ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 117 ฝ่าบาทคือจิ้งจอกที่ไร้หัวใจ!

แค่พิศดูใบหน้านี้ของนาง ก็สรุปกันไปเสียแล้วว่านางมิได้มีความเฉลียวฉลาดสักเท่าใดนัก เพียงแต่สามารถสร้างความประทับใจแก่เหล่าบุรุษได้โดยง่ายก็เท่านั้น 
 
 
นางคิดจะกล่าวอันใด แต่กลับเห็นว่าจีเฉวียนละความสนใจไปเสียแล้ว 
 
 
“นักพรตอู๋เจิน คงต้องรบกวนเจ้าไปเฝ้านางในคุกหลวงด้วยตนเอง” 
 
 
อู๋เจินที่อยู่ดีๆ ก็ถูกเรียกชื่อขึ้นมา ชะงักไปเล็กน้อย เขาเหลือบตามองดูสายตาของไทเฮาแวบหนึ่ง ถึงได้พยักหน้ารับ สองมือประนมเข้าหากันตอบว่า “โอ้เง็กเซียนบนสวรรค์ การปราบปีศาจกำราบมารร้ายนั้นเป็นหน้าที่ของข้านักพรต ฝ่าบาททรงเกรงใจไปแล้ว” 
 
 
” นำตัวนางไป ” จีเฉวียนรับสั่งอีกครั้งในทันที 
 
 
เหล่าองครักษ์ที่ติดตามเขามา รีบเข้าไปควบคุมตัวเสียนไท่เฟยเอาไว้ อู๋เจินกับเหล่าลูกศิษย์อ่อนเยาว์และหนุ่มแน่นปานจะคั้นน้ำออกมาได้พากันรายล้อมเสียนไท่เฟยเอาไว้เป็นวงล้อมชั้นหนึ่ง ก็ขยับมารวมตัวกันไว้ ดูไปยิ่งใหญ่น่าเกรงขามอย่างยิ่ง 
 
 
อู๋เจินย่อมไม่หวาดวิตกอยู่แล้ว ในจดหมายที่ไทเฮาน้อยมอบให้เขานั้น มียันต์อยู่สามชุด แผ่นหนึ่งเป็นยันต์สะกดร่าง แผ่นหนึ่งสะกดวิญญาณ อีกแผ่นเป็นยันต์คุ้มครอง ทั้งหมดล้วนเป็นยันต์ชั้นยอด เมื่อมียันต์สามแผ่นนี้ เขาย่อมสามารถควบคุมเสียนไท่เฟยได้โดยไม่ยาก 
 
 
ตอนนี้เขายิ่งทียิ่งนับถือไทเฮาน้อยแล้ว ทุกเรื่องราวทุกสิ่งล้วนอยู่ในความคาดหมายของนาง แม้แต่ยันต์ที่จะใช้ในการสะกดยามกักขังเสียนไท่เฟยก็ยังถูกเตรียมเอาไว้อย่างดี ไม่แน่ว่า ไทเฮาน้อยอาจจะเป็นศาสดาพยากรณ์? หรือไม่ก็นางอาจมีพลังหยั่งรู้ล่วงหน้า?  
 
 
คิดๆ แล้วเขาก็ได้แต่แอบหันไปมองดูอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับไม่ได้สบตากับไทเฮาน้อยแต่ดันไปสบตากับฝ่าบาทเข้า 
 
 
โอ้ สวรรค์ ช่างน่ากลัวนัก ราวกับว่าเขาเผอิญไปแตะต้องสิ่งที่ไม่สมควรแตะเข้าให้ ฮ่องเต้ที่เมื่อครู่ยังมีทีท่าเกรงอกเกรงใจเขาอยู่นั้น ยามนี้สายพระเนตรประหนึ่งจะฆ่าคนได้ 
 
 
อู๋เจินรีบหลุบตากลับมา หันหน้ากลับไป พลางรู้สึกขึ้นมาว่าความคิดที่จะ ‘อัญเชิญไทเฮาผู้สักดิ์สิทธ์ิไปเคารพบูชาประหนึ่งพระโพธิสัตว์ในอารามนั้น’ ดูจะเจออุปสรรคสำคัญเสียแล้ว 
 
 
เมื่อห่างไกลออกไป เสียนไท่เฟยถึงได้หยุกชะงักฝีเท้าลง นางกวาดตากลับมามองไปยังจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลัน ประกายตานั้นทอแววเคียดแค้นอย่างชัดเจน 
 
 
ทันทีที่นางจากไปลมหมุนที่พัดกระหน่ำก็หยุดลง แม้แต่เสียงร่ำร้องโหยหวนของวิญญาณที่เคียดแค้นก็พลอยเงียบไปด้วย ท้องฟ้ากลับมาใสกระจ่าง แสงแดดส่องกระทบหิมะบนพื้นเป็นประกายงดงามอีกครั้ง จิตใจของผู้คนทั้งหลายในที่นั้นก็พลอยผ่อนคลายลงไปด้วย 
 
 
เนื่องด้วยร่างกายของฝ่าบาทเกิดความไม่สบายบางประการ ไม่สะดวกต่อการเดินเหิน จึงมีรับสั่งให้จัดพิธีแต่งตั้งท่านหญิงน้อยเสียในจวนของตระกูลตู๋กูนั่นเอง พระราชทานพื้นที่ศักดินาเป็นเมืองตันหยาง และราชทินนามในชื่อเดียวกัน เรียกว่าท่านหญิงตันหยาง 
 
 
เหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางทั้งหลายต่างพากันประหลาดใจขึ้นมา 
 
 
เนื่องด้วยการพระราชทานดินแดน และพื้นที่ศักดินานั้นเป็นคนละเรื่องเดียวกัน อย่างแรกนั้นผู้ครอบครองมีอำนาจเหนือดินแดนของตน เสมือนดั่งเป็นฮ่องเต้น้อย อย่างหลังนั้นเพียงสามารถเก็บเกี่ยวภาษีในท้องที่ ไม่มีอำนาจบริหารจัดการใดๆ ภาษีที่เก็บเกี่ยวได้ยังต้องส่งเข้ามาถวายฝ่าบาทตามจำนวนที่กำหนดไว้อย่างแน่นอนอีกด้วย 
 
 
เรื่องการพระราชทานพื้นที่ศักดินานั้นเป็นฝ่าบาททรงรับสั่งขึ้นมาเองตั้งแต่เมื่อพักก่อน ทันทีที่รับสั่งก็ถูกเหล่าเชื้อพระวงค์และขุนนางใหญ่ทั้งหลายแสดงความคิดเห็นต่อต้าน 
 
 
ฝ่าบาทก็มิได้ร้อนพระทัย และมิได้แตะต้องดินแดนที่เคยมีการพระราชทานไปแล้ว 
 
 
ที่แท้…..พระองค์คิดจะใช้โอกาสที่แต่งตั้งท่านหญิงน้อยนี้ ริเริ่มการพระราชทานแต่เพียงพื้นที่ศักดินานั่นเอง 
 
 
ตู๋กูซิงหลันมองดูจีเฉวียนอย่างพิจารณา ก่อนหน้านี้นางยังดูไม่ออก ว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่จะหน้าหนาได้ถึงเพียงนี้ ช่างเหมาะเจาะจะเป็นฮ่องเต้เสียจริงๆ แม้แต่หลานสาวสายนอกของตนเองยังเอามาเป็นเครื่องมือปูทางสร้างอำนาจสายใหม่ได้ 
 
 
คนผู้นี้หากเอามาผ่าดูข้างในคงดำสนิท!  
 
 
แต่ขณะเดียวกันนางก็อดที่จะชื่นชมจีเฉวียนในข้อนี้ไม่ได้ ในประวัติศาสตร์ของโลกมิติปัจจุบัน การเปลี่ยนถ่ายจากพระราชทานดินแดนมาเป็นพื้นที่ศักดินานั้น จำเป็นต้องผ่านหลายยุคหลายสมัยจึงจะกระทำได้สำเร็จ เขาที่เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่กลับใช้ออกด้วยวิธีเช่นนี้ กลายเป็นข้ออ้างสำหรับการเปิดทางให้กับตนเอง นับว่ารู้จักวางแผนอย่างแยบยลนัก 
 
 
คราวนี้เหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางใหญ่ทั้งหลายต่างก็อดที่จะหันไปมองดูองค์หญิงใหญ่ไม่ได้ หากว่าองค์หญิงใหญ่มีความกล้าขึ้นมามากพอ แสดงความไม่พอพระทัยการพระราชทานพื้นที่ศักดินานี้ละก็ การเปลี่ยนแปลงใหม่ที่ฝ่าบาทมีพระประสงค์ก็คงจะเริ่มไม่ออกแล้ว 
 
 
แต่ว่าองค์หญิงใหญ่กลับไม่มีท่าทีไม่พอพระทัยแม้แต่น้อย นางดึงตัวซุ่นเอ๋อร์ถวายคำนับอย่างเต็มพิธีการให้จีเฉวียน “จีฉุนขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงพระเมตตาแทนท่านหญิงตันหยาง! “ 
 
 
ซุ่นเอ๋อร์ก็รีบโขกศีรษะเช่นกัน “ซุ่นเอ๋อร์ขอบพระทัยท่านน้าฮ่องเต้! “ 
 
 
สำหรับองค์หญิงใหญ่แล้ว เมื่อได้รับประสบการณ์ทั้งดีและร้ายในวันนี้ สิ่งของนอกกายเหล่านั้น นางไม่คิดติดใจอันใดอีก เพียงแค่ซุ่นเอ๋อร์แคล้วคลาด มีชีวิตอย่างปลอดภัยก็พอแล้ว 
 
 
ยิ่งไปกว่านั้น…..นับตั้งแต่วันที่จีเฉวียนขึ้นครองราชย์ นางก็ตระหนักดีแล้วว่า ฮ่องเต้ที่ยากจะคาดเดาพระทัยผู้นี้ จะต้องสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ให้กับต้าโจวเป็นแน่ 
 
 
นางไม่มีความจำเป็นใดจะต้องไปงัดข้อกับเขา ทั้งยังไม่มีกำลังจะทำด้วย เช่นนั้นไยไม่ว่าตามเขาไป ไม่แน่ว่ายังจะได้อยู่อย่างสงบและปลอดภัยมากกว่า 
 
 
กระทั่งองค์หญิงใหญ่ยังยอมรับแล้ว ผู้อื่นไหนเลยจะมีคำพูดใดๆ ได้อีก?  
 
 
หากไม่ใช่ว่าเสียนไท่เฟยนั้นเป็นปีศาจจริงๆ พวกเขาคงจะต้องคิดว่าเหตุการณ์ทั้งหลายในวันนี้เป็นแผนการที่ฝ่าบาททรงวางไว้แต่แรกแล้ว 
 
 
จัดการองค์หญิงใหญ่ล้มเลิกความสนใจจะที่ครอบครองเขตแดน พอใจเพียงแค่ได้ดูแลธิดาตนเองให้ปลอดภัยโดยไม่มุ่งหวังใดอื่น 
 
 
ผลลัพธ์เช่นนี้………..คล้ายว่าจะเป็นไปตามพระประสงค์ของฝ่าบาทจริงๆ  
 
 
ฝ่าบาท ทรงเป็นจิ้งจอกที่ไร้หัวใจนัก 
 
 
 
 
 
………………… 
 
 
 
 
 
เมื่อเสร็จพิธีการแต่งตั้งแล้ว องค์หญิงใหญ่ก็เสด็จมาขวางอยู่เบื้องหน้าของตู๋กูซิงหลัน นางดึงดาบประจำตัวออกมาอีกครั้ง 
 
 
เหล่าเชื้อพระวงค์และขุนนางใหญ่ทั้งหลายยังไม่ทันได้จากไป ต่างก็มองไปยังองค์หญิงใหญ่อย่างเลิ่กลั่ก เสียนไท่เฟยคือนางปีศาจตัวจริง หรือว่าองค์หญิงใหญ่ยังทรงมีความสงสัยใดในตัวตู๋กูซิงหลันอีก จึงได้คิดหาเรื่องนางอีกครั้ง?  
 
 
คิดๆ ดูก็อาจจะใช่อยู่…….คำพูดที่ก่อนหน้านี้เสียนไท่เฟยได้พูดเอาไว้แล้ว ได้กลายเป็นเมล็ดพันธุ์ที่บ่มเพาะความสงสัยในใจของพวกเขา 
 
 
ผู้ที่ศพมีชีวิตเลี้ยงดูมาจนเติบโต ยังจะนับว่าเป็นมนุษย์ที่ปกติดีๆ ได้อีกหรือ?  
 
 
ตู๋กูซิงหลันมองดูองค์หญิงใหญ่ เห็นสองปรางของนางปรากฎสีแดงซ่านขึ้นมา ดวงเนตรเรียวรูปใบไม้จดจ้องมายังนางอยู่นานเสียจนตู๋กูซิงหลันคิดไปว่าบนศีรษะของนางมีดอกไม้งอกเงยขึ้นมาแล้ว 
 
 
ตู๋กูจุนที่ยืนอยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะเขยิบเข้ามาใกล้น้องสาวอีกหลายส่วน เขารู้ว่าตนเองเป็นสาเหตุที่ทำให้องค์หญิงใหญ่ไม่ชอบหน้าน้องเล็ก เขาจึงเกรงว่าองค์หญิงใหญ่จะทำร้ายนาง 
 
 
นานอีกพักใหญ่องค์หญิงใหญ่จึงยกดาบขึ้นมา 
 
 
แต่คราวนี้กลับหันสันดาบให้กับตู๋กูซิงหลัน 
 
 
ตู๋กูซิงหลันรับดาบไปด้วยสีหน้างงงัน จากนั้นพลันเห็นองค์หญิงใหญ่สะบัดชายกระโปรงขึ้นมา คุกเข่าลงต่อหน้าผู้คนทั้งหลาย โขกศีรษะเสียงดังให้กับนางครั้งหนึ่ง 
 
 
” คำนับนี้ ขอบพระทัยไทเฮาที่ทรงช่วยชีวิตซุ่นเอ๋อร์เอาไว้! “ 
 
 
กล่าวแล้ว นางก็โขกศีรษะหนักๆ อีกครั้ง 
 
 
” คำนับที่สอง คือจีฉุนติดค้างพระเมตตาของไทเฮา พระคุณนี้จะจดจำใส่ใจ วันหน้าต้องตอบแทน! “ 
 
 
สุดท้าย นางก็คำนับเป็นครั้งที่สาม 
 
 
” คำนับที่สาม เป็นหม่อมฉันจีฉุนมีตาแต่ไร้แวว ตกหลุมพรางของผู้อื่น หลงคิดว่าไทเฮาคือปีศาจ จนเกือบจะทำร้ายไทเฮา เป็นหม่อมฉันโง่เขลา! ขอไทเฮาประทานดาบหนึ่งให้กับหม่อมฉัน ชะล้างพระทัยที่ทรงได้รับความอยุติธรรม! “ 
 
 
คำนับครบสามครั้ง ความขัดแย้งในพระทัยของจีฉุนก็หมดไป แววเนตรกระจ่างใส ปราศจากความเสแสร้งใดๆ  
 
 
การแสดงออกขององค์หญิงใหญ่ ทำให้ผู้คนทั้งหลายต่างนิ่งค้างกันไปหมด 
 
 
พวกเขารู้ดีกว่าที่ผ่านมาองค์หญิงใหญ่ทรงเป็นผู้ที่กล้ารักกล้าแค้นคนหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่านางที่เป็นถึงองค์หญิงสูงศักดิ์จะถึงขนาดยอมวางศักดิ์ฐานะของตนลงและยอมรับผิดเช่นนี้!  
 
 
ซุ่นเอ๋อร์ที่เห็นมารดาคุกเข่าลงโขกศีรษะก็มีสีหน้าตกตะลึงไปเช่นกัน นางเองก็รีบคุกเข่าลงโขกศีรษะไปด้วย “ขอบพระทัยท่านย่าน้อยช่วยชีวิตหม่อมฉัน ท่านแม่เพียงแต่กังวลใจในตัวซุ่นเอ๋อร์มากเกินไป ท่านแม่มิได้ตั้งใจ” 
 
 
ตู๋กูซิงหลันชมดูจนป่วยใจ นางวางดาบในมือลง ดึงเด็กหญิงตัวน้อยขึ้นมากอดไว้ในอ้อมอก  
 
 
จากนั้นก็ประคององค์หญิงใหญ่ให้ลุกขึ้นมาด้วยตนเอง ” เรื่องได้รับความอยุติธรรมนั้นไม่มีหรอก หากว่าองค์หญิงทรงคิดจะตอบแทนบุญคุณละก็ เราก็มีคำขอร้องอยู่ข้อหนึ่ง “ 

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset