ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 488 หมิงอ๋อง

ดังนั้นแล้ว มันจึงได้แต่กลับมานั่งหมอบอยู่ที่ข้างกายซื่อมั่วอย่างว่าง่าย แม้แต่ดวงตาขนาดเมล็ดถั่วเขียวก็ยังไม่กล้าหลุกหลิก  
 
 
ขณะที่มือของซื่อมั่วดีดลงไปบนพิณอย่างต่อเนื่อง แต่สายตาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองดูสมุดเล่มเล็กของวิญญาณทมิฬ  
 
 
ตัวอักษรที่กรงเล็บของวิญญาณทมิฬเขียนออกมา ยังน่าเกลียดกว่าตู๋กูซิงหลันเสียอีก  
 
 
มีเจ้านายอย่างไรก็มีลูกน้องอย่างนั้น  
 
 
เขาเหลือบตามองดูแวบหนึ่ง ก็เห็นประโยคที่ว่า ‘รักเจ้าจนหมดหัวใจ ชั่วชีวิตนี้ไม่แปรผัน’  
 
 
“เจ้าฮ่องเต้สุนัข…… ร่างแบ่งภาคของท่าน ….. เคยสารภาพความในใจกับหลันหลัน…..”  
 
 
วิญญาณทมิฬแอบอธิบาย…….  
 
 
ซื่อมั่วยังคงตีหน้าตายดุจเดิม เขาเบนสายตาออกไป แววตาจับจัองไปที่บนพิณ  
 
 
แต่แล้วช่างบังเอิญ…..สายลมหอบหนึ่งพัดเข้ามา พลิกหน้ากระดาษบนสมุดเล่มเล็กไปอีกหน้า  
 
 
“ในอกของเรา มีแผ่นดิน ในใจมีเจ้า สามารถรองรับได้ทั้งสองส่วน”  
 
 
ตัวอักษรที่เขียนเอาไว้เต็มหน้าเหล่านั้น ทิ่มแทงเข้าสู่ดวงตาของซื่อมั่ว  
 
 
ขนตาของเขาถึงกับแข็งค้างไปชั่วขณะ  
 
 
“อาจารย์…… ยามปกติท่านไม่เคยกล่าวคำหวานเหล่านี้แม้แต่ครึ่งคำ ใช่เป็นเพราะถูกร่างแบ่งภาคนั้นเอาความสามารถส่วนนี้ไป…..”  
 
 
ว่าตามจริงนะ ขนาดวิญญาณทมิฬได้ฟังฮ่องเต้สุนัขกล่าวคำหวานพวกนี้ออกมา มันยังรู้สึกว่าตัวจะบิดเป็นเกลียวไปหมด   
 
 
ท่านอาจารย์ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้น จึงไม่ได้เห็นแววตาและน้ำเสียงของฮ่องเต้สุนัข  
 
 
มันจินตนาการไม่ออกจริงๆว่า คนที่แข็งทื่ออย่างตาเฒ่าผู้นี้ ทำอย่างไรจึงแบ่งภาคออกมาเป็นฮ่องเต้สุนัขได้กัน  
 
 
ดังนั้นโปรดอภัยที่มันไม่สามารถมองเห็นทั้งสองเป็นคนคนเดียวกันได้เลย  
 
 
ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะงดงามจนล้ำโลกเหมือนกัน แต่อุปนิสัยของท่านสองก็แตกต่างกันมาก รูปลักษณ์ภายนอกก็แตกต่างกันพอสมควร  
 
 
ซื่อมั่วพลันรู้สึกว่ามันน่ารำคาญขึ้นมา เขาโบกมือครั้งหนึ่ง ปากของวิญญาณทมิฬก็ผนึกเข้าหากันจนปิดสนิท  
 
 
หลังจากนั้นก็เหลือแต่เสียงพิณเป็นจังหวะสั้นๆยาวๆของเขา กับเสียงของสายลมจากภายนอกเท่านั้น  
 
 
ที่นอกเรือน ซ่งเจียงเสวี่ยยืนอยู่ในความมืด มองเข้าไปอย่างเหม่อลอย  
 
 
ที่ด้านนอกเรือนกางเขตอาคมเอาไว้ นางเข้าไปไม่ได้  
 
 
แต่หลังจากที่ติดตามกลิ่นไอจางๆหายๆของเขามาเรื่อยๆ ในที่สุดก็ตามมาจนถึงที่นี่ได้สำเร็จ  
 
 
หลังผ่านมานานหลายปี……..นางหาเจอแล้ว  
 
 
นางยืนอยู่นอกเรือน ปากประตูมีสิงโตแกะสลักขนาดเท่าช้างอยู่สองตัว พอก้าวออกไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ก็เห็นหินแกะสลักทั้งสองตัวนั้นพากันเคลื่อนไหวขึ้นมา  
 
 
ท่ามกลางความมืดยามราตรี พวกมันจดจ้องมาทางนี้ ดวงตาของหินแกะสลักครั้งสองทอประกายเย็นชาเจิดจ้า  
 
 
พอซ่งเจียงเสวี่ยเข้าไปใกล้ กรงเล็บของเจ้าสิงโตแกะสลักทั้งสองก็ตะปบลงมาทางนางอย่างรวดเร็ว  
 
 
ก่อนหน้านี้ซ่งเจียงเสวี่ยถูกซื่อมั่วใช้กระบองฟาดไปรอบหนึ่ง จนสมองแทบแตก บาดแผลนี้ยังไม่ทันหาย ตอนนี้ปฏิกริยาของนางจึงเชื่องช้าไปอยู่บ้าง  
 
 
ยามที่อสูรหินทั้งสองตะปบลงมา ก็ฉีกเอากระโปรงของนางขาดจนเป็นริ้ว ทั้งต้นขาและท่อนแขนต่างก็ถูกข่วนจนเลือดไหลโทรม  
 
 
“ซื่อมั่ว ….. ข้ารู้ว่าท่านจะต้องอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน” ซ่งเจียงเสวี่ยถอยหลังไปก้าวหนึ่ง นางไม่ดื้อดึงบุกเข้าไป  
 
 
เพียงใช้พลังวิญญาณส่งเสียงเข้าไปภายใน  
 
 
“แล้วข้าก็รู้ว่า ท่านจะต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน……ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ท่านยังจะไม่ให้อภัยข้าอีก แม้แต่หน้าก็ยังไม่ยอมออกมาพบสักครั้ง?” น้ำเสียงของนางโศกเศร้า ราวกับหัวใจที่ถูกบีบคั้น น่าสงสารอย่างที่สุด   
 
 
เสียงถูกส่งเข้าไปด้านใน แต่กลับไม่มีสิ่งใดตอบกลับออกมา  
 
 
ซ่งเจียงเสวี่ยยังไม่ยอมถอดใจ นางยังคงกล่าวต่อไป “ตอนนั้น…..เพราะท่านมีเมตตาช่วยข้าให้พ้นจากทะเลทุกข์ …..ข้าก็ได้สาบานเอาไว้แล้ว ว่าจะขอภักดีต่อท่านไปทุกชาติทุกภพ…… คำสาบานนั้นจนถึงตอนนี้ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”  
 
 
“ตอนนั้นข้าทำผิดไปแล้ว….. และท่านก็ได้ลงโทษข้าแล้ว …..ขับไล่ข้าออกไปจากเผ่าหมิง ทำให้ข้ากลายเป็นตัวประหลาดเป็นคนไม่ใช่คน เป็นผีไม่ใช่ผี ……ล่องลอยอยู่ในโลกนานถึงพันปี ……การลงโทษเช่นนี้ยังไม่นับว่าเพียงพออีกหรือ?”  
 
 
ซ่งเจียงเสวี่ยพูดไปก็ร้องไห้ออกมา  
 
 
“ข้ารับทรมานมานานหลายต่อหลายปี ….. สำนึกผิดแต่แรกแล้ว”  
 
 
“วันนี้ท่านก็ยังช่วยเหลือข้าในนาทีสุดท้าย….. ที่จริงในใจของท่าน ให้อภัยข้าแล้วใช่หรือไม่?”  
 
 
“เห็นแก่ความสัมพันธ์ที่เคยเป็นนายบ่าวกันมาครั้งหนึ่ง ท่านจึงยื่นมือช่วยเหลือข้า….”  
 
 
ซ่งเจียงเสวี่ยยิ่งพูดยิ่งเจ็บช้ำ นางถอยห่างจากอสูรหินสองตัวนั้นไปจนไกล ไม่กล้าเข้าใกล้แม้แต่น้อย  
 
 
พอนางถอยออกมาไกล สัตว์อสูรหินสองตัวนั้นก็กลายเป็นหินอีกครั้ง นั่งเฝ้าอยู่ที่นอกเรือน  
 
 
อาณาเขตสีม่วงเข้มกึ่งโปร่งแสงเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เสียงฮือๆ ซ่งเจียงเสวี่ยร้องคร่ำครวญมาตามสายลม ราวกับผีสาวที่ชอกช้ำตนหนึ่ง  
 
 
หลังฟังอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดน้ำเสียงที่เย็นชาของซื่อมั่วก็เอ่ยขึ้น “ที่ข้าช่วยเจ้า เพราะต้องการให้เจ้ารับโทษทัณฑ์ในโลกนี้ต่อไป  
 
 
น้ำเสียงเย็นชา ไร้น้ำใจ  
 
 
ซ่งเจียงเสวี่ยนิ่งอึ้งไปวูบหนึ่ง น้ำตาของนางไหลไม่หยุด พอจะเอ่ยปากก็ได้ยินเสียงเอ่ยขึ้นอีกว่า “ เรื่องที่เสินฟางคลุ้มคลั่งในตอนนั้น เกี่ยวข้องกับเจ้าอย่างไม่อาจปฏิเสธ ข้าสามารถละเว้นเจ้าได้ครั้งหนึ่ง แต่เจ้ากลับกล้ามีใจคิดร้ายต่อศิษย์ของข้าอีก….”  
 
 
พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดไปครู่หนึ่ง “ซ่งชิงไต้…….จุดจบของเจ้า จะต้องทุกข์ทรมานยิ่งกว่าก่อนที่ข้าจะช่วยเจ้าเอาไว้อีกนับพันนับหมื่นเท่า”  
 
 
ไข่มุกงามที่แข็งแกร่งที่สุดบนสรวงสวรรค์……..ซ่งชิงไต้  
 
 
เพราะรักคนผิด….จึงต้องตกนรกหมกไหม้ไม่อาจไปผุดไปเกิด….หากมิใช่เพราะได้หมิงอ๋องช่วยเหลือ……นางคง…….  
 
 
“แต่ว่า………” นางได้แต่เฝ้ามองไปที่หน้าประตูใหญ่ ศีรษะก็เจ็บปวดจนสมองมึนงงไปหมด “เผ่าหมิงล่มสลายไปแล้ว สถานะของท่านก็ถูกเปิดเผย พวกชาวสวรรค์ย่อมต้องไม่ปล่อยท่านไปอย่างแน่นอน…..”  
 
 
“ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็ยังจดจำบุญคุณในตอนนั้นของท่านได้…..” นางพูดต่อไป “มีแต่ต้องรวบรวมหยกสรรพชีวิตกลับมาให้ได้ครบ และตามหาสิบยมราชจนเจอ จึงจะสามารถทำให้เผ่าหมิงฟื้นคืนได้อีกครั้ง…… ถึงตอนนั้นจึงจะมีกำลังมาต่อสู้กับเหล่าเทพสวรรค์ได้….”  
 
 
ตลอดหลายปีมานี้ นางพยายามเสาะหาวิธีที่จะฟื้นฟูเผ่าหมิงมาโดยตลอด  
 
 
หลังจากสงครามเทพภูติในตอนนั้น ตำแหน่งของสิบยมราชล้วนว่างลง หลายปีมานี้ผู้ที่อยู่ข้างกายเขา นอกจากเสินฟางแล้ว ก็ไม่มียมราชผู้อื่นอีก  
 
 
ดินแดนยมโลก ถูกพวกเผ่าสวรรค์ส่งคนของพวกเขาเข้าไปยึดครองจัดสรรใหม่จนหมดแล้ว….  
 
 
หมิงอ๋อง ….ใช่แล้ว…..หลังจากมหาสงครามเทพภูติในตอนนั้น หมิงอ๋องก็หายสาปสูญไป  
 
 
ไม่มีใครรู้ว่า เขาได้เปลี่ยนฐานะของตนกลายเป็นซื่อมั่ว หลบซ่อนตัวอยู่ที่โลกใบนี้  
 
 
หากมิใช่เพราะว่านางตามหามานานปี……ก็คงไม่ได้รู้….  
 
 
“ฝ่าบาท…..ข้าสามารถช่วยเหลือท่านได้” นางยังคงอ้อนวอนต่อไป “ขอท่านโปรดรับข้าไว้ข้างกายเถอะ…..ข้ารับรอง จะไม่กระทำอะไรโดยพลการอีก ข้าจะทุ่มเทความพยายามทั้งหมด เพื่อชดเชยความผิดพลาดที่ข้าเคยทำ….. ฝ่าบาท ข้าเพียงหวังให้ท่านได้มีชีวิตที่ดี….”  
 
 
นางรับปากอย่างเหนียวแน่น จริงจังอย่างยิ่ง  
 
 
แต่ก็ยังไม่อาจโยกคลอนซื่อมั่วได้เลย  
 
 
เห็นแต่ประตูใหญ่ที่แย้มออก พลังที่เย็นยะเยือกสายหนึ่งกระแทกเข้าสู่ร่างของนาง แทบจะให้นางร่างแตกกระดูกป่น  
 
 
“เจ้ายุ่งแต่เรื่องของตัวเองก็พอ” เสียงที่เย็นชาของซื่อมั่วดังออกมาจากด้านใน “ข้าไม่ต้องการเจอหน้าเจ้าแม้แต่น้อย”  
 
 
ทันทีที่สิ้นเสียง ประตูนั้นก็ปิดลงอย่างแน่นหนาอีกครั้ง  
 
 
นางถูกพลังของซื่อมั่วผลักไสออกไปจากหุบเขาปีศาจ  
 
 
พอลงจากเขา ก็เห็นหุบเขาปีศาจถูกปกคลุมด้วยเขตอาคมชั้นหนึ่ง กีดกันทุกสิ่งจากโลกภายนอกให้ออกห่างจากเขตอาคมไกลนับร้อยเมตร  
 
 
ทำไม…..ฝ่าบาทถึงได้เกลียดชังนางถึงเพียงนี้ เป็นเพราะสตรีผู้นั้นหรือ?  
 
 
…………………………………..  

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset