ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 92 ฝ่าบาททรงวางแผนด้วยพระองค์เอง?

เขาลุกขึ้นยืน เดินไปจนถึงประตูหลักในพระตำหนัก มองดูกระถางดอกกุ้ยฮวาที่วางอยู่ด้านนอก สูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่แทรกซึมสู่จิตใจคน พานให้ผู้คนรู้สึกทรมานใจขึ้นมา 
 
 
“ดอกไม้นี้ช่างผลิบานได้งดงามยิ่งนัก หากว่าท่านป้าได้เห็นละก็ จะต้องชื่นชอบเป็นแน่ ” เขาไพล่มือไว้ด้านหน้า สายลมที่โชยมาพัดเส้นผมของเขาจนพลิ้วลมไป ใบหน้าที่ดูไปคล้ายกับมารผู้บริสุทธ์นั้น ยามนี้ยิ่งเพิ่มความมืดหม่นขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง 
 
 
ท่านป้าของเขา ย่อมต้องเป็นฉางซุนฮองเฮา พระมารดาแท้ๆ ของฝ่าบาทที่สิ้นพระชนม์ไปเมื่อสิบแปดปีก่อน ในคืนฤดูหนาวที่หิมะโปรยปรายทั่วฟ้า และกระทั่งดอกกุ้ยฮวาเป็นน้ำแข็ง 
 
 
หลังจากค่ำคืนนั้น ก็มีแต่องค์ชายสี่ที่มีพระชนม์เพียงห้าชันษา ผู้เป็นราชโอรสที่ไม่ได้รับความโปรดปรานใดๆ ในวังหลวง 
 
 
ตระกูลฉางซุนเองก็ตกต่ำลงนับแต่บัดนั้น 
 
 
ส่วนตัวเขา ก็ถูกส่งไปยังเขาหัวชิง นับตั้งแต่นั้นมา ก็มีชีวิตอยู่เพื่อฝ่าบาทมาโดยตลอด 
 
 
เขาหันหน้ากลับไปดูพระพักตร์ที่เย็นชาของจีเฉวียน “ฝ่าบาท บาดแผลบนร่างกายอาจรักษาจนหายได้ แต่ว่าบาดแผลในใจกลับไม่อาจลบเลือน ความเจ็บปวดที่พระองค์และกระหม่อมได้รับมานั้นไม่อาจลบล้างไปโดยง่าย” 
 
 
จีเฉวียนพระพักตร์เย็นชา เขาเพียงทอดพระเนตรออกไปด้านนอกโดยไม่ตรัสสิ่งใด 
 
 
“ขอพระองค์โปรดทรงจำไว้ ไม่ว่าจะอย่างไร ในโลกนี้ คนที่จริงใจและยืนอยู่เคียงข้างพระองค์เสมอ ก็คือกระหม่อม” 
 
 
“กระหม่อมยังมีเรื่องทูลขออีกเรื่อง ถึงแม้เต๋อเฟยจะมีโทษมหันต์ แต่ว่าอำนาจของท่านรองมหาเสนาฯ ยังมิได้หมดสิ้นไป ขอพระองค์ทรงไว้ชีวิตนาง เพราะหากว่ากำจัดรองมหาเสนาผู้นี้เร็วเกินไป สุดท้ายแล้วผู้ที่ได้รับผลกระทบอาจเป็นแคว้นต้าโจวเรา” 
 
 
สายพระเนตรของจีเฉวียนส่องประกายขึ้นมา สายลมพัดแรงขึ้น พาให้ดอกกุ้ยฮวาปลิวหล่น บุปผาหลุดร่วงเสมือนหนึ่งหิมะโปรยปราย 
 
 
……………………………………………. 
 
 
เมื่อฮ่องเต้ทรงฟื้นขึ้นมา ตู๋กูซิงหลันก็ได้รับพระบัญชาให้กลับวังหลวง 
 
 
เป็นหลี่กงกงนำพระบัญชามาด้วยตนเอง ตลอดทางที่มายังจวนตระกูลตู๋กูนั้น หลี่กงกงตัวสั่นสะท้านอยู่ตลอด 
 
 
ก็ดูสายตาของท่านแม่ทัพผู้พิชิตสิ แทบจะจับเขากินเข้าไปด้วยซ้ำ เขม้นมองเสียจนเขาแทบจะตัวแข็งไปแล้ว 
 
 
ยังดีที่ไทเฮาน้อยทรงเป็นผู้ที่รู้กาละเทศะเป็นอย่างดี นางไม่ได้กล่าวมากอันใด ก็ติดตามเขากลับมาอย่างเรียบร้อย 
 
 
หลี่กงกงทราบซึ้งใจยิ่งนัก แทบจะยินดีไปเป็นสารถีให้นางด้วยตนเอง 
 
 
ที่จริงตู๋กูซิงหลันก็อยากจะอยู่บ้านให้นานกว่านี้อีกสักหน่อย แต่ว่าเจ้าวิญญาณทมิฬได้รับบาดเจ็บหนักจากในสุสาน จำเป็นต้องได้รับไอบริสุทธิ์จึงจะรักษาได้ พระราชวังจึงเป็นที่ที่เหมาะสมที่สุด 
 
 
เชียนเชียนติดตามเจ้านายของตนเองขึ้นรถม้าไป มองดูจวนตระกูลตู๋กูที่ยิ่งทียิ่งไกลออกไป ก็อดจะเสียใจไม่ได้ 
 
 
ออกมาตั้งไกลขนาดนี้แล้ว ยังสามารถมองเห็นคุณชายใหญ่ยืนถือดาบทลายภูผาน้ำตาไหลส่งนายหญิงอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ คิดดูแล้วหากว่านายหญิงไม่ต้องการกลับวังละก็ คุณชายใหญ่จะต้องมีหนทางจัดการเรื่องนี้เป็นแน่ 
 
 
ตู๋กูซิงหลันหลับตาลงพิงเข้ากับหน้าต่างบนรถม้า เรื่องที่สมควรมอบหมายให้พี่ใหญ่นางก็ได้มอบหมายไปหมดแล้ว สมุดบัญชีในบ้านและกุญแจคลังสมบัติในเมืองหลวงทั้งหมดก็ทิ้งเอาไว้ให้เขา ถึงแม้จะรู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้าง………แต่ใครใช้ให้นั่นคือพี่ชายแท้ๆ ของตนเองละ 
 
 
นางเพียงแต่นำกระเบื้องทองสองแผ่นและชิ้นหยกที่ได้จากสุสานท่านย่าติดตัวมาเท่านั้น อ้อ มีไม้เสียบผลไม้ทองคำอีกหลายอันด้วย 
 
 
ที่ด้านข้างของนางยังมีเจ้าไก่ขนดำตัวฟูหมอบอยู่ด้วย จะว่าไปเจ้าไก่กุ๊กตัวนี้ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรของมัน หลายวันมานี้เฝ้าแต่ติดตามนางไม่ยอมห่างประหนึ่งสุนัขตัวหนึ่ง แม้แต่ยามจะนอนยังต้องหมอบอยู่ข้างเตียงของนาง 
 
 
ที่จริงตู๋กูซิงหลันอยากจะจับมันมาตุ๋นใส่หม้ออยู่มากเหมือนกัน แต่พอเห็นท่าทางเฟอะฟะของมันแล้ว ก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้ไป เจ้าตัวเฟอะฟะขนาดนี้หากว่ากินเข้าไปแล้วจะพลอยทำให้นางเฟอะฟะไปกับมันด้วยหรือเปล่า….. 
 
 
ทุกครั้งที่เจ้าไก่กุ๊กขนฟูมองเห็นสายตาของตู๋กูซิงหลันที่ทอดมองมัน มันเป็นต้องรู้สึกว่า พี่สาวตัวน้อยผู้มีดวงตางดงามผู้นี้จะต้องรู้สึกกับมันอย่างไม่ธรรมดาเป็นแน่ 
 
 
นางจะต้องหลงใหลในความพิเศษของมันเข้าแล้ว 
 
 
พอคิดถึงตรงนี้มันก็อดที่จะภาคภูมิใจขึ้นมาไม่ได้ ก็ใช่อยู่นะ ในใต้หล้านี้จะหาไก่ที่งดงามโดดเด่นเช่นมันได้ที่ไหน 
 
 
ว่าแล้วมันก็เอนหัวไก่น้อยๆ ของมันลงมาบนหลังเท้าของตู๋กูซิงหลันด้วยสีหน้าพึงพอใจ 
 
 
ราชรถตรงเข้าสู่พระราชวังจึงค่อยหยุดลงที่หน้าประตูพระตำหนักเฟิ่งหมิง ดอกไฮ่ถางเริ่มทยอยร่วงจากต้นแล้ว กลีบดอกสีแดงหล่นกระจายอยู่ทั่วพื้น 
 
 
และไม่รู้ทำไม ตู๋กูซิงหลันก็หวนนึงถึงต้นไฮ่ถางในสุสานของท่านย่าขึ้นมา 
 
 
“หลี่กงกง ตำหนักเย็นซ่อมแซมมาก็หลายวันแล้ว ถึงตอนนี้ยังซ่อมไม่เสร็จอีกหรือ? ” ตู๋กูซิงหลันยังไม่ลงจากรถม้า เพียงแต่แง้มม่านออกไปไต่ถาม 
 
 
หลี่กงกงหันมาถวายคำนับนางอย่างนอบน้อม “ทูลไทเฮา ไยพระองค์ยังทรงระลึกถึงตำหนักเย็นหลังนั้นอีกเล่าพะยะค่ะ? ทั้งท่านแม่ทัพผู้พิชิตและพระองค์ต่างก็เป็นผู้มีผลงานโดดเด่น ฝ่าบาททรงมีพระบัญชา นับแต่นี้ไปให้พระองค์ประทับอยู่ที่พระตำหนักเฟิ่งหมิงได้พะยะค่ะ” 
 
 
เขากราบทูลแล้ว ก็ล้วงเอากล่องไม้ใบน้อยที่วิจิตรงดงามมาทูลถวายอย่างนอบน้อม “นี้คือกุญแจประจำตำหนัก ฝ่าบาทรับสั่งให้บ่าวนำมาถวายพระองค์” 
 
 
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกประหลาดใจอยู่นิดหน่อย ที่ผ่านมาเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นไม่เคยมีประสงค์ดีมาก่อน เขาคิดจะทำดีกับนางจริงหรือ? 
 
 
ทำไมนางถึงได้รู้สึกว่าบรรยากาศมันทะมึนๆ มีกลิ่นอายทะแม่งๆ อยู่ 
 
 
นางหันไปส่งสายตากับเชียนเชียน เชียนเชียนก็รับกล่องไม้นั่นไว้ 
 
 
นับตั้งแต่ที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ทรงให้นายหญิงมาอาศัยอยู่ในเรือนน้อยหลังเล็กในพระตำหนักเฟิ่งหมิง สาวใช้ตัวน้อยก็กังวลใจมาตลอด อีกทั้งยังโทษตนเองที่เป็นตัวตั้งตัวตีลากนางมาที่นี่ ถึงได้ทำให้นายหญิงถูกผู้อื่นเห็นเป็นที่น่าขบขันกล่ารังแก 
 
 
ยังดีที่นายหญิงเก่งกล้าสามารถ ไม่ได้เพลี่ยงพล้ำ ไม่เช่นนั้นจิตใจของนางคงยิ่งละอายมากกว่าเดิม 
 
 
เมื่อเห็นนางรับกุญแจไป หลี่กงกงก็วางใจไปได้มาก เขารีบกล่าวอีกว่า “เต๋อเฟยทำผิดมหันต์ จึงถูกฝ่าบาทถอดถอนยศศักดิ์ ส่งไปยังตำหนักเย็น ขอไทเฮาอย่าได้ทรงกังวลว่านางจะออกฤทธิ์ออกเดชอะไรได้อีก ต่อไปอนาคตของท่านในวังนี้จะต้องยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ “ 
 
 
ตู๋กูซิงหลันยกมุมปากขึ้น เต๋อเฟยรึ….นางมีบางเรื่องอยากจะถามอยู่บ้างเหมือนกัน 
 
 
…………………………….. 
 
 
พอถึงยามพลบค่ำ ตู๋กูซิงหลันก็ไปยังตำหนักเย็นด้วยตนเอง 
 
 
ก่อนหน้านี้เพราะสาเหตุจากเรื่องของนาง ทำให้ตำหนักเย็นได้รับการซ่อมแซมขึ้นมารอบหนึ่ง ดูไปแล้วดีกว่าช่วงที่นางเคยอยู่มากทีเดียว 
 
 
ไม่ได้พบหน้ากันหลายวัน เต๋อเฟยซูบผอมลงไปไม่น้อย นางยังคงสวมใส่เสื้อผ้าสีอ่อนจาง ดูราวกับบุตรสาวของตระกูลใหญ่ 
 
 
เต๋อเฟยนั่งอยู่ข้างโต๊ะไม้ตัวหนึ่ง ยามนี่นางพบเห็นตู๋กูซิงหลันก็ไม่ได้แสดงท่าประหลาดใจ และไม่ได้ลุกขึ้นถวายคำนับ 
 
 
“ตู๋กูซิงหลัน เจ้าดูเอาสิ ฝ่าบาทยังทรงไม่อาจลืมน้ำพระทัยที่มีให้เราได้ ” นางยังคงว่าท่าต่อไป ใช้สายตาเย็นชามองนาง 
 
 
“ตำหนักเย็นนี้ถูกบูรณะใหม่เพื่อข้าโดยเฉพาะ ข้าอยู่นี่ก็สุขสบายดี” 
 
 
ตู๋กูซิงหลัน “งั้นสิ……” 
 
 
เต๋อเฟยเห็นนางอ้ำๆ อึ้งๆ พูดอะไรไม่ออก จิตใจของนางก็พออกพอใจขึ้นมาอยู่หลายส่วน “ดูเอาสิ นี่ผิดหวังเสียแล้วหรือ? เจ้าคิดหรือว่าฝ่าบาทจะทรงประหารข้าได้จริงๆ? “ 
 
 
พูดแล้ว นางก็ลุกขึ้นยืน เดินมาที่ข้างตัวตู๋กูซิงหลัน กล่าวเสียงเย็นที่ข้างหูนางว่า “บิดาของข้าคือท่านรองมหาเสนาฯ ถึงแม้ว่าสมบัติในบ้านจะถูกแผนร้ายของเจ้าทำให้โดนยึดไป แต่ต้นไม้ใหญ่จะอย่างไรมีกิ่งก้านสาขาไม่สิ้นสุด หากว่าบ้านของบิดามารดาข้ายังคงอยู่ ตัวข้าก็ยังไม่นับว่าพ่ายแพ้ 
 
 
“ยิ่งไปกว่านั้น….. ในเมื่อเจ้ายังสามารถออกจากตำหนักเย็นไปได้ แล้วเจ้าคิดหรือว่า ตัวข้าจะทำไม่ได้? “ 
 
 
พูดถึงตอนนี้ สายตาของนางก็ยิ่งทวีความโหดเ**้ยมขึ้นมา “เจ้าคิดหรือว่า แค่เกิดมาหน้าตาดีก็จะสามาถครอบงำฝ่าบาทเอาไว้ได้? ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าฟัง เรื่องที่เจ้าปีนเตียงมังกรนั้น เป็นแผนที่ฝ่าบาททรงวางเอาไว้เอง” 
 
 
“คิดไม่ถึงล่ะสิ? ฮาฮ่าๆๆๆ ….. ” เต๋อเฟยหัวเราะอย่างเย็นชา “ฝ่าบาททรงเกลียดชังตระกูลตู๋กูของเจ้านัก ยิ่งทรงรังเกียจเจ้าเป็นที่สุด! เพราะฉะนั้นจึงได้แสดงละครนี้ด้วยพระองค์เอง จุดประสงค์ก็เพื่อให้เจ้าสูญสิ้นชื่อเสียง ให้ตระกูลตู๋กูต้องโทษ ทำให้เจ้ากลายเป็นหมากที่ใช้ควบคุมตระกูลตู๋กู! “ 
 
 
“ยาที่ทำให้เจ้าไปปีนเตียงมังกรด้วยตนเองนั้น ก็เป็นข้ารับพระบัญชา…. นำไปให้เจ้าด้วยตนเองไงละ” 

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset