ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 581 เรียกร้องความสนใจจากนาง

ตู๋กูซิงหลัน “ ? ? ?”  
 
 
มียุง?  
 
 
ในเมืองว่านฮวาเฉิงถึงจะอบอุ่นอยู่ตลอดเวลาทั้งสี่ฤดู แต่ว่านับตั้งแต่ที่นางเข้ามาในเมืองจนถึงตอนนี้ แม้แต่ขายุงก็ยังไม่เคยเห็น แล้วจะมียุงมาจากที่ไหนได้กัน?  
 
 
เพราะเกรงว่านางจะไม่เชื่อ ท่านเจ้าสำนักถึงขนาดตบหน้าตัวเองอย่างเอาจริงไปฉาดหนึ่ง  
 
 
“เพียะ…” เสียงตบดังสดใส  
 
 
ฝ่ามือนั้นกำลังไม่เบา พอตบลงมา ใบหน้าของเขาถึงกับเป็นรอยห้านิ้ว  
 
 
ตู๋กูซิงหลัน “….” นางผิดไปแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่ควรไปคิดไปว่าเขาเป็นบุปผาสูงส่งที่เย็นชา ที่จริงแล้วเขาเป็นผีน้อยมากกว่า  
 
 
ไม่รู้ว่าเมื่อครู่แอบทำอะไรลับหลังนาง แถมยังเอาวิธีเด็กน้อยเช่นนี้มากลบเกลื่อนอีก  
 
 
ฟ่านอิงเหลือบตามองมาแวบหนึ่ง คนในราชวงศ์จีแต่ละคนเขาทำการสืบมาอย่างละเอียดชัดเจน จีเฉวียนเป็นคนเช่นไรเขาเองก็เข้าใจดี  
 
 
แน่นอนว่าไม่มีท่างทำนิสัยเด็กน้อยเช่นนี้ขึ้นมาเด็ดขาด  
 
 
เขาหัวเราะเสียงเย็นชาออกมาครั้งหนึ่ง  
 
 
บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองมักอึมครึมจนผู้คนต้องหวาดผวาอยู่เสมอ  
 
 
พี่รองเองก็แอบตามมาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล จิตใจของเขาไม่อาจจะสงบลงได้เลย เขารู้สึกสังหรณ์ใจ เหมือนกับว่ากำลังจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา  
 
 
เพราะปฏิบัติการยอมรับฟ่านอิงเป็นท่านตาของน้องเล็ก มันช่างอันตรายเกินไปแล้ว  
 
 
ก่อนหน้าเขายังไม่เคยรู้จักชื่อแซ่ของเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนมาก่อน ตอนนี้เมื่อได้รู้แล้ว เขาไหนเลยจะไม่รู้ว่าที่จริงแล้วฟ่านอิงคือผู้ใด  
 
 
อดีตโหราจารย์ของแคว้นกู่เย่ว คู่หมั้นของเจ้าหญิงเจียงเย่ว นักรบและบุรุษที่หล่อเหล่าที่สุดในแคว้นกู่เย่ว เขามีชื่อเสียงและเกียรติภูมิมากมาย แต่สุดท้ายกลับตายอนาถกว่าใครทั้งสิ้น  
 
 
คนที่ตายอย่างอนาถเช่นนั้น จะมาเชื่อใจน้องเล็กง่ายๆได้อย่างไร  
 
 
มิใช่ว่าตู๋กูเจวี๋ยไม่เชื่อในฝีมือการแสดงของน้องเล็ก แต่ว่าคนที่ผ่านประสบการณ์เช่นนั้นมาก่อน เกรงว่าคงจะไม่มีทางเชื่อใจผู้อื่นได้ง่ายๆอีกแล้ว  
 
 
เขาเกรงแต่ว่าฟ่านอิงจะมีแผนการอื่น  
 
 
เพราะว่า…..ในตำหนักซิวหลัวเตี้ยนมีแต่เรื่องที่น่าหวาดกลังทั้งสิ้น  
 
 
……………  
 
 
 
 
 
ในเมืองว่านฮวาเฉิง ยามกลางวันและกลางคืนนั้นเสมอกัน  
 
 
ทันทีที่พระอาทิตย์ตก ฟ้าก็มืดลงอย่างรวดเร็ว  
 
 
พอฟ้ามืด ทุกคนต่างก็พากันตื่นเต้นขึ้นมา  
 
 
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อยามกลางวันแม้ว่าจะสร้างความประหลาดใจให้มากเพียงไร แต่ก็ไม่อาจยับยั้งความน่าตื่นเต้นดีใจของทุกคนในตอนนี้ไปได้  
 
 
พอฟ้ามืดลงแล้ว ในเมืองว่านฮวาเฉิงจะมีการปล่อยโคมลอยขึ้นฟ้า นั่นเป็นภาพที่งดงามตรึงตาตรึงใจผู้คน  
 
 
อีกทั้งเป็นโอกาสให้พวกหนุ่มสาวได้สารภาพความในใจต่อกัน  
 
 
ฟ่านอิงเตรียมการเอาไว้อย่างเรียบร้อย ในเมื่อผู้อื่นมีโคมมาลอย หลานสาวของตนเองก็ต้องได้ลอยโคมด้วยเช่นกัน  
 
 
จะปล่อยโคมก็ปล่อยเถอะ แต่กลับลงทุนสร้างโคมจากทองคำแท้ขึ้นมา  
 
 
เมื่อคืนนี้เขามิได้พักผ่อน แต่ว่าไปกำชับกำชาเหล่าลูกน้องให้สร้างโคมลอยดวงนี้ขึ้นมา  
 
 
ตู๋กูซิงหลันมองดูโคมลอยที่วิจิตรงดงามตรงหน้า ในสมองก็พลันเกิดคำถามขึ้นมา  
 
 
ซาบซึ้งใจหรือไม่นั่นก็เรื่องหนึ่ง ที่สำคัญคือ ….. ของเล่นชิ้นนี้มันจะสามารถลอยขึ้นไปได้จริงๆน่ะหรือ?  
 
 
ต่อให้ลอยขึ้นไปได้ สุดท้ายแล้วก็ต้องตกลงมา  
 
 
ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าใครที่ไหนจะเป็นเจ้าโง่ผู้โชคดี เก็บโคมลอยทองคำดวงนี้ไปได้กัน?  
 
 
อยู่ๆตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา  
 
 
ท่านเจ้าสำนักยืนมองอยู่ข้างๆ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกขึ้นมาว่าตนเองคิดจะไรตื้นเขินจนเกินไป สู้คนแก่คนเฒ่าที่รู้จักเอาอกเอาใจสาวน้อยไม่ได้  
 
 
ของเช่นนี้ดูโบราณเกินไป ศิษย์น้อยจะต้องไม่ชมชอบอย่างแน่นอน  
 
 
ฟ่านอิง “หลันหลันชอบหรือไม่?”  
 
 
ตู๋กูซิงหลัน “หากว่ามัน….ไม่ลอยขึ้นฟ้าไป ข้าคงจะชอบมากกว่า”  
 
 
ฟ่านอิง “ทองคำของซิวหลัวเตี้ยนมีอยู่มากมาย หากยังไม่พอ ตีเอาแคว้นทองคำมาเสียก็ได้”  
 
 
เจ้าแคว้นทองกำลังปล่อยโคมอยู้ใกล้ๆพอดี พอได้ยินคำพูดเช่นนั้น ถึงกับต้องอ้าปากค้าง  
 
 
หา?  
 
 
ช่วยไว้หน้ากันบ้างจะได้หรือไม่ เขาที่เป็นเจ้าของแคว้นทองคำยังยืนอยู่ข้างๆ พวกท่านก็ปรึกษากันอย่างเปิดเผยว่าจะตีแคว้นทองอย่างไรตรงนี้เลย?  
 
 
ตู๋กูซิงหลัน “ท่านตา ข้าว่าความคิดนี้ดีไม่เลวเลยเจ้าค่ะ”  
 
 
ในเมื่อเจ้าแคว้นทองผู้นั้นเบื่อหน่ายที่ตนเองมีทองคำมากจนเกินไป แค่โบกมือเบาๆก็ส่งมอบทองคำให้ซ่งชิงอีไปเป็นตัวแทนเขา หากนางไปตีชิงเอามาก็คงจะไม่ถือว่าเกินไป  
 
 
เจ้าแคว้นทอง !  
 
 
เขารีบยื่นหน้าเข้าไปประจบประแจง “นั่นเอ่อ หากฮ่องเต้หญิงน้อยทรงโปรดละก็ พรุ่งนี้ข้าผู้เป็นอ๋องข้าจะให้คนนำกุญแจของเหมืองทองทางใต้มาทูลถวาย ….. พวกเราชาวแคว้นทองคำเคารพฮ่องเต้หญิงน้อยและซิวหลัวเตี้ยนอย่างที่สุด  
 
 
ว่าแล้ว เขาก็พลันเกิดความรู้สึกหนาวยะเยือกเข้าไปถึงข้างในกระดูก  
 
 
พอหันไปมองดูก็เห็นว่าเจ้าสำนักหยินหยางกำลังมองมาที่เขาอยู่  
 
 
แค่นั้นเจ้าแคว้นทองก็รู้สึกขึ้นมาว่าพื้นใต้ฝ่าเท้าหนาวยะเยือกขึ้นมาแล้ว  
 
 
จึงได้รีบเสริมขึ้นมาอีกประโยคหนึ่งว่า “แน่นอน พวกเราเองก็เคารพสำนักหยินหยางอย่างที่สุดด้วยเช่นกัน”  
 
 
ถึงแม้ว่าในใจของเขาอยากจะขยับเข้าไปใกล้ๆกับตู๋กูซิงหลัน แต่ว่าสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดเตือนให้เขารีบถอยห่างจากสนามรบแห่งนี้  
 
 
ท่านเจ้าสำนัก “ศิษย์น้อยชมชอบทองคำ ในเมื่อเจ้าให้ความเคารพอย่างหนักแน่น ก็เพิ่มมาอีกห้าเหมืองก็แล้วกัน”  
 
 
เจ้าแคว้นทองคำ “…..”  
 
 
แคว้นทองคำของพวกเขานั้นร่ำรวยก็จริง แต่สิงโตที่อ้าปากทีก็กลืนลงไปคำโตเช่นนี้เกินไปหน่อยแล้วมั้ง!  
 
 
ก่อนหน้านี้เขาเพียงแต่ล่วงเกินนางไปแค่เล็กน้อยเท่านั้นมิใช่หรือ จำเป็นต้องเอาคืนถึงเพียงนี้?  
 
 
แม้ว่าในใจของเขาจะก่นด่าบรรพชนของอีกฝ่ายไม่มีหยุด แต่ว่าต่อหน้าก็ยังไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาสักคำ  
 
 
บนใบหน้าของเขามีแต่เหงื่อเม็ดโตๆ แต่เมื่ออยู่ภายใต้สายตาดุจคมดาบของท่านเจ้าสำนัก เขาก็ได้แต่พยักหน้าติดๆกัน “สมควรๆ ส่งไปๆ”  
 
 
นี่มันสมควรแล้วที่ตรงไหนกัน!  
 
 
เจ้าแคว้นทองได้แต่ร่ำไห้อย่างไร้น้ำตา คิดๆดูแล้วต่อไปคงต้องออกมาเคลื่อนไหวให้น้อยกว่านี้เสียแล้ว หากออกจากบ้านแต่ละครั้งต้องถูกขูดรีดเช่นนี้ จะทนทานต่อไปได้อย่างไร  
 
 
…………..  
 
 
โคมลอยพลิ้วขึ้นไปทั่วทั้งท้องฟ้า กลีบดอกไม้สีแดงก็ร่วงลงมาไม่ขาดสาย กลายเป็นบรรยากาศยามค่ำคืนที่งดงามราวกับภาพฝัน  
 
 
ยามนี้ นับว่าเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขและงดงามที่สุดนับตั้งแต่ที่ตู๋กูซิงหลันมาถึงดินแดนจิ่วโจว  
 
 
ในมือของนางยังคงอุ้มกระถางบุปผาวิญญาณของจิ่วโจวเอาไว้ ในขณะที่นางไม่ทันได้สังเกต บุปผาวิญญาณก็ผลิบานออกมา  
 
 
บนกลีบดอกไม้ มีแสงเรืองรองนุ่มนวล ส่องประกายพลางไหลเข้าไปในถุงเฉียนคุณที่ห้อยบนปลายนิ้วของนางอย่างเงียบๆ  
 
 
ภายในถุงเฉียนคุณ กระถางดอกไม้ที่มีศิลาโลหิตฝังอยู่ เดิมทีที่เงียบสงบมาโดยตลอดพลันเกิดความเคลื่อนไหวขึ้นมา  
 
 
ที่ข้างกายของตู๋กูซิงหลัน ท่านเจ้าตำหนักที่ยืนมองอยู่อย่างเงียบๆมาโดยตลอดพลันเจ็บหัวใจขึ้นมาอย่างกระทันหัน  
 
 
ชั่วพริบตานั้น ในสมองของเขาเกิดภาพต่างๆขึ้นมามากมาย  
 
 
ราวกับว่ามีเข็มนับพันนับหมื่นมาระดมแทงเข้าไปในหัวของเขา  
 
 
เพียงแค่พริบตาเดียว สีหน้าของเขาก็พลันซีดขาว ภายใต้แสงไฟจากโคมลอยทั่วท้องฟ้า เขาดูอ่อนแออย่างยิ่ง  
 
 
ทั่วทั้งร่างเหมือนเป็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่พร้อมจะสูญสลายไปได้ทุกเมื่อ  
 
 
…………  
 
 
หลังความสนุกคึกครื้น เมื่อสายลมพัดพาอากาศที่สะอาดบริสุทธิ์ลอยมา ฟ่านอิงก็นำพวกเขากลับไปยังเกาะลอยฟ้าของซิวหลัวเตี้ยน  
 
 
ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะเคลิ้มหลับไป ประตูห้องก็ถูกเปิดขึ้นมา  
 
 
ใบหน้าของเจ้าตำหนักซีดขาว เข้ามายืนจ้องมองดูนางอยู่ตรงข้างหัวเตียง  
 
 
ที่ข้างหัวเตียงของตู๋กูซิงหลันยังวางกระถางบุปผาวิญญาณดอกนั้นเอาไว้ ดอกไม้มิได้ดูสดชื่นเหมือนเมื่อตอนกลางวัน หากแต่เ**่ยวเฉาราวกับถูกสูบพลังวิญญาณออกไปอย่างไรอย่างนั้น  
 
 
ตู๋กูซิงหลันไม่เคยหลับลึกมาก่อน พอถูกเขาบุกเข้ามาอย่างกระทันหันเช่นนี้ ก็สะดุ้งขึ้นจากเตียงในทันที  
 
 
พอสบตาเข้ากับดวงตาหงส์คู่นนั้น แม้ว่าอยู่ใต้แสงเทียน แต่ก็ยังเห็นว่าดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดง  
 
 
“ศิษย์เอ๋ย”  
 
 
เขายืนตัวตรงดุจพู่กัน สายตาจับจ้องไปที่นาง  
 
 
ตู๋กูซิงหลัน “หือ? มีอะไรหรือ?”  
 
 
ทำไมสีหน้าของเขาดูผิดปกติเช่นนั้น….  
 
 
“อาจารย์กลับมาแล้ว”  
 
 
ตู๋กูซิงหลัน “เจ้าก็อยู่ที่นี่อยู่ตลอดไม่ใช่หรือ?”  
 
 
ทันใดนั้น นางก็นึกอะไรขึ้นมาได้ แผ่นหลังตั้งตรงขึ้นมาเช่นกัน  
 
 
………………..  

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset