ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 623 ดวงดาวที่ถูกพันธนาการ

แม้จะบอกว่าเป็นการซึมซับ แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังรู้สึกเหมือนกับว่า ไอทิพย์จากดวงดาวเหล่านั้น ถูกวังและตำหนักของแดนสวรรค์สูบพลังออกมา  
 
 
นางปิดประตูลง เปิดหน้าต่างเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ในห้องมีเพียงเตียงหลังหนึ่งและของใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน  
 
 
โดยพื้นฐานแล้วพวกเทพบนสวรรค์ล้วนอิ่มทิพย์ ไม่จำเป็นจะต้องกินอาหาร และไม่ต้องการการพักผ่อน  
 
 
สิ่งที่พวกเขาต้องการ ก็คือไอทิพย์หรือพลังวิญญาณนั่นเอง  
 
 
ดูดซับไอทิพย์เหล่านั้นเข้าไปในร่างกายอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อเพิ่มพูนพลังวิญญาณของตนเอง ยิ่งต้องการไอทิพย์จำนวนมหาศาลเพื่อสร้างความเสถียรให้กับการคงอยู่ของแดนสวรรค์  
 
 
และเพราะมีพลังเช่นนี้ พวกเขาจึงสามารถรักษาสถานะของผู้ปกครองทั้งหกภพภูมิไปได้ตลอดกาล  
 
 
ส่วนดวงดาวที่ถูกพันธนการเอาไว้เหล่านั้น ผิวนอกของมันล้วนแตกราวออกมา ราวกับร่างที่ถูกโซ่ตรวนรัดและบีบเค้นเอาไว้อยู่ตลอด จนต้องจำต้องยอมส่งมอบไอทิพย์ออกมา  
 
 
ในบรรดาดวงดาวเหล่านั้น มีอยู่ดวงหนึ่งที่มีสีน้ำเงินดูคล้ายกับดาวโลกอย่างยิ่ง  
 
 
ตู๋กูซิงหลันมองดูโซ่พลังวิญญาณที่ร้อยรัดดาวเหล่านั้น สำหรับพวกมันแล้ว ก็มิได้ต่างอะไรกับโซ่เหล็กเลยแม้แต่น้อย  
 
 
อยู่ๆในสมองของตู๋กูซิงหลันก็คิดไปถึงคำพูดของเสือดำขึ้นมา  
 
 
ในยุคของพี่สาวต๋าจี่ เผ่ามนุษย์ก็ต้องถวายบรรณาการแด่เผ่าเทพอยู่เสมอ  
 
 
ภาพที่เห็นในตอนนี้ ก็ทำให้นางรู้สึกว่า ดวงดาวเหล่านั้นก็กำลังถูกบังคับให้ส่งมอบสิ่งที่มีออกมาเช่นกัน  
 
 
พลังพิภพและฟ้าดินของดวงดาว ก็คือของขวัญและสิ่งล้ำค่าที่สุดของทุกชีวิต ไม่มีแบ่งแยกเผ่าพันธุ์ ไม่แบ่งแยกชนชั้นต่ำสูง  
 
 
สิ่งมีชีวิตทุกอย่างล้วนดำรงอยู่ได้ด้วยพลังชีวิต  
 
 
หากว่าพิภพที่ใด หรือดาวดาวใดพลังชีวิตสูญสิ้น ผลลัพธ์ที่ต้องเผชิญก็คือความล่มสลาย  
 
 
วิธีการของแดนสวรรค์ ไม่ต้องคาดเดาก็รู้เลยว่ากำลังผลักดาวเหล่านี้ไปสู่ความล่มสลาย  
 
 
เมื่อดาวดวงหนึ่งแตกดับ สิ่งมีชีวิตมากมายก็ต้องสูญสิ้นไปด้วย  
 
 
เทพที่สูงส่งอยู่เบื้องบน กลับเอาแต่มองดูผู้อื่นเป็นมดปลวกเบื้องล่างอย่างปราศจากน้ำใจใดๆทั้งสิ้นอยู่เสมอ  
 
 
แล้วยังจะคงเรียกขานว่าเป็นเทพอีกได้อย่างไร  
 
 
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่านี้ช่างเป็นเรื่องน่าขบขันและน่าอนาถใจไปพร้อมๆกัน  
 
 
แต่ว่านางในตอนนี้ ก็ไม่มีกำลังจะไปทัดทานเช่นกัน  
 
 
ในเมื่อนอนไม่หลับตลอดคืน  
 
 
นางก็ได้แต่นั่งสมาธิอยู่บนเตียง  
 
 
พอถึงวันใหม่ฟ้าสว่าง ก็มีคนมาเคาะประตูห้องของนาง  
 
 
เป็นนักรบสวรรค์ที่คอยรับตัวนางที่หน้าบันไดคู่นั้น  
 
 
คนหนึ่งสูงผอมเรียกว่า หยูเซิน อีกคนที่ดูแข็งแกร่งกว่าหน่อยเรียกว่า สือจี่  
 
 
เมื่อทั้งสองได้เจอนาง สีหน้าก็มิได้มีความยินดี  
 
 
หยูเซินพอยกมือขึ้นมาก็โยนกุญแจดอกหนึ่งให้นาง “วันนี้เป็นเวรของเจ้าไปป้อนอาหารให้เจ้านกยักษ์”  
 
 
กุญแจดอกนั้นมีขนาดใหญ่ประมาณฝ่ามือของผู้หนึ่ง หนักพอสมควรเลยทีเดียว  
 
 
เจ้านกยักษ์……  
 
 
ตู๋กูซิงหลันทบทวนความทรงจำอยู่ชั่วขณะ ก็นึกได้ว่ามันคือเจ้าตัวที่ใช้กรงเล็บแทงละทุอกของท่านอาจารย์ไปนั่นเอง  
 
 
“ข้าพึ่งจะกลับขึ้นมา แถมยังสูญเสียมือไปข้างหนึ่ง นกยักษ์ตัวนั้นดุร้ายโหดเ**้ยม ข้าจะป้อนอาหารมันได้อย่างไร?”  
 
 
นางถือกุญแจเอาไว้ ด้วยท่าทางที่เหมือนคนจนปัญญาผู้หนึ่ง  
 
 
หยูเซินยิ้มออกมาในทันที  
 
 
“เจ้ารู้หรือไม่ว่านักรบสวรรค์มีฐานะสูงส่งเพียงไร นักรบสวรรค์ตั้งมากตั้งมายเดินทางลงไปพร้อมๆกับเจ้า แต่ว่าลูกหลานของพวกกบฏต่ำทรามอย่างเจ้ากลับยังรอดกลับมาเพียงผู้เดียว ให้เจ้าไปป้อนอาหารนกยักษ์ยังจะถือว่าลำบากเจ้าอีกหรือ?”  
 
 
“ใช่แล้ว เหล่าพี่น้องของพวกเรากลับต้องสละชีพไป!” สือจี่ยิ้มเย็นชาออกมา  
 
 
“อย่าได้คิดว่ามีนายท่านคุ้มครอง เจ้าก็จะสามารถอยู่ในแดนสวรรค์ได้อย่างสุขสบาย ดูให้ดี บนแดนสวรรค์แห่งนี้ มีผู้ใดมิใช่ผู้ยอดเยี่ยมกัน เป็นแค่สวะจากโลกเบื้องล่างแท้ๆ จะมาเสแสร้งทำสูงส่งอันใด!”  
 
 
สือจี่พูดพลาง ก็ผลักใส่ตู๋กูซิงหลันครั้งหนึ่ง  
 
 
ตู๋กูซิงหลันมิได้หลบหลีก นางเพียงแต่รับเอาไว้ถ่ายเดียว  
 
 
ฝ่ามือนี้มีพละกำลังมิใช่น้อย กระแทรกใส่ทรวงอกจนอึดอัดไปหมด  
 
 
นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่นางเผชิญหน้ากับนักรบสวรรค์ ในระยะประชิด พอทนรับฝ่ามือนี้ไปก็สามารถประเมินพลังของนักรบสวรรค์ได้  
 
 
แม้มิได้ใช้พลังอย่างเต็มที่ แต่ว่าพลังนี้ก็ไม่ถือว่าอ่อนแอ  
 
 
ในเมื่อได้รับไอทิพย์จากดวงดาวต่างๆอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วจะอ่อนแอได้อย่างไร?  
 
 
‘ร่างกาย’ ของนางโอนเอนไปมาอยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยกลับมายืนได้อย่างมั่นคง  
 
 
แววตาเผยความ ‘ไม่ยอมสยบ’ แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง  
 
 
ดูท่าแล้ว วันเวลาในแดนสวรรค์ของ เจ้าพ่อพันธุ์ม้าคงมิได้สุขสบายสักเท่าไร คำพูดเมื่อครู่ทำให้นางจับประเด็นสำคัญได้ขึ้นมา  
 
 
‘ลูกหลานของพวกกบฏต่ำทราม’  
 
 
ข่าวสารนี้วิเคาระห์ได้ถึงสามส่วน  
 
 
ประการแรก: ซือเป่ยมิได้ปิดบังฐานะของเยี่ยเฉิน  
 
 
ประการที่สอง: ซือเป่ยมีอำนาจมากพอที่จะคุ้มครอง ‘ลูกหลานกบฏ’ เช่นเขา แสดงว่าฐานะของซือเป่ยในแดนสวรรค์จะต้องแข็งแกร่งกว่าที่นางคิดเอาไว้มาก  
 
 
ประการที่สาม: กบฏพวกนั้น คือบิดาคนงาม หรือว่าหวาชางสุ่ย?  
 
 
ก่อนหน้านี้บิดาคนงามก็เคยเล่าเรื่องของหวาชางสุยเอาไว้บ้าง ตระกูลของหวงชางสุยคือเผ่าเทพของแดนสวรรค์ ต่อมากระทำความผิด ทั้งตระกูลจึงถูกล้มล้าง นางที่เป็นลูกหลานของนักโทษจึงถูกส่งมาแต่งงานกับบิดาคนงาม  
 
 
ส่วนบิดาคนงามนั้น แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยได้รับความชื่นชมจากพวกเผ่าเทพบนสรวงสรววค์อยู่แล้ว มิเช่นนั้นจะถูกบีบบังคับอย่างหนักหน่วงให้ต้องกักบริเวณอยู่แต่ในก้นทะเลลึกหรอกหรือ?  
 
 
“ที่นี่คือแดนสวรรค์ ทำอะไรก็รู้จักเจียมตนสักหน่อย จะได้ใช้ชีวิตดีๆกับเขาได้บ้าง ไอ้ลูกผสม สั่งให้เจ้าทำงานอะไร เจ้าก็ต้องรู้จักวิ่งให้คล่องหน่อย” หยูเซินสองมือกอดอกไว้ แววตามีแต่ความดูถูกเหยียดหยาม  
 
 
ตู๋กูซิงหลันกำกุญแจดอกนั้นเอาไว้แน่น กัดฟันกรอด ด้วนท่าทางเสมือนว่า ‘ข้ายังทนได้ ต่อให้ข้าต้องถูกเหยียดหยามสักเท่าไหร่ก็ยังคงทนได้’  
 
 
สองคนนั้นคร้านที่จะพูดกับนางให้มากความ  
 
 
“อ้อ มันต้องกินปลามังกรที่สดใหม่ เจ้าต้องไปจับที่สายธารดวงดาว อย่าให้น้อยกว่าร้อยตัวเล่า”  
 
 
“นกยักษ์ต้องได้กินอาหารตรงเวลาทุกๆวัน หากว่าไปสาย เจ้าก็จงเป็นอาหารของมันเสียเถอะ!”  
 
 
ทั้งสองยกยิ้มมุมปาก เผยรอยยิ้มไม่แยแสออกมา   
 
 
จากนั้นก็หัวเราะอย่างเย็นชาพลางเดินจากไป ทอดทิ้งตู๋กูซิงหลันเอาไว้ที่เดิม  
 
 
นางกำลังหาข้ออ้างในการออกไปสำรวจให้ทั่วไม่ได้อยู่พอดี มิใช่หรือ?  
 
 
หากนางวิ่งไปทั่วแดนสวรรค์แล้วถูกจับได้ขึ้นมามีหวังแก้ตัวไม่ออก เมื่อมีภาระหน้าที่ ‘ป้อนอาหารเจ้านกยักษ์ ’ ย่อมสะดวกต่อการเคลื่อนไหวแล้ว  
 
 
สายธารดวงดาว  
 
 
ในความทรงจำของเยี่ยเฉิน สายธารดวงดาว อยู่ที่ฝากตะวันตก  
 
 
แดนสวรรค์มีแม่น้ำสวรรค์เพียงสายเดียว ไหลจากฝั่งตะวันออกไปยังฝั่งตะวันตก  
 
 
เมื่อเป็นเช่นนี้ นางย่อมสามารถท่องไปทั่วแดนสวรรค์รอบหนึ่ง  
 
 
ตู๋กูซิงหลันกำกุญแจในเมื่อเอาไว้แน่น สวมหมวกเกราะของนักรบสวรรค์ลงไป หยิบหอกที่วางอยู่ในห้องของเยี่ยเฉินออกมาเล่มหนึ่งก็ทะยานออกไปในทันที  
 
 
ยามที่ผ่านไปทางตำหนักของซือมิ่งนางยังหยุดดูอยู่ครู่หนึ่ง  
 
 
เมื่อคืนนี้ นางใช้ยันต์โลหิตไปชิ้นหนึ่ง เป็นยันต์ติดตาม  
 
 
บนนั้นยังมีเส้นผมของต้าซือมิ่งเส้นหนึ่งอยู่ด้วย ยังดีที่ก่อนหน้านี้นางไม่ได้ทิ้งมันไป แต่เก็บ  
 
 
สิ่งนั้นเอาไว้ในถุงเฉียนคุน  
 
 
บนแดนสวรรค์ แม้แต่การจะใช้ยันต์นางก็ยังระมัดระวัง ดังนั้นพอลงมือก็เลือกใช้ยันต์โลหิตแต่แรก  
 
 
หากว่าดวงวิญญาณของต้าซือมิ่งอยู่ในตำหนักของตนเอง ยันต์ติดตามย่อมกลับมาแจ้งแล้ว  
 
 
หลังหยุดดูอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ออกเดินทางอีกครั้ง  
 
 
ตำหนักต่างๆในแดนสวรรค์ล้วนมีเอกลักษณ์ ขนาดใหญ่เล็กแตกต่างกัน ระหว่างตำหนักต่างๆมีระยะห่างระหว่างกันประมาณหลายพันเมตร  
 
 
แต่เพราะทุกคนต่างใช้วิธีเหาะเหินอยู่ตลอดเวลา ระยะห่างหลายพันเมตรนี้จึงไม่นับว่าไกล  
 
 
ตำหนักของซือมิ่งค่อนไปทางตะวันตก เป็นตำหนักเล็กสามแห่งเชื่อมเข้าหากัน แยกได้เป็น ตำหนักเฉี่ยนหยุนกง ตำหนักผีซากง และตำหนักซานชิงกง  
 
 
ชื่อของตำหนักเล่านี้ฟังดูแล้วช่างคุ้นเคยอยู่บ้าง ตู๋กูซิงหลันลองทบทวนดูอยู่ครู่หนึ่ง  
 
 
ดูเมื่อว่าในตำนานเทพยาดาของโลกปัจจุบันมีบันทึกอยู่  
 
 
นอกจากสามตำหนักเล็กแล้ว ก็ยังมีตำหนักกลางหลังใหญ่อีกแห่งหนึ่ง  
 
 
ตำหนักโตวซ่วยกง  
 
 
ตู๋กูซิงหลัน “หืม?”  
 
 
ตำหนักโตวซ่วยกงที่มีชื่อในการหลอมยาตันนะหรือ?  
 
 
นางเหลือบมองดูด้วยความประหลาดใจอีกหลายครั้ง  
 
 
ขณะที่กวาดตามองไป พอดีได้เห็นเทพธิดาในชุดสีขาวผู้หนึ่งกำลังเดินออกมา  
 
 
เส้นผมทั้งหมดถูกหวีสางจนเรียบกริบ ไม่มีหลุดลุ่ย เหนือศีรษะมีรัศมีสีขาวกระจายออกมา ชุดของนางพริ้วไปในสายลม ดูแล้วน่ามองอย่างยิ่ง  
 
 
……………………  

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset