ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 443 หากสูญเสียฮองเฮา ก็ไม่ต่างจากสิ้นแว่นแคว้น

 
 
 
จีเฉวียนตรัสเรื่องทั้งหมดออกมาในคราวเดียว ทำให้ฉางซุนอิงต้องกลืนคำพูดที่มาถึงลำคอลงไป  
 
 
พักใหญ่ค่อยได้ยินนางถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง ส่ายศีรษะกล่าวว่า “แต่ว่าวันนั้น…..ที่ข้าปรากฏตัว และจูบท่าน ท่านไม่ได้ปฏิเสธ”  
 
 
ทันใดนั้นในใจของนางก็หล่นวูบ “ท่านจงใจใช่ไหม?”  
 
 
จงใจทดสอบนาง….จงใจแสดงว่าความสัมพันธ์ของพระองค์กับฉางซุนอิง ‘ผูกพันลึกล้ำ’  
 
 
นับตั้งแต่ที่นางจูบพระองค์ จีเฉวียนก็รู้แล้วว่านางไม่ใช่ฉางซุนอิง  
 
 
ที่แท้แล้วตั้งแต่แรกเริ่ม พระองค์ก็ใช้วิธีแผนซ้อนแผนมาโดยตลอด…..  
 
 
ท่านประมุขมีคำสั่งให้นางทำลายแคว้นของเขา ทำร้ายร่างกายของเขา ให้เขาต้องเจ็บปวดทรมานอย่างไม่มีทางพลิกฟื้นขึ้นมาได้อีก   
 
 
นางคิดว่าตนเองสามารถทำลายแคว้นของเขาไปทีละก้าวทีละก้าว…แต่ว่าพอถึงสุดท้ายแล้วจึงได้พบว่า ที่แท้นางถูกหลอกใช้มาตั้งแต่แรกแล้ว  
 
 
นางคิดว่าตนเองทำได้อย่างแนบเนียนราวผืนฟ้าไร้ตะเข็บ แต่กลับไม่รู้เลยว่าตนเองตกลงไปในหลุมพรางของผู้อื่น ราวกับตัวละครที่ถูกผู้อื่นชักไปมา  
 
 
คนผู้นี้…..ที่จริงแล้วจิตใจลุ่มลึกเพียงใดกันแน่ถึงได้กระทำการได้อย่างเยือกเย็นถึงเพียงนี้ ค่อยๆรวบแหอย่างช้าๆ ทำให้ตัวหมากอย่างนางกลายเป็นหมากในมือของเขา  
 
 
นางไม่กล้าคาดคิด…..  
 
 
นางเงยหน้าขึ้นมองดูพระศอของจีเฉวียน ตรงที่นางเคยจุมพิต ตอนนี้กลายเป็นบาดแผลใหม่อีกครั้ง ราวกับว่ามันถูกเฉือนเอาเนื้อหนังออกไป  
 
 
หัวใจของนางเย็นวาบลงไปในทันที  
 
 
คนผู้นี้ช่างแสดงได้เก่งเกินไปแล้ว ดีขนาดถึงขั้นที่ว่าช่วงเวลาที่เขา ‘โปรดปราน’ นางอยู่นั้น แม้แต่ตัวนางเองก็ยังรู้สึกยิ้มกริ่มยินดีปรีดาอยู่ในใจ นึกว่าทุกสิ่งล้วนเป็น ‘เรื่องจริง’  
 
 
ตอนที่นางจุมพิตที่ลำคอตอนนั้น เป็นเรื่องที่ทำผิดพลาดที่สุดในชีวิตแล้ว  
 
 
ดวงเนตรของจีเฉวียนเป็นประกายเย็นชา ความเย็นยะเยือกเช่นนี้ยามที่กวาดผ่านร่างของฉางซุนอิงเพียงผ่านๆกลับนำกลิ่นอายโลหิตกำจายออกมา  
 
 
“ตอนนี้ ถึงเวลาต้องรับผิดชอบแล้ว”  
 
 
เพียงประโยคเดียวของเขา ก็ทำเอาเหน็บหนาวขึ้นมาทันที  
 
 
“ท่านคิดจะทำอะไร?” นางถามออกไป “ฆ่าข้ารึ?”  
 
 
จีเฉวียนแย้มสรวลอย่างเย็นชา พึ่งจะสิ้นเสียง ที่ด้านนอกห้องทรงพระอักษรพลันปรากฏนักพรตที่ดูบริสุทธิ์งดงามกลุ่มหนึ่ง  
 
 
พวกเขาสวมใส่ชุดยาวสีเขียวแบบเดียวกัน ผู้นำเป็นนักพรตชราเคราขาวผู้หนึ่ง  
 
 
“โอ้ เง็กเซียนบนสวรรค์…” พอเข้ามาในห้องทรงพระอักษร เจ้าอารามเทียนเก๋อกวนอู๋ซื่อค่อยเอ่ยคำติดปากออกมา  
 
 
งานนี้ที่จริงสมควรมอบหมายให้กับอู๋เจิน แต่ว่าเขายังติดภารกิจชำระวิญญาณผู้ตายทั้งหลายอยู่ที่ภูเขาฝูซางเมืองกู่เย่ว ตอนนี้จึงไม่อาจกลับมาได้  
 
 
ได้แต่ต้องให้เขาลงมือด้วยตนเอง  
 
 
“เราต้องการรู้ความลับในร่างของนางทั้งหมด ภายในหนึ่งวัน” จีเฉวียนตรัสเพียงประโยคเดียวด้วยน้ำเสียงเย็นชา  
 
 
หลังจากนั้นก็เห็นท่านเจ้าอารามผงกศีรษะ ดวงตาชราทั้งคู่ของเขาก็ทอแสงเย็นวาบออกมาเช่นกัน  
 
 
เป็นเพราะสตรีผู้นี้ ทำให้อารามเทียนเก๋อกวนของพวกเขาต้องสูญเสียท่านเซียนอย่างไทเฮาน้อยไป  
 
 
ผลกรรมนี้ ย่อมต้องค่อยๆทวงคืนมาจากร่างของนาง!  
 
 
‘ฉางซุนอิง’ ถูกจับตัวไว้ ดวงตาทั้งสองของนางแดงก่ำดุจเลือด  
 
 
จดจ้องจีเฉวียนอย่างเ**้ยมเกรียม พลางตะโกนออกไปว่า “ท่านกับตู๋กูซิงหลันย่อมต้องไม่มีจุดจบที่ดีอย่างแน่นอน! หนี้ที่บรรพบุรุษตระกูลจีติดค้าง ย่อมต้องทวงคืนจากลูกหลานอย่างพวกเจ้า!”  
 
 
“จีเฉวียน เจ้าจะต้องโดดเดี่ยวไปจนชั่วชีวิต!”  
 
 
จีเฉวียนไม่สนใจนางอีก ปล่อยให้คนของอู๋ซื่อใช้เวทย์จัดการกับนาง นำตัวนางออกไป  
 
 
หนี้ที่บรรพบุรุษตระกูลจีติดค้าง……  
 
 
ท่านปู่ติดค้างหนี้เลือดไว้มากมาย ก่อตั้งแคว้นแคว้นหนึ่ง มือของเขาย่อมมีแต่กลิ่นคาวโลหิต  
 
 
หนี้ที่หนักหนาที่สุด ย่อมเป็นจากแคว้นกู่เย่ว…..  
 
 
สิ่งที่บันทึกอยู่ในม้วนไม้ไผ่บนชั้นบนสุดของตำหนักเฟิ่งหมิง เขาได้อ่านอย่างชัดเจนจนจดจำได้ทั้งหมดแล้ว  
 
 
จีเฉวียนย่อมรู้เรื่องหนี้เลือดของแคว้นกู่เย่วดี  
 
 
………………  
 
 
 
 
 
พอถึงยามค่ำ อู๋ซื่อก็ใช่เสียงส่งข่าวกลับมาว่า “ฟ่านอิง ตำหนักซิวหลัวเตี้ยน”  
 
 
เพียงไม่กี่คำสั้นๆก็ทำให้ความสงสัยที่รุมเร้าจีเฉวียนมาเนิ่มนานคลี่คลายลงจนหมดสิ้น สิ่งที่กระจัดกระจายอยู่ถูกร้อยเรียงด้วยเชือกเส้นเดียว  
 
 
ฟ่านอิง…….ว่าที่สามีที่มิได้อภิเษกกับเจียงเย่ว ผู้ที่ตกตายใต้คมดาบของท่านปู่จีจ้านในวันแต่งงาน  
 
 
หรือบางที…..เขาอาจจะไม่ตาย หรือไม่ก็ ใช้วิธีการอย่างไรอย่างหนึ่งในการกลับมา ซุ่มซ่อนอยู่ในตำหนักซิวหลัวเตี้ยน  
 
 
มิว่าจะเป็นทางใด ขอเพียงเขายังอยู่ ย่อมต้องเกลียดชังราชวงศ์จีแห่งต้าโจวเข้ากระดูก คิดหาทุกหนทางมาล้างแค้น  
 
 
หมากของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนทุกตัวย่อมต้องถูกลงคาถาปิดวาจา แต่ว่า ‘ฉางซุนอิง’ ออกจะพิเศษออกไป ร่างของนางกำเนิดจากดินเหนือสุสานของฉางซุนอิง จึง ‘ตาย’แต่แรกแล้ว แต่ว่าอู๋ซื่อกลับยังมีหนทางล้วงหาคำตอบจากร่างของนางออกมาได้  
 
 
ดังนั้น ‘ฉางซุนอิง’ จึงเป็นตัวหมากที่ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนตระเตรียมเอาไว้แต่แรกแล้ว ทั้งยังถูกส่งออกมาในยามสำคัญคิดจะจัดการเขาให้ถึงฆาต  
 
 
สิ่งที่ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนต้องการมิใช่ชีวิตของเขา แต่ต้องการให้เขาทุกข์ทรมานอย่างไม่อาจฟื้นฟูได้ไปตลอดชีวิต  
 
 
ทั้งยังต้องการให้แคว้นต้าโจวเกิดความวุ่นวายราวแดนนรก…..  
 
 
เพียงแต่ว่าจีเฉวียนออกจะรู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนี้อยู่บ้าง ในเมื่อฟ่านอิงเกลียดชังลูกหลานราชวงศ์จี ไยจึงไม่ลงมือด้วยตนเอง  
 
 
หากแต่ใช้วิธีลอบส่งตัวหมากลับๆมาทีละตัวๆ ช่างยุ่งยากนัก  
 
 
อืม…..อย่างน้อยหากจีเฉวียนต้องการจะล้างแค้นคนผู้หนึ่ง ย่อมไม่ใช้วิธีที่อ้อมค้อมไปมาเช่นนี้  
 
 
หากว่ามีแค้น….เขาคงจัดการตรงๆแต่แรกไปแล้ว  
 
 
‘ฉางซุนอิง’ ตายแล้ว…หากบอกให้ถูกต้องหน่อยย่อมต้องเป็นว่าร่างที่กำเนิดจากดินสุสานและเหง้าบัวนั่นตายไปแล้ว  
 
 
วิญญาณที่อยู่ภายในร่างนั้น ไม่มีผู้ใดได้เห็นอย่างชัดเจน เห็นเพียงแต่กลุ่มควันที่แดงดั่งสีเลือด สลายไปจาก ‘ร่างกาย’ ที่กลายเป็นผุยผง จนไม่หลงเหลือสิ่งใดทั้งสิ้น  
 
 
เมื่อถูกอู๋ซื่อใช้ฝีมือต่างๆล้วงคำพูดออกมา ‘ร่างกาย’ นั้นย่อมไม่อาจทนรับได้ แม้แต่วิญญาณที่สิงสถิตอยู่ ‘ในร่าง’ ก็ยังต้องบอบช้ำอย่างหนัก  
 
 
ในมุมมืด จีเฉวียนจับจ้อง ‘สีแดง’ ที่สลายตัวไป ดวงเนตรหงส์มีแต่ความเย็นยะเยือก  
 
 
“ฝ่าบาท” ท่ามกลางสายลมที่เหน็บหนาว ก็เห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่ง คุกเข่าให้กับจีเฉวียนด้วยความเคารพนอบน้อม  
 
 
เป็นหลงเซียว  
 
 
หลังจากที่ติดตามฝ่าบาทไปยังก้นทะเล เขาก็ได้กลับมายังต้าโจวก่อนก้าวหนึ่ง  
 
 
“ตอนนี้ค้นพบปากทางเข้าสู่ก้นทะเลลึกแล้วพะยะค่ะ” หลงเซียวรายงาน  
 
 
“ปล่อยสัตว์อสูรพิทักษ์แคว้นออกมา” ยามที่ตรัสประโยคนั้น สีพระพักตร์ของจีเฉวียนมีแต่ความสงบนิ่ง  
 
 
“ฝ่าบาท…สัตว์อสูรพิทักษ์แคว้นหากไม่ถึงยามแคว้นใกล้ดับสูญไม่สมควรเรียกใช้สอยมิใช่หรือพะยะค่ะ?”  
 
 
“หากสูญเสียฮองเฮาไป จะต่างอะไรกับการสิ้นแคว้น”  
 
 
ประโยคเดียงของจีเฉวียน ทำเอาหลงเซียวต้องหุบปากลงไป แต่ว่าในใจของเขาก็ยังคงถกเถียง แคว้นต้าโจวมีฮองเฮาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?  
 
 
นี่เขาความจำเสื่อมไปแล้วหรืออย่างไร?  
 
 
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินจีเฉวียนตรัสว่า “คำสั่งเสียของเราเรียบเรียงไว้เรียบร้อยแล้ว ซ่อนอยู่หลังป้ายในท้องพระโรง หากว่าไม่อาจกลับมา ถึงตอนนั้นเจ้าก็เอาออกมาประกาศออกไป….”  
 
 
ประโยคนี้ ทำเอาหลงเซียวเกือบจะถึงขั้นตกใจตาย  
 
 
คำสั่งเสีย? ฝ่าบาทยังทรงหนุ่มแน่นแข็งแกร่งดุจพยัคฆ์ดุจมังกร อยู่ดีๆจะสวรรคตได้อย่างไร….  
 
 
แต่พอคิดถึงก้นทะเลลึกขึ้นมา หลงเซียวก็เข้าใจได้ในทันที ที่นั่นมีภยันตรายมากมายมหาศาล …..คือท้องที่ของเผ่ามังกรทมิฬที่ถูกกล่าวขานในตำนาน ต่อให้ฝ่าบาทแข็งแกร่งเพียงไร จะอย่างไรยังคงเป็นมนุษย์ธรรมดามิใช่หรือ?  
 
 
โอกาสที่จะเกิดความพลาดพลั้งได้ย่อมมีอยู่มากมาย  
 
 
“ฝ่าบาท …..” หลงเซียงคิดจะทูลทัดทานพระองค์ แต่ว่าคำพูดพอมาถึงปากก็ถูกสายตาที่กวาดมาของจีเฉวียนกวาดกลับลงไป  
 
 
หลงเซียวจึงได้แต่กลืนคำพูดเหล่านั้นลงไปในท้อง  
 
 
ถึงต้องไปตายพระองค์ก็ยังจะทรงเสด็จไป….ทั้งยังนำพาสัตว์อสูรพิทักษ์แคว้นไปด้วย  
 
 
เพื่อไทเฮาน้อย……ฝ่าบาททรงรักไทเฮาน้อยอย่างลึกล้ำถึงกระดูก ยินยอมละทิ้งแผ่นดินที่ทรงสร้างมาตลอดสิบปี ยินยอมเสี่ยงตายแว่นแคว้นดับสูญ ก็จะต้องไปช่วยนาง  
 
 
เรื่องของความรักนั้น มีผู้ใดจะสามารถอธิบายได้ชัดเจนบ้างเล่า?  
 
 
 
 
 
 
 
 
…………………………………………  
 
 
ไรท์: หลันๆ พี่เต้จะมาแล้ว จะงัดทุกอย่างออกมาเพื่อพาเธอกลับบ้าน  
 
 
ตอนต่อไป “สตรีอื่นหรือจะอยู่ในสายตา?”  
 
 
ไรท์ : ให้มันได้อย่างนี้สิ แค่ชื่อตอนก็กินขาด!  

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset