ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 119 เขาไม่อาจหักหลังใครได้ทั้งนั้น

” พอดีจริง ข้าก็มาแล้วไม่ใช่หรือ? “ 
 
 
 
 
 
หิมะที่ตกลงมาบางๆ ทอประกายดุจดวงดาว ตู๋กูซิงหลันสวมชุดกระโปรงสีดำเขียว สองมือซุกอยู่ในปลอกแขน ส่วนหนึ่งของเส้นผมที่หนาและยาวของนางขมวดเป็นมวยอย่างง่ายๆ เส้นผมที่เหลือส่วนใหญ่ถูกปล่อยลงไปเคลียไหล่ ปลายคิ้วที่โค้งงามดั่งไต้หยู่ยังมีละอองหิมะเกาะอยู่เล็กน้อย ทำให้นางยิ่งดูอ่อนโยนขึ้นอีกหลายส่วน 
 
 
จีเย่ว์ทอดเนตรมองดูนาง ชั่วขณะหนึ่งจิตใจของเขาล่องลอยกลับไปยังยามที่พึ่งได้เจอนางเป็นครั้งแรก ยามนั้นฤดูหนาวที่มีหิมะตกบางๆ เช่นนี้ นางที่อายุเพียงห้าปีงดงามน่ารักประหนึ่งตุ๊กตาเคลือบตัวน้อย ผูกผมเป็นมวยสองข้าง กำลังขี่คอนายท่านผู้เฒ่าตู๋กู และหันมาคลี่ยิ้มให้กับเขาอย่างอ่อนหวาน 
 
 
นับตั้งแต่ได้สบตากันอย่างลึกซึ้งในครั้งนั้น ทำให้เขาเองก็ไม่อาจลืมเลือนได้อีก เพียงคิดจะปกป้องนางไปจนชั่วชีวิต ให้นางยิ้มแย้มเช่นนี้ตลอดไป 
 
 
ตู๋กูซิงหลันมาที่นี่เพียงลำพัง ยามนี้ท้องฟ้าก็มืดครึ้มลงมากแล้ว นางเดินช้าๆ ก้าวมาหยุดอยู่ตรงหน้าจีเย่ว์ ดวงตาทั้งสองแฝงไว้ด้วยความเย็นชา 
 
 
นางหันไปมองดูโหยวหนิงที่อยู่ข้างกายเขาด้วยสายตาเย็นชา ” ทางหนึ่งก็เฝ้าฝันถึงฮ่องเต้ อีกทางก็คืบคลานขึ้นมาบนตัวอี้อ๋อง โหยวหนิง อย่างเจ้านี่ละถึงเรียกว่า สิ้นคิด “ 
 
 
” ยังมี ครั้งหน้าเวลาจะนินทาใครรับหลัง จงจำเอาไว้ด้วยว่าต้องเสียงเบาเข้าไว้ “ 
 
 
โหยวหนิงที่ตอนแรกนั่งอยู่บนแผ่นหิน ยามนี้กองอยู่แทบเท้าของตู๋กูซิงหลัน นางเงยหน้าขึ้นมองตู๋กูซิงหลัน 
 
 
ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะอายุได้เพียงสิบห้าปีเท่านั้น แต่กลับมีสง่าราศีสูงส่ง มีกลิ่นอายน่ายำเกรงที่ไม่อาจมองข้าม 
 
 
ความน่ายำเกรงนี้ยิ่งสะท้อนภาพตรงกับข้ามกับตัวนางโหยวหนิงที่เป็นเหมือนน้ำครำในโคลนเลน 
 
 
นางคนน่ารังเกียจตู๋กูซิงหลัน ช่างน่ารังเกียจจนเข้ากระดูกดำ!  
 
 
” ข้าก็แค่พูดไปไม่กี่ประโยคเท่านั้น เจ้าไยจะต้องมาหึงหวงข้าด้วย? ” โหยวหนิงกล่าวเสียงเย็นคำหนึ่ง ค่อยพยายามลุกขึ้นจากบนพื้น 
 
 
คนที่เหยียบเรือสองแคมก็นับว่าเป็นคนทุเรศชัดๆ คนเช่นมันไหนจะยังกล้ามาด่านางว่า สิ้นคิดได้อีก?  
 
 
ดูนางเองสิ ล่อล่วงฝ่าบาทไปแล้ว ยามนี้ยังคิดจะมาติดพันอี้อ๋องอีก!  
 
 
อย่าได้ลืมไปว่า นางคือตัวต้นเหตุที่ทำร้ายเสียนไท่เฟย! อี้อ๋องมีหรือจะอภัยให้นางได้?  
 
 
โหยวหนิงกำลังจะขยับตัว ก็เห็นตู๋กูซิงหลันใช้เท้าเพียงข้างเดียวก็สามารถเหยียบนางลงไปได้แล้ว สายตาของนางทอประกายเย็นชาอย่างที่สุด “ข้าไม่คิดจะพูดจาไร้สาระกับเจ้าอีก แต่มีเรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องจำใส่กะโหลกเอาไว้ ล้มเลิกความคิดชั่วร้ายเหล่านั้นซะ กลับตัวเป็นคนดี ไม่เช่นนั้นจุดจบของเจ้าจะต้องอนาถอย่างไม่คาดคิดเป็นแน่ “ 
 
 
ประโยคนี้ ตู๋กูซิงหลันถือว่ายึดเอาคำสั่งสอนตามกฎของสำนักหุบเขาภูติมากล่าวเตือน หากโหยวหนิงคิดเปลี่ยนเป็นศพมีชีวิต อีกหน่อยจะต้องเสียใจเป็นแน่ 
 
 
โหยวหนิงถูกฝ่าเท้าของนางเหยียบจนหน้าจมพื้น ใบหน้าเลอะเทอะไปด้วยโคลนตม นางได้แต่มองตู๋กูซิงหลันด้วยความเคียดแค้น 
 
 
ตู๋กูซิงหลันไม่รอให้นางกล่าวตอบ ก็ละความสนใจไปแล้ว นางหันไปมองอี้อ๋องที่ลุกขึ้นยืน “ข้ามีคำพูดจะกล่าวกับท่านเพียงลำพัง” 
 
 
“ดี เช่นนั้นพวกเราเข้าไปในเรือนกันเถอะ ” พอจีเย่ว์จดจ้องมองดูนาง เขาก็รีบจัดแจงเสื้อผ้าของตน ลูบไล้ใบหน้าคิดอยากจะรักษาภาพพจน์ของตนในสายตาของนางเอาไว้ 
 
 
พูดจบแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็ซัดฝ่ามือใส่โหยวหนิงจนนางสลบไป นางก้าวขาเรียวยาว เดินนำเข้าไปในเรือน 
 
 
จีเย่ว์ติดตามนางมาที่ด้านหลัง มองดูเงาหลังและเส้นผมยาวที่พลิ้วไหวประหนึ่งภาพวาดนั้น 
 
 
ในใจของเขาก็บังเกิดความอ้างว้างขึ้นมา …..ยามนี้นางล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงของเขาแล้ว แล้วนางจะรังเกียจเขาหรือไม่?  
 
 
พอคิดถึงสายตาเย็นชาของนางเมื่อครู่ หัวใจของจีเย่ว์ก็เหมือนจะหล่นลงไปในหุบเหว สองขาที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้าก็หน่วงหนืดประหนึ่งลากเรือ 
 
 
ท่ามกลางฤดูหนาวที่โหดร้าย เขาสวมใส่เพียงเสื้อผ้าบางๆ ชั้นเดียว แต่ว่าร่างกายกลับไม่รู้สึกเหน็บหนาวเท่าไหร่ เพราะในหัวใจนั้นเย็นยะเยือกยิ่งกว่า มันเย็นเฉียบเสียจนเขารู้สึกว่าผิวหนังทุกตารางนิ้วนั้นเจ็บปวด 
 
 
จนกระทั่งเมื่อเห็นตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่ข้างโต๊ะไม้ตัวหนึ่ง เทน้ำชาอุ่นๆ ให้กับเขา จีเย่ว์ถึงได้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้าง 
 
 
เขานั่งลงตรงข้างนาง ทั้งสองต่างตกอยู่ในความเงียบงัน ไอร้อนของน้ำชากลายเป็นควันสายหนึ่ง บดบังใบหน้าให้พร่าเลือนกว่าเดิม 
 
 
ที่ข้ามานี่ ก็เพราะอยากจะให้ท่านยืนยันเรื่องหนึ่ง ” ครู่หนึ่ง ตู๋กูซิงหลันถึงไปเปิดปากเข้าประเด็น “ผู้ที่ยุยงให้โหยวหนิงวางแผนทำร้ายข้า ก็คือ เสียนไท่เฟย ไม่ใช่ท่าน “ 
 
 
นางใช้ประโยคที่ระบุแน่ชัด ไม่ใช่คำถามแม่แต้น้อย 
 
 
จีเย่ว์ชะงักไปครู่หนึ่ง “ในเมื่อเจ้าแน่ใจอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องถามข้าให้มากความ” 
 
 
” หากว่าไม่ได้รับคำยืนยันจากปากท่านด้วยตนเอง ใจข้าก็ไม่อาจจะสงบได้” 
 
 
จีเย่ว์มองดูดวงตาดอกท้อที่งดงามคู่นั้นอยู่นาน ในที่สุดค่อยถอนหายใจออกมา ” ต่อให้ข้าคิดจะทำร้ายผู้คนทั้งโลก ก็ไม่มีทางจะคิดทำร้ายเจ้าได้แม้แต่ขุมขนหนึ่ง ความผูกพันนับแต่เยาว์วัยนี้ ชั่วชีวิตก็ไม่มีเปลี่ยนได้”  
 
 
น่าเสียดาย…….เจ้ากลับไม่เคยเชื่อในตัวข้ามาก่อน 
 
 
พูดคำนี้ออกมาแล้ว ดวงตาของเขาก็ยิ่งสะท้อนแววแห่งความเจ็บช้ำ “แต่อีกด้านหนึ่ง ข้าก็เป็นบุตร มารดากระทำลูกย่อมต้องชดใช้ ข้าย่อมต้องรับผิดชอบในฐานะบุตรคนหนึ่ง” 
 
 
ตู๋กูซิงหลันนิ่งฟังอย่างละเอียด ยามที่จีเย่ว์พูดเรื่องนี้ออกมา นางก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า จิตใจที่หลงเหลืออยู่ของร่างเดิมกำลังสั่นสะท้าน 
 
 
” ไม่ใช่เขา….ไม่ใช่เขา…….เช่นนั้นก็ดีแล้ว ” ในสมองของนางมีเสียงของเจ้าของร่างเดิมสะท้อนไปมา 
 
 
สีหน้าของตู๋กูซิงหลันไม่เปลี่ยนแปลง นางยังคงจ้องมองดูจีเย่ว์ “ดังนั้นเจ้ารู้ถึงฐานะของเสียนไท่เฟยแต่แรกแล้ว อีกทั้งยังรู้ถึงฐานะของตนเองอีกด้วย? “ 
 
 
จีเย่ว์เองก็ไม่คิดจะปิดบังอะไรนางอีกแล้ว เขาทั้งส่ายหน้าและพยักหน้ารับ “หลังเสด็จพ่อสิ้นพระชนม์ไปถึงได้รู้ชัด” 
 
 
เรื่องนี้ เขาต้องใช้เวลาอยู่นานมากถึงจะสามารถคิดตก และยอมรับได้ และเพราะมีฐานะที่แท้จริงเป็นเช่นนี้ ทำให้เขาไม่รู้ว่าสมควรจะทำเช่นไรยามเจอหน้ากับหลันเอ๋อร์ที่เขารักที่สุดดี 
 
 
เขาอึดอัดขัดแย้งนัก หากว่าหลันเอ๋อร์แต่งให้กับเขา บุตรของพวกเขาในวันข้างหน้าย่อมต้องมีสายเลือดของศพมีชีวิต เช่นนั้นก็น่าอนาถนัก 
 
 
แต่เขารักนางอย่างลึกล้ำ ไหนเลยจะยอมสูญเสียนางไปได้?  
 
 
” ตอนนั้นท่านไยจึงต้องออกหน้าบอกให้ข้าแต่งกับอดีตฮ่องเต้ด้วยตนเอง? ” ตู๋กูซิงหลันถามขึ้นมาอีก ข้าจดจำได้อย่างชัดเจน ตอนนั้นเป็นท่านเอ่ยปากให้ข้ายอมแต่งกับอดีตฮ่องเต้ ส่งเสริมความฝันที่จะเป็นฮ่องเต้ของท่าน “ 
 
 
พอจีเย่ว์ได้ฟังแล้ว ใบหน้าก็ซีดขาวไปในทันที แม้แต่เส้นขนทั่วร่างก็ลุกซู่ขึ้นมา 
 
 
” เป็นฝีมือของเสียนไท่เฟยอีกละสิ? ” ตู๋กูซิงหลันคาดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ฝีมือแปลงโฉมของชิงผิงยอดเยี่ยมยิ่งนัก ในหากสามารถตบตาหลอกลวงเจ้าของร่างเดิมได้ เรื่องนี้ก็จะง่ายดายยิ่งนัก 
 
 
จีเย่ว์มิได้หาข้อแก้ตัวมาอธิบาย หากแต่พยักหน้าอย่างจำใจ 
 
 
ที่นางยังไม่รู้ก็คือ ยามที่เขาได้รู้ว่านางจะแต่งให้กับพระบิดานั้น เข้าพยายามจะไปหานางอย่างสุดชีวิต คิดจะขัดขวางนางไว้ แต่กลับถูกกักขังอยู่ในตำหนักฉางเล่อกง ทั้งยังกระอักเลือดออกมามากมายจนสลบไปในที่สุด ชิงผิงไม่อาจทนดูได้ จึงได้บอกความจริงแก่เขา 
 
 
พอเขาสามารถลงจากเตียงได้ คิดจะไปหานางอย่างไม่สนใจสิ่งใดอีก……นางก็กลายเป็นไทเฮาไปเสียแล้ว 
 
 
ระหว่างพวกเขาราวกับมีแผ่นฟ้ามาขวางกั้นไปจนชั่วชีวิต 
 
 
ทางหนึ่งคือมารดาบังเกิดกล้า อีกทางคือหญิงสาวที่ตนรัก 
 
 
เขาไม่อาจหักหลังใครได้ทั้งนั้น มีแต่ขึ้นครองราชย์ได้สำเร็จ กลายเป็นผู้มีอำนาจและฐานะสูงสุดในต้าโจว ถึงจะสามารถปกป้องผู้ที่เขาคิดจะปกป้องเอาไว้ได้ 
 
 
” ด้วยหัวใจที่ตู๋กูซิงหลันทุ่มเทให้กับเจ้า หากไม่ใช่เพราะว่ามารดาของเจ้าแทรกแซงมากเกินไป วันนี้แผ่นดินต้าโจวก็คงตกเป็นของเจ้าแล้ว ” สายตาของตู๋กูซิงหลันเต็มไปด้วยความเย็นชา “นางไยจะต้องทำเช่นนี้ด้วย? “ 
 
 
คำถามนี้ หากว่านางเอาไปถามเสียนไท่เฟยเองละก็ เกรงว่าคงจะไม่ได้ความจริงอะไรออกมา 
 
 
แต่หากลงมือจากฝั่งจีเย่ว์ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ล่วงรู้อะไรเพิ่มมากอีกหน่อย 
 
 
จีเย่ว์ขยับริมฝีปากอยู่พักหนึ่ง ค่อยตอบประโยคหนึ่งออกมา “หลันเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่? ทายาทของศพมีชีวิต เมื่อถึงอายุช่วงหนึ่งถึงได้กลายเป็นศพมีชีวิต ก่อนที่จะกลายสภาพเป็นเช่นศพนั้น ก็จะยังมีเลือดมีเนื้อเหมือนคนทั่วไป “​​​​​​​ 

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset