง้าวในพระหัตถ์ลงบนพื้น
 
 
ทันทีที่ได้ยินเสียงกระแทกโครมลงไป พื้นโดยรอบก็ระเบิดออกโดยมีพระองค์เป็นศูนย์กลาง
 
 
รอยแตกราวนั้นพุ่งกระจายออกไปจนถึงเบื้องพระพักตร์ของเหยียนเหลียน
 
 
ฮ่องเต้เหยียนเหลียนพระบาทอ่อนแรง คนโอนเอนจนเกือบจะล้มลงไป
 
 
“แคว้นเหยียนสถาปนามาถึงห้าร้อยปี ฮ่องเต้แต่ละพระองค์สืบทอดคุณธรรม ทนุบำรุงแว่นแคว้นจนรุ่งเรือง แต่พอมาถึงรุ่นของบิดาของเจ้ากลับฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย โดยเฉพาะเจ้าที่เอาแต่เสพสุขอยู่แต่กับสุรานารี ไม่เคยสนใจชีวิตของราษฏร์ ที่ต้องล่มสลายนั้นก็เป็นเพียงแค่เรื่องช้าหรือเร็วเท่านั้น”
 
 
พระองค์เป็นตัวประกันอยู่ที่นี่ถึงแปดปี ต้องป่ายปีนขึ้นมาจากชั้นต่ำสุดของแคว้นเหยียนด้วยพระองค์เองทีละขั้น
 
 
ย่อมทรงทราบดีว่าแคว้นต้าเหยียนที่ภายนอกดูยิ่งใหญ่รุ่งเรืองนั้น ในกระดูกมีความดำมืออยู่เพียงไร
 
 
คนแย่งชิงอาหารกับสุนัข คนชั้นล่างเพื่อจะได้อาหารมาสักมื้อ กลับต้องขายบุตรชายบุตรสาวทิ้งไปก็มีมากมาย
 
 
ฮ่องเต้ไร้เมตตา ขุนนางไร้คุณธรรม ความเป็นอยู่ของคนชั้นสูงล้วนได้มาจากการสูบเลือดเนื้อของราษฏร์ ‘รากหญ้า’
 
 
แม้แต่……ชีวิตของคนก็ถูกมองเป็นแค่เพียงวัชพืช
 
 
ขนาดตัวประกันเช่นพระองค์ที่เป็นองค์ชาย ยังถูกจับไปเป็นทาสเพื่อต่อสู้กับสัตว์อสูร เพื่อให้คนชมดูด้วยความสำราญ
 
 
เหยียนเหลียนไม่เคยทรงรู้สึกมาก่อนเลยว่า แคว้นเหยียนที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขานั้นผุพังจากแก่นกระดูกมาเนิ่นนานแล้ว
 
 
ดังนั้นเมื่อพระองค์ยกทัพเข้ามายังแคว้นต้าเหยียน มีหลายเมืองที่ไม่ขัดขวาง ทั้งยังยอมอ่อนน้อม ประชาชนพากันมาตั้งแถวถวายการต้อนรับ นี่ยิ่งชัดเจนเลยว่า คนผู้นี้เป็นฮ่องเต้แคว้นเหยียนได้ล้มเหลวเพียงไร
 
 
“พูดจาไร้สาระ!” ต่อให้ตายเหยียนเหลียนก็ไม่ทรงยอมรับ “เราได้รับความเคารพรักจากราษฎร์ เจ้าจะทำสงครามก็ทำสงครามเถอะ ยังจะต้องมาหาข้ออ้างทำให้ตนเองดูสูงส่งไปอีกทำไม? จีเฉวียน เราเกลียดที่ตนเองมีเมตตาเกินไป ไม่เพียงแต่ปล่อยเจ้าไว้ ทั้งยังเลี้ยงดูเดรัจฉานอย่างเจ้าให้กินอยู่อย่างสุขสบาย!”
 
 
เหยียนเหลียนพิโรธจนร่างสั่นสะท้าน “ราษฏร์ในแคว้นต้าเหยียนเรา ต่อให้ต้องตายก็จะไม่ขอศิโรราบให้กับกองทัพอาชาเหล็กของเจ้า!”
 
 
“เป็นเจ้าที่ทำให้พวกเขาต้องตายและกลายเป็นผีดิบ เจ้าคือคนที่สมควรถูกสาปแช่งไปอีกพันปี!”
 
 
ผู้ที่เป็นฮ่องเต้ ล้วนไม่มีใครยอมแบกรับชื่อเสียงเสียหายให้คนก่นด่าไปนับพันปี เหยียนเหลียนเองก็เช่นกัน
 
 

 
 
………………………………………
 
 
ไรท์ : นานมากแล้วไรท์เคยอ่านนิยายเรื่องหนึ่งที่ประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้านผู้ครองนคร มีประโยคหนึ่งที่ยังจำได้จนถึงทุกวันนี้  “สนิมเหล็กเกิดจากเหล็ก ฉันใดก็ฉันนั้น”
 
 
ตอนต่อไป “สนับสนุนฮ่องเต้ต้าโจว”

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset