ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 563 ชีวิตของชือหลี

หลังจากนั้นเขาก็หยิบยกคำอธิบายออกมาไม่หยุดว่าเขาเหมือนบุปผาดอกหนึ่งที่ใดบ้าง สุดท้ายก็สรุปออกมาว่า เป็นดอกลำโพง  
 
 
ทุกคำพูดล้วนมีเหตุมีผล ทำเอาคนไม่อาจโต้แย้งได้  
 
 
ตู๋กูซิงหลัน “…….”  
 
 
เอาเถอะ อย่างน้อยๆก็เป็นเครื่องยืนยันแล้วว่าคนที่พูดมากได้อย่างไม่มีความละอายผู้นี้ คือพี่รองไม่ผิดตัวอย่างแน่นอน  
 
 
ท่านเจ้าสำนักเองก็มั่นใจว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน ทั้งยังเห็นว่าพวกเขาสนิทสนมกันขนาดไหน ในใจก็ต้องเกิดความรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ  
 
 
ดวงตาที่สาดแสงเลเซอร์นั้นยังคงจ้องมองไปที่ร่างของตู๋กูเจวี๋ย  
 
 
จากนั้นก็เอ่ยปากถามออกมาประโยคหนึ่ง “ที่เจ้ามาขอพบข้า เพราะมีธุระอันใด?”  
 
 
แม้ว่าตนเองจะขัดจังหวะความยินดีที่ได้กลับมาพบกันของพี่ชายและน้องสาวคู่นี้ แต่ท่านเจ้าสำนักก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองจะต้องเกรงอกเกรงใจที่ตรงไหน  
 
 
ที่จริงแล้ว เขายังคิดจะดึงตัวศิษย์น้อยกลับมานั่งที่ข้างกายเสียด้วยซ้ำ ให้นางห่างจากพี่รองผู้นั้นไกลๆหน่อย  
 
 
พอได้ยินเขาถามออกมาเช่นนี้ ตู๋กูเจวี๋ยถึงได้คิดขึ้นมาได้ ว่าที่จริงแล้ว เขามาที่นี่ด้วยฐานะผู้ถือสารของซิวหลัวเตี้ยน  
 
 
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า จะได้พบกับน้องเล็กที่นี่  
 
 
เขาเองก็ยังไม่ทันได้มีเวลาไปซักถามน้องเล็กว่ามาที่จิ่วโจวได้อย่างไร และเพราะเหตุใดจึงอยู่กับท่านเจ้าสำนักหยินหยาง  
 
 
เขาไม่ได้ตอบคำถามออกไปในทันที แต่กลับทอดสายตาไปบนร่างของท่านเจ้าสำนัก มองดูอย่างละเอียดรอบหนึ่ง  
 
 
ยิ่งมองดู ก็ยิ่งรู้สึกว่าดวงตาของคนผู้นี้ ช่างคล้ายคลึงกับจีเฉวียน  
 
 
ไม่เพียงแค่นั้นบรรยากาศรอบกายของคนผู้นี้ ก็คล้ายคลึงกับจีเฉวียนอย่างยิ่ง  
 
 
เขาไม่ได้เข้าร่วมในสุดยอดการประลองสามฝ่าย และไม่เคยได้พบหน้าเจ้าสำนักหยินหยางคนใหม่มาก่อน แม้ว่าวันนี้จะได้เจอกันเป็นครั้งแรก แต่กลับรู้สึกว่าคุ้นเคยอย่างยิ่ง  
 
 
จนเขารู้สึกสงสัยว่า เจ้าสำนักคนใหม่ผู้นี้คือพี่น้องท้องเดียวกันที่ถูกทอดทิ้งเอาไว้ภายนอกของฮ่องเต้สุนัขผู้นั้น….ทั้งสองต่างก็แผ่แรงกดดันอันรุนแรงชนิดเดียวกันออกมา  
 
 
เขาปรับลมหายใจ มือก็ยังคงประคองทรวงอกที่ถูกน้องเล็กชกเอาไว้  
 
 
จากนั้นค่อยเอ่ยว่า “ท่านเจ้าตำหนักประสงค์จะนัดพบกับท่านในยามรุ่งอรุณของวันพรุ่งนี้ จึงได้สั่งให้ข้าน้อยส่งสารเชื่อเชิญมา”  
 
 
ว่าแล้ว ตู๋กูเจวี๋ยก็ล้วงเอาหนังสือเชิญออกมาจากในอกเสื้อ หนังสือเชิญฉบับนั้นเป็นสีดำตลอดเล่ม ทั้งยังปกคลุมด้วยหมอกดำชั้นหนึ่ง  
 
 
เขาสะบัดมันออกไปเบาๆ หนังสือเชื้อเชิญฉบับนั้นก็ร่อนลงบนโต๊ะเตี้ยตรงหน้าท่านเจ้าสำนักอย่างพอดิบพอดี  
 
 
แต่เขากลับไม่ได้เหลือบแลมันเลยสักนิด เพียงเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่รับนัด”  
 
 
ตู๋กูซิงหลันเหลือบตาไปมองดูหนังสือเชื้อเชิญฉนับนั้น นางก็เกิดความสงสัยขึ้นมา จึงถามออกไปว่า “วันมะรืนก็จะเป็นวันงานหมื่นบุปผชาติแล้ว ถึงตอนนั้นฉุยซือย่อมได้พบกับเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยน ทำไมเขาจะต้องรีบร้อนด้วย?”  
 
 
คำถามนี้ ตู๋กูเจวี๋ยไม่อาจตอบนางได้  
 
 
“เจ้าตำหนักย่อมมีความคิดของท่านเอง แม้แต่ข้าก็ไม่อาจคาดเดา”  
 
 
ฟังจากน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนจะให้ความเคารพเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนผู้นั้นอยู่หลายส่วน  
 
 
“พี่รอง มีบางเรื่องที่ท่านอาจจะยังไม่ทราบดี ….” ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้ว “ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับซิวหลัวเตี้ยน…..สถานที่แห่งนั้นไม่ใช่ที่ที่ดีสักเท่าไหร่ ท่าน….”  
 
 
ตอนที่นางพูดออกมา ตู๋กูเจวี๋ยมิได้ประหลาดใจเลยสักนิด เพียงแต่แววตาของเขาอับแสงลง  
 
 
สีหน้าของเขาดูย่ำแย่ เนิ่นนานค่อยกล่าวกับนางว่า “น้องเล็ก…..ซิวหลัวเตี้ยนแม้จะไม่ดี แต่ว่าก็มีสิ่งที่พี่ต้องการอยู่ ข้าย่อมต้องรั้งอยู่ที่นั่น ขายชีวิตให้พวกเขา”  
 
 
ขายชีวิตสองคำนี้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พอได้ฟังแล้วก็เสมือนกับดาบที่แทงลงไปในหัวใจของตู๋กูซิงหลัน  
 
 
ผู้ที่เป็นคุณชายน้อยในชุดขาวมาตลอด ตอนนี้บนร่างกลับมีแต่ความมืดมนเปี่ยมล้น  
 
 
ตอนที่อยู่ที่ก้นทะเลลึก นางไม่ได้ปกป้องพี่รองให้ดี  
 
 
“ท่านต้องการอะไร….หากข้าสามารถให้ท่านได้ก็จะให้ท่านทั้งหมด ท่านไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่ที่นั่น….ทนทุกข์ทรมาน”  
 
 
ด้วยความสามารถของตู๋กูซิงหลันในตอนนี้ นางมั่นใจว่าตนเองสามารถทำให้เขาสมปรารถนาได้อย่างแน่นอน  
 
 
ตู๋กูซิงหลันยื่นมือออกไป ลูบเส้นผมของเขา ดวงตาที่เดิมมีแต่ความเหน็บหนาว ก็เปลี่ยนเป็นอ่อนไหวขึ้นมาหลายส่วน  
 
 
“น้องเล็ก….สิ่งที่พี่รองต้องการ ก็คือชีวิตของชือหลี….เจ้าให้ไม่ได้หรอก”  
 
 
แค่ประโยคเดียว กลับทำเอาตู๋กูซิงหลันแข็งค้างอยู่กับที่  
 
 
ชีวิตของชือหลี …..ก่อนนี้นางคิดว่า พวกเขาผลัดหลงกันแล้ว  
 
 
แถมที่จริง ที่จริงนางเข้าใจมาโดยตลอดว่า ชือหลีคงจะ….  
 
 
“นาง…ยังมีชีวิตอยู่หรือ?” พอพูดถึงชื่อหลีในอกก็เกิดความเจ็บปวดจนไม่อาจบรรยายออกมาได้  
 
 
ในสมองของนาง มีแต่ภาพตอนที่ชือหลีถูกตัดมือตัดเท้า บาดเจ็บสาหัสไปทั้งร่าง  
 
 
เหตุระเบิดที่ก้นทะเลลึกในครั้งนั้น…..แทบจะไม่มีโอกาสที่นางจะรอดชีวิตได้เลย  
 
 
คำพูดของนาง ทำเอาตู๋กูเจวี๋ยเงียบงันลงไปเนิ่นนาน แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ปิดบังนาง  
 
 
“นางยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ตายไปแล้ว” คำพูดนี้ทำให้คนสับสนอย่างยิ่ง  
 
 
พอเห็นสีหน้าของตู๋กูซิงหลัน ตู๋กูเจวี๋ยค่อยอธิบายว่า “ร่างเนื้อของนางถูกน้องสาวของนางกับจีหร่านทำลายไปแล้ว…..ที่พวกเราเห็นนาง เป็นเพียงจิตวิญญาณที่ยังมิได้รับการฟื้นฟูคืนมาเท่านั้น”  
 
 
“ตอนที่เยี่ยอิงตัดมือและเท้าของนาง จึงเป็นการทำร้ายจิตวิญญาณของนางอีกครั้ง …..เหตุระเบิดที่ก้นทะเลลึกคราวนั้น จิตวิญญาณของนางระเบิดจนแตกออกเป็นส่วนๆ…..”  
 
 
ยามที่ตู๋กูเจวี๋ยพูดเรื่องนี้ออกมา ตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้เลยน้ำเสียงของเขาสั่นไหวไปทุกถ้อยคำ  
 
 
เขาคงได้เห็นเหตุการณ์นั้นด้วยตนเอง  
 
 
คนในดวงใจแตกสลายกลายเป็นส่วนๆไปต่อหน้า……ความรู้สึกเช่นนี้ตู๋กูซิงหลันเข้าใจดี  
 
 
ก็เหมือนกับตอนที่อาจารย์และจีเฉวียนสูญสลายไป  
 
 
ความเจ็บปวดถึงขั้วหัวใจเช่นนั้น…..  
 
 
นางอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือออกไป คว้ามือเย็นๆของพี่รองเอาไว้แนบแน่น  
 
 
“ต่อมา….ข้าก็นำชิ้นส่วนของนาง ลอยไปตามคลื่นในทะเลจนมาขึ้นฝั่งที่ดินแดนจิ่วโจว และหาหนทางฟื้นคืนนางกลับมา”  
 
 
“พอดีข้าได้ยินมาว่า ซิวหลัวเตี้ยนมีเวทย์ลับ….”  
 
 
“จากนั้น ข้าก็เข้าร่วมกับซิวหลัวเตี้ยน หลังผ่านเรื่องราวบางประการ ก็กลายเป็นเครื่องมือสังหารของพวกเขา”  
 
 
เครื่องมือสังหาร…..  
 
 
สี่คำนี้สำหรับตู๋กูซิงหลัน ช่างหนักหนาเกินไปแล้วจริงๆ  
 
 
นางนึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าคนที่อ่อนโยนนุ่มนวล กระทั่งกระต่ายก็ยังไม่กล้าฆ่า สุดท้ายกลับถูกบีบบังคับให้ฆ่าคน  
 
 
นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวโลหิตที่เข้มข้นจากร่างของเขา นี่มิใช่ว่าฆ่าคนไปหนึ่งหรือสองคนแล้วจะกลายเป็นเช่นนี้  
 
 
มันเหมือนกับคนที่แช่อยู่ในอ่างเลือดมาสามวันสามคืนอย่างไรอย่างนั้น กลิ่นเลือดเช่นนี้ เกรงว่าต้องมีคนตายไปนับร้อย  
 
 
เรื่องเล่านี้ตู๋กูเจวี๋ยกลับมิได้เอ่ยถึงเลยแม้แต่คำเดียว คนที่พูดมากเช่นเขากลับไม่ย่อมเอ่ยออกมาเป็นที่คาดคะเนได้ว่าต้องต้องน่าหวาดกลัวถึงเพียงไหน  
 
 
ตอนนี้ไม่ต้องให้ตู๋กูซิงหลันเอ่ยปาก ตู๋กูเจวี๋ยก็รู้แล้วว่านางคิดจะพูดอะไร  
 
 
ตามที่เขามองดูนาง สายตาก็เต็มไปด้วยความรักถนอม ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนไปอย่างไร ในใจของเขา น้องเล็กก็ยังคือองค์หญิงน้อยที่สมควรทนุถนอมเอาไว้บนฝ่ามืออยู่เสมอ  
 
 
เขาอายุมากกว่านาง สมควรเป็นฝ่ายปกป้องนางจึงจะถูก  
 
 
“ชั่วชีวิตนี้ของพี่รอง ไม่มีอะไรโดดเด่นในที่ใด กระทั้งคนที่ชอบ…. น้องเล็ก พี่รองรู้ว่าเจ้าเก่งกาจ แต่ว่าครั้งนี้ เจ้าอย่าได้สอดมือเข้ามา”  
 
 
ช่วงเวลาที่เขาอยู่ในซิวหลัวเตี้ยน ทำให้เขาได้รู้ว่าซิวหลัวเตี้ยนคือสถานที่ที่กลืนคนโดยไม่คายกระดูก  
 
 
น้องเล็กแม้จะแข็งแกร่ง แต่ว่านางก็มาที่จิ่วโจวเพียงลำพัง ที่เบื้องหลังของนางยังมีภาระสำคัญที่ต้องคอยปกป้อง เขาไม่มีเหุผลใดจะต้องให้นางมาเสี่ยงในเรื่องนี้ด้วย  
 
 
ยิ่งไปกว่านั้น…..เบื้องหลังของซิวหลัวเตี้ยน ยังมีความลับที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอยู่ และโยงใยกับขุมกำลังอีกมากมาย  
 
 
เขาจะยอมให้ น้องสาวสุดที่รักมารับบาดเจ็บไปด้วยได้อย่างไร?  
 
 
……………..   

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset