ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 681 ความรู้สึกปลอดภัยจากพลังอันแข็งแกร่งในร่างของเขา

ดาบอาทิตย์เทพเล่มนี้ เกิดขึ้นมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล ตั้งแต่ที่ตี้เสียทรงบังเกิดขึ้นจากจิตแห่งเปลวเพลิง ดาบเล่มนี้ก็หล่อหลอมขึ้นจากโทสะพันปีของเทพบิดร  
 
 
เมื่อดาบอาทิตย์เทพปรากฏขึ้น สรรพชีวิตล้วนถูกแผดเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน  
 
 
ก่อนหน้านี้ตอนที่ปะทะกับจีเฉวียน พระองค์ก็มิได้เรียกดาบอาทิตย์เทพเล่มนี้ออกมา เพราะทรงเกรงว่าทันทีที่ดาบปรากฏขึ้นมา แดนสวรรค์จะกลายเป็นนรกภูมิไป  
 
 
แต่ว่ายามนี้ ในสายพระเนตรมีแต่คู่ผัวตัวเมียคู่นั้นกระทำเรื่องบังอาจอยู่ตรงเบื้องพระพักตร์ ตี้เสียทรงทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว  
 
 
ในครั้งบรรพกาล พระองค์มิได้ครอบครองจู่ฮว๋าย แล้วตอนนี้ แม้ว่านางจะกลับมาเกิดใหม่แล้ว พระองค์ก็ยังจะต้องพลาดจากนางไปอีกหรือ?  
 
 
ในเมื่อไม่อาจได้มา ก็ยอมให้เป็นหยกแหลกลาญ แต่มิใช่กระเบื้องสมบูรณ์ เหมือนกับที่พระองค์ทรงทำลงไปในตอนนั้น!  
 
 
แต่ไหนแต่ไรสิ่งใดที่พระองค์ถูกพระทัย ย่อมต้องได้มาไว้ครอบครอง!  
 
 
พอเห็นว่าดาบอาทิตย์เทพปรากฏขึ้นมา ฮว๋ายยู่เองก็ยังต้องตกตะลึงไปเช่นกัน ครั้งก่อนที่พระองค์ทรงเรียกดาบเล่มนี้ออกมา ก็คือในสงครามเทพภูติเมื่อหมื่นปีก่อน  
 
 
พระทัยของนางถึงกับตื่นตระหนก ดวงเนตรก็ปวดร้าว  
 
 
นางหันกลับไปคว้าชายเสื้อของซือเป่ยเอาไว้ “เจ้ายังมัวแต่อยู่ที่นี่ทำอะไร? เจ้าคือเทพสงครามของแดนสวรรค์ สมควรร่วมรบกับเทียนตี้! หรือไม่ก็เรียกทัพนักรบสวรรค์นับแสนออกมา! เจ้าจะยืนมองดูแดนสวรรค์กลายเป็นเถ้าถ่านอยู่อย่างนี้หรือ?”  
 
 
เสียงร่ำร้องของนางเพียงทำให้ซือเป่ยขมวดคิ้วเท่านั้น เขายังคงยืนอยู่ในที่เดิม โดยมิได้ขยับเขยื้อนไปไหน  
 
 
เพียงแต่ใช้สายตากวาดมองไปทางตี้เสียแต่ไกลเท่านั้น  
 
 
“ฮว๋ายยู่ แดนสวรรค์จะเป็นเช่นไร ข้าแม่ทัพไม่เคยคิดจะใส่ใจมาก่อนเลย” ขณะที่เขาพูด ก็คว้าหัตถ์ของฮว๋ายยู่เอาไว้ ดึงมากดลงไปตรงหัวใจของตนเอง “ความในใจของข้า เจ้ายังไม่….”  
 
 
เขาพูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกฮว๋ายยู่กล่าวขัดว่า  
 
 
“เจ้านับเป็นตัวอะไรกัน!” แววเนตรขอนางโหดเหี้ยมและเย็นชา “ข้าได้เคยบอกเจ้าอย่างชัดเจนที่สุดไปแล้ว หัวใจของข้ามีแต่เทียนตี้เพียงพระองค์เดียวตลอดกาล!”  
 
 
“เก็บความคิดที่ไม่ควรจะมีของเจ้าไปเสีย! ชั่วชีวิตนี้ ข้าคือผู้ที่เจ้าไม่สมควรวาดฝันถึง!”  
 
 
คำพูดที่นางตรัสออกมา เป็นเสมือนคมดาบที่กระหน่ำแทงลงไปในใจของซือเป่ย  
 
 
บนแดนสวรรค์ เขาอยู่ใต้คนเพียงคนเดียวและอยู่เหนือผู้คนนับหมื่น เขาคือผู้ที่สูงส่งมาโดยตลอด แต่ว่าในสายพระเนตรของฮว๋ายยู่กลับไม่มีค่าแม้ผงธุลี  
 
 
เขากำหัตถ์ของนางเอาไว้อย่างแนบแน่น แทบจะบีบกระดูกของนางจนแหลกลงไป  
 
 
“เจ้าทำให้ข้าเจ็บแล้วนะ!” นางตวาดออกไปอย่างรุนแรง ทันใดนั้นฝ่าพระหัตถ์อีกข้างหนึ่งก็ยกขึ้นมา ตบลงไปบนใบหน้าของซือเป่ย  
 
 
ซือเป่นมิได้หลบ แต่รับฝ่ามือนั้นของนางไปเต็มๆ  
 
 
เสียตบหน้าดังฉาด เรี่ยวแรงที่ตวัดลงไปก็มาก ตบจนครึ่งใบหน้าของเขาเป็นรอยนิ้วมือสีแดงขึ้นมา  
 
 
มือที่กุมข้อพระหัตถ์ของฮว๋ายยู่เอาไว้ คลายออก  
 
 
“เจ้ายังไม่รีบเรียกกองทัพให้รวมพลอีก! ยังมั่วช้าอยู่ทำไม?”  
 
 
ซือเป่ยจดจ้องไปที่นาง แม้ว่าฮว๋ายยู่จะตบหน้าเขาไปครั้งหนึ่ง สีพระพักตร์ของนางก็ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ในสายพระเนตรของนางมีแต่เพียงตี้เสียเท่านั้น  
 
 
“หากว่าในใจของเจ้ามีแต่เพียงเขา…. แต่ตอนนั้นใยจึงจงใจ…กับข้าแม่ทัพ”  
 
 
“หุบปากนะ!” ฮว๋ายยู่ยกหัตถ์ขึ้นมา เกือบจะตบลงไปอีกครั้ง  
 
 
แต่ครั้งนี้ ซือเป่ยจับข้อพระหัตถ์นางเอาไว้อีกครั้ง สายตาของเขามองลงไปที่หน้าท้องน้อยๆที่นูนขึ้นมาของนาง “อย่าได้ลืมสิว่า ในท้องของเจ้า คือเมล็ดพันธุ์ของข้าแม่ทัพ!”  
 
 
ทันทีที่เขาเอ่ยเช่นนี้ออกมา สีพระพัตร์ของฮว๋ายยู่ก็ซีดขาวลงไปอีกหลายส่วน  
 
 
นางตกตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นก็ระดมหมัดใส่ร่างของซือเป่ย “ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าพูดจาเหลวไหล บุตรของข้าเป็นของเทียนตี้! เป็นของเทียนตี้!”  
 
 
สีหน้าซือเป่ยเย็นชา มือที่จับข้อพระหัตถ์เอาไว้ยิ่งบีบแน่นกว่าเดิม “ต้องการให้ข้าแม่ทัพย้ำเตือนเจ้าอีกหรือไม่ เมื่อหนึ่งร้อยห้าวันก่อน ทะเลสาปโยวหมิง ชายหญิงอยู่กันตามลำพัง…..”  
 
 
สีพระพักตร์ที่เดิมซีดขาวของฮว๋ายยู่ ตอนนี้กลายเป็นปราศจากสีเลือดไปแล้ว  
 
 
“ข้าบอกแล้วว่าเป็นของเทียนตี้ ก็คือของเทียนตี้! เจ้าหุบปากนะ! หุบปาก!”  
 
 
ซือเป่ยหัวเราะเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง แววตาที่มองไปทางตี้เสียยิ่งกลายเป็นเย็นยะเยือกกว่าเดิม  
 
 
หากว่าตี้เสียตายไป บนแดนสวรรค์แห่งนี้ ผู้ที่มีคุณสมบัติจะกลายเป็นจักรพรรดิมากที่สุด ก็คือตัวเขา…  
 
 
อ้อ หรือจะเป็นบุตรที่ยังมิได้เกิดมาของเขาก็ได้เช่นกัน  
 
 
เขาจดจ้องไปที่ฮว๋ายยู่ เห็นลำคอของนางยังคงมีร่องรอยสีแดงที่ยังไม่ทันจางหายไป ก็รู้ว่านางและตี้เสียพึ่งจะมีสัมพันธ์รักกันมาอีกแล้ว ในใจของเขายิ่งทวีความเกลียดชังและโกรธแค้นมากกว่าเดิม  
 
 
เขาหลงรักฮว๋ายยู่ มาเนิ่นนานมากแล้ว…..  
 
 
………………………….  
 
 
ใต้เจดีย์ ดาบอาทิตย์เทพปรากฏ  
 
 
เพียงพริบตาเดียว อุณหภูมิรอบด้านก็ถีบตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว  
 
 
ดวงดาวขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่ด้านหลังตำหนักสวรรค์ เหมือนจะเกิดผลกระทบเชื่อมโยง ไอทิพย์ที่ถูกถ่ายทอดลงมาอยู่ตลอดเวลาโดยไม่ขาดสาย ตอนนี้รวมเป็นหนึ่งอยู่ที่ร่างของตี้เสีย  
 
 
บาดแผลตรงพระอุระของพระองค์ฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว แม้แต่แถบผ้าสีทองที่พาดอยู่บนท่อนพระกรก็ยังกลับคืนสู่สภาพเดิม  
 
 
แสงสีทองบนพระวรกายกลับมาเปล่งประกายระยิบระยับอีกครั้ง พระหัตถ์กุมดาบอาทิตย์เทพเอาไว้ ศาสตราเทพเล่มนี้เปล่งประกายสีทองอันเร่าร้อนและเข้มข้นออกมา จนทำให้มองไม่ออกเลยว่าเดิมทีมันเคยมีรูปร่างอย่างไร  
 
 
เมื่อตี้เสียย่างพระบาทออกไป พื้นดินใต้ฝ่าเท้า และหมู่เมฆที่ลอยอยู่รอบด้าน ต่างก็ส่งเสียงดังซี่ๆออกมา  
 
 
พระองค์ทรงห่างจากจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลันไม่ถึงร้อยเมตรเสียด้วยซ้ำ  
 
 
เพียงก้าวเดียว ความร้อนก็แผ่กระจายออกไป ราวกับคลื่นจากท้องทะเลซัดสาด  
 
 
นั่นคือพลังอันรุนแรงไร้ที่เปรียบของฟ้าดิน!  
 
 
ตี้เสียทรงคงอยู่มาตั้งแต่ครั้งบรรพกาลจนถึง ณ ปัจจุบัน ดูดซับไอทิพย์ในแดนสวรรค์มานานนับแสนปี เดิมทีก็ย่อมต้องแข็งแกร่งอยู่แล้ว  
 
 
พระองค์คือจักรพรรดิสวรรค์ คือความแข็งแกร่งที่ไม่มีสิ่งใดสามารถสั่นคลอนได้!  
 
 
ครานี้ แม้แต่สัตว์อสูรที่ตัวสั่นอยู่เมื่อครู่ ก็ยังต้องถดร่างถอยหลังออกไป  
 
 
พวกมันเริ่มหวาดกลัวตี้เสียขึ้นมาแล้ว  
 
 
เป็นความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นจากในแก่นกระดูก เช่นเดียวกับที่ก่อนหน้านี้พวกมันรู้สึกหวาดกลัวจีเฉวียนอย่างไรอย่างนั้น  
 
 
จะมีก็แต่เจ้านกยักษ์ที่ยังคงแอบทั้งจิกและเจาะลงไปในรอยแตกอยู่ต่อไป  
 
 
ที่จริงมันเองก็คิดจะหนี แต่ว่าบังเอิญที่มันอยู่ใกล้เจดีย์กำราบเทพมารมากที่สุด จึงถูกแรงกดดันจากสัตว์ประหลาดที่อยู่ในเจดีย์กดเอาไว้อย่างแน่นหนา แม้แต่ร่างกายก็ยังไม่อาจควบคุมบังคับได้  
 
 
แม้ว่ามันจะรู้สึกถึงความร้อนที่แผดเผามาจากร่างของตี้เสีย จนขนปีกเริ่มไหม้เกรียม…..มันก็ยังคงต้องเจาะกระเทาะเจดีย์ต่อไป  
 
 
ดาบอาทิตย์เทพที่อยู่ในพระหัตถ์ของตี้เสีย ยังมีพลังทำลายที่ร้อนแรงยิ่งกว่าลูกไฟที่มันพ่นออกมาไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า  
 
 
คนหนึ่งคือดวงตะวัน อีกตัวหนึ่งเป็นเพียงลูกไฟ ย่อมสามาถมองเห็นข้อแตกต่างได้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว  
 
 
ยามนี้ ตี้เสียทรงบุกเข้ามาถึงตรงหน้าของจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลันแล้ว  
 
 
ความร้อนที่รุนแรงจนน่ากลัวนั้นกำลังแผ่เข้ามาหา  
 
 
ครั้งก่อนที่ตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้ถึงความร้อนแรงจนน่าสะพรึงกลัวนั้น ก็คือพลังของสัตว์อสูรโลกันตร์ที่หลุดออกมาจากทะเลลึกไร้ก้นตัวนั้น  
 
 
แต่ก็แน่นอนว่า ตี้เสียย่อมต้องทรงน่าสะพรึงกลัวว่าสัตว์อสูรตัวนั้นมากมายอยู่แล้ว  
 
 
ยามที่ตี้เสียทรงบุกเข้ามา ร่างของจีเฉวียนก็แผ่พุ่งหมอกสีดำออกมาเป็นชั้นๆ สิ่งแรกที่เขากระทำก็คือคว้าตู๋กูซิงหลันมาในในอ้อมอก  
 
 
มิใช่ด้านหลัง แต่ว่าเป็นในอ้อมอก  
 
 
ในเมื่อรักใคร่เอ็นดูปานดวงใจ ก็ต้องเก็บเอาไว้ในอกจึงจะรู้สึกว่าพอจะปลอดภัยและวางใจได้  
 
 
เมื่อหมอกดำกำจายออกมา อุนหภูมิรอบด้านก็ตกลงไปอย่างรวดเร็ว  
 
 
ดวงเนตรของตี้เสียมีแต่ความเย็นชา พระองค์กุมดาบอาทิตย์เทพเอาไว้ในพระหัตถ์ พอฟันลงมาแต่ละครั้งความว่างเปล่าเหนือศีรษะของพวกเขายังถูกผ่าเป็นโพรงขนาดใหญ่  
 
 
โพรงที่เกิดขึ้นยังมีเปลวไฟลุกโชน  
 
 
ศาสตราเทพนี้ยังสามารถสร้างเงาดาบขนาดใหญ่ ร่วงลงมาจากทุกทิศทุกทาง  
 
 
หมู่เมฆรอบด้านล้วนถูกแผดเผาจนมอดไหม้!  
 
 
แม้ว่าจะอยู่ในหมอกสีดำ ตู๋กูซิงหลันก็ยังสามารถมองเห็นบรรยากาศที่น่าหวาดกลัวภายนอกได้อย่างชัดเจน  
 
 
ถึงอย่างไรเขาก็คือจักรพรรดิแห่งแดนสวรรค์ ตบะที่สั่งสมมาย่อมสูงส่งจนผู้คนสั่นสะท้านด้วยความกลัว!  
 
 
นางไม่อาจสู้ได้จริงๆ  
 
 
ดังนั้นจึงได้คิดหาหนทางมากมายหลบหนี  
 
 
แต่ว่าตอนนี้ เมื่อมีจีเฉวียนคอยปกป้องนาง ย่อมทำให้ในใจของตู๋กูซิงหลันสงบลงกว่าแต่ก่อนได้มากมาย  
 
 
ในร่างของเขา ให้ความรู้สึกปลอดภัยที่อธิบายไม่ถูก  
 
 
ราวกับว่ามีทั้งอาจารย์และเสี่ยวเฉวียนเฉวียนคอยปกป้องอยู่  
 
 
ให้ความรู้สึกปลอดภัย ราวกับว่าต่อให้ฟ้าจะถล่มลงมา ก็ไม่มีทางจะถล่มใส่นางได้อย่างแน่นอน  
 
 
ขณะที่เงาดาบเหล่านั้นกำลังพุ่งลงมา ก็เห็นว่าท่ามกลางหมอกสีดำ…….  
 
 
………..  

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset