ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 396 กล้ามาทำการละเล่นเช่นนี้กับเรา?

กล่าวจบแล้วจีเฉวียนก็ทรงเงียบงันไปครู่หนึ่ง   
 
 
พระองค์ก้มพระเศียรลง หลบหนีสายตาของนาง พระหัตถ์ที่กุมชายเสื้อมุมหนึ่งเอาไว้ก็ชักจะสงบนิ่งไม่อยู่แล้ว  
 
 
“หืม?” ริมฝีปากสีแดงฉ่ำของตู๋กูซิงหลันโค้งตัวน้อยๆ ดวงตาดอกท้อเป็นประกายขึ้นมา “ไม่ได้หรือ?”  
 
 
“ฝ่าบาท ~”  จีเฉวียนทรงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ดึงสาบเสื้อมุมหนึ่งออกเผยให้เห็นเอวสอบ สิ่งที่กระจ่าง  
 
 
อยู่ภายใต้แสงเทียนนั้นเป็นมัดกล้ามที่แข็งแรงสวยงามดึงดูดผู้คน   
 
 
เขาถอนใจยาวครางเสียงอ่อยเอื่อยที่มีเสน่ห์จนทำให้คนต้องจิตใจเตลิดเปิดเปิง  
 
 
ทางหนึ่งดึงทึ้งเสื้อผ้า อีกทางก็ขยับเข้าไปใกล้ตู๋กูซิงหลันอีกนิด   
 
 
เสื้อผ้ารุ่ยร่ายออกมา เผยช่วงหัวไหล่หนากว้างออกมากว่าครึ่ง ชายเสื้อถูกขยุ้มม้วนเอาไว้ เป็นปมปมหนึ่ง  
 
 
จากนั้นก็เห็นพระองค์ใช้หัวไหล่สัมผัสกับเรียวแขนของตู๋กูซิงหลันเพียงเบาๆ “เป็นเพราะรูปร่างของข้าไม่ดีพอหรือไร? ไม่ดึงดูดพระทัยฝ่าบาทบ้างหรือ…..ถึงได้ทรงอยากจะทอดพระเนตรใบหน้าที่หยาบกระด้างนี้?”  
 
 
พอตู๋กูซิงหลันถูกสัมผัสก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาในทันที  
 
 
นางอดที่จะรู้สึกหนาวขึ้นมาไม่ได้ ความหนาวเย็นชนิดหนึ่งกำจายออกมาจากแก่นกระดูก  
 
 
นางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ดวงตาดอกท้อมีประกายของความแตกตื่น  
 
 
บุรุษที่ขายเรือนร่าง!  
 
 
ทั้งยังเป็นพวกชั้นยอด!  
 
 
“ฝ่าบาท คุณค่าของบุรุษอยู่ที่เรือนร่าง มิใช่ใบหน้า อย่างว่าแต่พอดับเทียนแล้วก็เหมือนๆกันทั้งนั้น ใบหน้านี้ย่อมไม่จำเป็นต้องทอดพระเนตรแล้วกระมัง? รูปร่างของข้านับว่ากระชับแน่นอยู่บ้าง หากไม่ทรงเชื่อก็ลองสัมผัสดูสิพะยะค่ะ”  
 
 
พระองค์ไม่เพียงแต่ทำตามเคล็ดลับที่ได้รับถ่ายทอดมาจากบุรุษหัวโตผู้นั้น แต่ยังเสริมเน้นไปอีกขั้น  
 
 
ตอนนี้เรียกว่าแทบจะแนบร่างติดไปกับตู๋กูซิงหลันแล้ว  
 
 
พระวรกายของจีเฉวียนจะอย่างไรก็ยังคงเย็นฉ่ำ เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายที่เหน็บหนาวอยู่เช่นนั้น  
 
 
พอทรงเข้าใกล้ ก็ทำให้รู้สึกได้ถึงลมหายใจเย็นๆที่พวยพุ่งออกมา  
 
 
ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้วแนบแน่น ครั้งนี้นางไม่ได้ถอยห่างออกไปแล้ว  
 
 
สายตาของนางเป็นประกายเย็นชาวาวโรจน์ขึ้นมา ฝ่ามือข้างหนึ่งซัดลงไปบนทรวงอกของเขา  
 
 
พอผลักไปทางแท่นบรรทม ก็ทำให้จีเฉวียนทรงล้มลงไปบนเตียงอย่างพอดิบพอดี  
 
 
ทรงทิ้งพระองค์หนักๆลงไปบนเตียง เสื้อผ้าและเส้นผมกระจายอยู่บนฟูก กระดูกไหปลาร้าทั้งสองข้างเผยออกมาอย่างไร้การปิดบัง  
 
 
ดวงพักตร์ที่สวมใส่หน้ากากเอาไว้หันไปข้างหนึ่ง พระองค์ทอดถอนลมหายใจออกมาเบาๆ “ฝ่าบาท พระองค์มีเรี่ยวแรงมากจริงๆ”  
 
 
ฝ่ามือนี้ ตู๋กูซิงหลันมิได้ใช้เรี่ยวแรงมากสักเท่าไหร่ แต่ว่าจีเฉวียนก็ยังทรงรู้สึกได้ถึงขุมพลังหลากหลายที่ผสมผสานอยู่ในนั้น  
 
 
แค่ผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน นางก็เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นมาก  
 
 
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ข้างฟูกที่นอน หลุบตาลงก้มศีรษะลงไป ขนตาที่งามงอนทาทาบจนเกิดเป็นเงา  
 
 
ฮ่องเต้หญิงผู้สูงส่งยืนค้ำอยู่เหนือบุรุษที่นอนทอดกายอยู่บนฟูก  
 
 
นางมิได้สนใจต่อท่าทางที่อ่อนระทวยของเขา ขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้นมา นางก็ยกขาขึ้นมาเหยียบลงไปอย่างแรง  
 
 
ฝ่าเท้านี้เหยียบลงไปกลางอกของเขา รองพระบาทปักลายบุปผาสีแดงเพลิงขยี้อยู่บนผิวพรรณของเขา  
 
 
หัวรองเท้าปักเป็น ดอกเซาเหยา[1] สีทองดอกหนึ่ง พอปลายเท้าของนางสะกิดเบาๆก็ปัดเสื้อผ้าของเขาจนแหวกออก  
 
 
ดวงตาดอกท้อคู่นั้นสำรวจดูอย่างละเอียดละออ นับตั้งแต่ช่วงหน้าท้องไล่เลียงขึ้นไปเรื่อยๆ  
 
 
สุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ที่บริเวณลำคอของเขา ทันทีที่ได้เห็นรอยแผลเป็นจางๆรอยหนึ่ง ดวงตาดอกท้อคู่นั้นก็สาดประกายเย็นยะเยือกออกมาในทันที  
 
 
จีเฉวียนหันพระพักตร์ไปด้านข้าง ได้แต่ปรายพระเนตรเหลือบดูแววตาที่เย็นชาของนาง  
 
 
ถึงตอนนี้พระองค์จึงได้เข้าพระทัยว่า …..ที่ผ่านมานั้นไทเฮาน้อยแห่งต้าโจวได้อดทนปิดกั้นตนเองมามากเท่าไร  
 
 
นางในตอนนี้ ดุดันเย็นชา ราวกับพายุหิมะที่กดทับลงมาจนทำให้ผู้คนแทบจะหายใจไม่ออก  
 
 
จีเฉวียนทรงชะงักไปอยู่บ้าง ทรงเห็นว่าฝ่าเท้าของนางมิได้ขยับไปไหนแม้แต่นิดเดียว ทั้งยังโน้มร่างลงมาเล็กน้อย แทบจะถ่ายเทน้ำหนักทั้งร่างลงมายังพระองค์  
 
 
นางยื่นมือออกมา ปลายนิ้วขยับน้อยๆ สัมผัสลงไปบนพระหนุ (คาง)  
 
 
“กล้ามาทำการละเล่นเช่นนี้กับเรา?” ริมฝีปากสีแดงฉ่ำของนางเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาที่สุด ปลายนิ้วของนางเลื่อนลงไป ปลายเล็บที่แหลมคมไล้ผ่านลูกกระเดือก แทบจะแทรกลงไปใต้ผิวเนื้อ นางเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาคำหนึ่ง “เจ้าช่างกล้าดี”  
 
 
จีเฉวียนถูกนางกดเอาไว้ ตัวของนางเบามาก แต่ว่ากลับมีเรี่ยวแรงมหาศาล แทบจะทับลงมาบนพระองค์ทั้งตัว  
 
 
อืม และยังรู้จักเลือกจุดที่จะเหยียบ  
 
 
นางเหยียบลงมาบนปอด ทำเอาคนแทบจะหายใจไม่ออก ทั้งยังกดกระดูกเอาไว้ จนเจ็บลึกลงไปจริงๆแล้ว  
 
 
คำว่า ‘เรา’ ที่เอ่ยออกมาตรงหน้านี้ พอออกจากปากของนาง ทำให้รู้สึกถึงความหยิ่งผยองอย่างอธิบายไม่ถูก  
 
 
จีเฉวียนชะงักไปชั่วครู่ ทรงขยับปลายดัชนีน้อยๆ เอ่ยกับนางว่า   
 
 
“หรือเพราะว่าข้าเผลอทำอะไรลงไป ที่ทำให้ฝ่าบาทไม่สบพระทัย?”  
 
 
 ดูเหมือนว่านางจะไม่ชอบพระองค์อย่างยิ่ง  
 
 
“เฮอะ” ตู๋กูซิงหลันส่งเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาออกมาคำหนึ่ง ปลายเล็บยังคงสะกิดลงไปบนรอยแผลเป็นที่อยู่บนพระศอ  
 
 
ปลายเล็บของนางสะกิดเป็นวงกลม แทบจะคว้านลงไปในผิวหนังของพระองค์ จากนั้นก็กระซิบเบาๆลงไปที่ข้างพระกรรณ “รู้หรือไม่ว่าเราชิงชังสิ่งใดมากที่สุด?”  
 
 
“สิ่งสกปรก”  
 
 
แค่สามคำ ทำเอาจีเฉวียนทรงสะท้านจนร่างแข็งไป  
 
 
หมายถึงพระองค์หรอกหรือ?  
 
 
“สิ่งของของข้า ผู้อื่นกลับมาเลียไปคำหนึ่ง แล้วยังจะให้ข้าต้องกลืนลงไป เจ้าว่ามันน่าสะอิดสะเอียนหรือไม่?”  
 
 
นางสะกิดลงไปบนรอยแผลเป็น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาสุดหยั่ง  
 
 
ที่แท้ก็พูดถึงพระองค์จริงๆ  
 
 
‘สิ่งของของข้า’?  
 
 
นั่นหมายถึงพระองค์ใช่ไหม?  
 
 
หากว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น …..หรือว่านางเตรียมจะยอมรับพระองค์แล้ว  
 
 
พระทัยของจีเฉวียนตื่นเต้นอย่างครึกโครม ความรู้สึกที่หลากหลายประดังประดาขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน  
 
 
พระองค์ทั้งตื่นตะลึง ทั้งประหลาดพระทัย ทั้งยินดี และปวดร้าว  
 
 
ความรู้สึกมากมายปะปนกันจนสับสนปนเปไปหมด ยิ่งทำให้พระองค์ทรงชะงักค้างไปทั่วทั้งร่าง  
 
 
ในขณะที่ทรงพระทัยลอยอยู่นั้น หน้ากากบนใบหน้าก็ถูกถอดออกไป  
 
 
ในยามนั้นเองสายลมก็พัดโชยเข้ามา เป่าผ้าม่านให้พลิ้วขึ้นไป ค่อยหล่นลงมาบังพระพักตร์เอาไว้อย่างพอดิบพอดี  
 
 
เผยให้เห็นแต่เพียงแค่แววพระเนตรเท่านั้น  
 
 
ถึงจะมีผ้าโปร่งบางเบาสีแดงมากั้น แต่ก็ทำให้เห็นโฉมหน้าของบุรุษที่งดงามราวภาพแกะสลักได้อย่างชัดเจน   
 
 
จีเฉวียนหันพระพักตร์ไปยังด้านข้าง ยกพระหัตถ์ข้างหนึ่งขึ้นมาบังเอาไว้  
 
 
พระหัตถ์พึ่งจะขวางเอาไว้ ข้อพระกรก็ถูกตู๋กูซิงหลันคว้าเอาไว้อย่างแน่นหนา  
 
 
มือของนางผอมบาง ไม่อาจกำข้อพระกรได้รอบเสียด้วยซ้ำ แต่ว่ากลับมีพละกำลังมากมาย  
 
 
จับพระองค์เอาไว้อย่างแน่นหนา จนพระองค์ไม่มีโอกาสที่จะหลบหนีไปได้  
 
 
มืออีกข้างก็เลื่อนขึ้นมาปัดผ้าโปร่งสีแดงผืนนั้นออกไป  
 
 
ภายใต้แสงเทียนอ่อนจาง ดวงหน้านั้นก็ถูกเปิดเผยออกมาตู๋กูซิงหลันขมวดหัวคิ้วแน่น…..ไม่ใช่เขาหรือ?  
 
 
นี่เป็นยอดบุรุษที่งดงามมากผู้หนึ่ง งดงามถึงขนาดที่ว่าแม้แต่เส้นคิ้วและขนตาก็ยังคมคายงดงามและชัดเจน ราวกับดวงจันทราที่กระจ่างอยู่ท่ามกลางสายลม ทั้งๆที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นดวงหน้าละมุนที่แสนจะอ่อนโยน แต่ว่ากลับให้ความรู้สึกที่เย็นชาจนหนาวเหน็บออกมา  
 
 
ราวกับว่าป่ายปีนขึ้นมาจากขุมนรกที่เย็นยะเยือกสุดหยั่ง  
 
 
หน้าตากับบรรยากาศที่ออกมาจากตัวเขาช่างตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง!  
 
 
นางคว้าข้อมือของเขาเอาไว้ คิดจะสัมผัสถึงไอหยางจากร่างกายของเขา  
 
 
แต่ว่ากลับไม่รู้สึกถึงเลยสักนิด  
 
 
นี่มันเรื่องอะไรกัน?  
 
 
นางจับจ้องไล่เรียงเขาด้วยสายตาเย็นชา พยายามจะขุดหาตำหนิจากใบหน้านี้ออกมาให้ได้  
 
 
ดวงตาของเขาดำขลับ และลึกล้ำ คล้ายดั่งไม่อาจมองเห็นก้นบึ้งทั้งยังทำให้คนเหน็บหนาวไปจนถึงกระดูก  
 
 
“คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาท….จะทรงโปรดข้ามากถึงขนาดนี้” พระองค์ยังคงนอนทอดกาย มองดูนางอยู่เช่นนั้น  
 
 
ระยะห่างระหว่างทั้งสองน้อยมาก จนลมหายใจกระทบใส่ใบหน้าของอีกฝ่าย  ในตำหนักบรรทมนี้เงียบเชียบเสียจนแม้เข็มตกก็คงจะได้ยิน  
 
 
ทำให้ได้ยินแม้กระทั่งเสียงพระทัยของพระองค์ที่เต้นดัง ‘ตึก…ตึก….ตึก….’  
 
 
ตู๋กูซิงหลันหรี่ดวงตามองดูเขา นางยื่นมือไปหยิกแก้มของเขา  
 
 
แต่ก็ไม่สามารถดึงหนังหรือแผ่นหน้ากากใดๆออกมาได้……  
 
 
ในที่สุดนางก็ลุกขึ้นยืน กวาดตามองดูเขาใหม่อีกรอบ “เจ้าเป็นใครกันแน่?”  
 
 
“เนี่ยซิง ชายบำเรอคนใหม่ของฝ่าบาท”  
 
 
 
 
 
 
 
 
——
 
 
[1] 芍药 (โบตั๋น)  
 
 
……………………………………………..
 
 
ไรท์: หลันหลัน เขามาเสิร์ฟถึงปากแล้ว เรากินก่อนค่อยสอบสวนก็แล้วกัน ดีไหม?
 
 
ตอนต่อไป “เรียกเราว่าฮ่องเต้หญิง!”

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset