ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 61 โฉมงามกับเจ้าอสูร

ฮ่องเต้ผู้ไม่มีสิ่งใดจะทำ มิทรงสนพระทัยแม้แต่น้อย ถึงแม้พระองค์จะทรงพระงกอยู่บ้าง แต่ด้วยฐานะเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินมีสมบัติใดบ้างที่ไม่เคยเห็น และยังจะต้องไปทอดพระเนตรด้วยพระองค์เองอีกหรือ?  
 
 
หลี่กงกงเองก็ปากมาก จึงตอบรับสั่งว่า “ทูลฝ่าบาท ทรัพย์สมบัติกองโตนั้นนับว่า วิบๆ วับๆ จนแสบตาเลยทีเดียวพะยะค่ะ”  
 
 
 
 
 
“แสบตามากหรือ? ” จีเฉวียนถือถุงทองที่ว่างเปล่าเอาไว้ในพระหัตถ์ 
 
 
“วิบๆ วับๆ เป็นพิเศษเลยพะยะค่ะ” หลี่กงกงทำไม้ทำมือประกอบ “ก็ระยิบระยับมากประมาณ…..” 
 
 
ฮ่องเต้ทรงจดจำได้อย่างชัดเจนว่านอกจากทองคำแล้ว ตู๋กูซิงหลันยังชื่นชอบอัญมณีแวววาววิบๆ วับๆ  
 
 
หลังจากไปตำหนักเฟิ่งหมิงมารอบหนึ่ง เขาก็ยิ่งค้นพบเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับนางอีกเรื่อง 
 
 
โดยเฉพาะตอนแรกที่นางโกรธจนปอดตับจะระเบิด แต่พอตอนหลังได้ทองไปก็ดีใจจนกระโดดโลดเต้นได้ เขาพึ่งจะรู้ว่า ที่แท้อิสตรีก็สามารถเอาใจได้ง่ายๆ เช่นนี้ 
 
 
คิดดูแล้ว หากว่านางได้รับอัญมณีแวววาวระยิบระยับละก็ จะยิ้มจนเป็นบ้าไปเลยไหม?  
 
 
เมื่อมีพระดำริถึงตรงนี้ พระโอษฐ์ของฮ่องเต้ก็ยิ่งยกมุมสูงขึ้นอีก 
 
 
หลี่กงกง “??? ” สมบัติของท่านรองมหาเสนาระยิบระยับแล้ว ทำให้ฝ่าบาททรงดีพระทัยถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?  
 
 
ขณะที่เขายังมัวแต่ครุ่นคิดอยู่ ก็เห็นฝ่าบาทสะบัดชายแขนฉลองพระองค์เสด็จไปยังท้องพระคลังหลวงแล้ว 
 
 
ฝ่าบาททรงกระทำพระองค์แปลกไปจริงๆ หรือทรงคิดจะไปนำสมบัติพวกนั้นมากอดเข้าพระบรรทม?  
 
 
 
 
 
……………………… 
 
 
 
 
 
พอเริ่มตกบ่ายคล้อย รถม้าของตระกูลตู๋กูก็เข้าวังมา ตู๋กูซิงหลันเก็บข้าวของอย่างเรียบง่าย หอบเอาทองก้อนและไข่มุกของตนเอง รวมถึงเชียนเชียนติดตามกลับจวนตระกูลตู๋กู 
 
 
นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ข้ามมิติมาในโลกนี้ที่นางได้ออกจากวัง 
 
 
เมื่อหลวงของต้าโจวถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยของรัชกาลก่อน ทุกวันนี้ยิ่งเติบโตขยับขยายไปอีกมาก นี่ทำให้ตู๋กูซิงหลันคิดไปถึงยุคสมัยของราชวงค์ถังในแผ่นดินจีนของโลกปัจจุบัน 
 
 
แคว้นต้าโจวของโลกนี้ก็เทียบได้กับเมืองหลวงฉางอันในราชวงค์ถัง ท้องฟ้ายามเย็นยิ่งเสริมให้แสงโคมสว่างไสว สีสันที่ได้เห็นงดงามดุจภาพวาด 
 
 
ท้องถนนที่กว้างขวาง สิ่งก่อสร้างล้วนแต่งดงาม ร้านค้ามากมาย ผู้คน รถม้าไปมาคึกคัก ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้นางรู้สึกได้ถึงความเจริญรุ่งเรื่องของต้าโจว 
 
 
เมื่อใกล้จะถึงจวนตระกูลตู๋กู ท้องฟ้าก็มืดครึ้มลง 
 
 
พอเริ่มเลี้ยวเข้าสู่ตรอกแรกของถนนตะวันตกซึ่งเป็นที่ตั้งของจวนตระกูลตู๋กู ก็เห็นว่าทั้งถนนลาดปูด้วยพรมแดง สองข้างทางขนาบด้วยขบวนทหารในชุดเกราะสีเงินยวง 
 
 
ทันทีที่ขบวนรถของตู๋กูซิงหลันเลี้ยวเข้ามา ก็เห็นหอกยาวในมือของพวกเขากระทุ้งพื้นเสียงดังเป็นจังหวะ ตะโกนเสียงดังฟังชัดว่า “คุณหนูงดงาม หนึ่งในต้าโจว!  
 
 
คุณหนูยอดเยี่ยม หนึ่งในต้าโจว!  
 
 
คุณหนูๆ ไร้เทียมทาน 
 
 
กองทัพตู๋กู ยินดีต้อนรับคุณหนูกลับบ้าน! “ 
 
 
ว่าแล้วก็มีเสียงกระแอม ‘อะเฮอะ’ ‘อะเฮอะ’ ‘อะเฮอะ’ตามมาสองสามครั้ง 
 
 
เสียงนี้ดังกึกก้องสะท้านไปทั่วทั้งตรอกเลยทีเดียว 
 
 
ตู๋กูซิงหลันแง้มม่านหน้าต่างออกครึ่งหนึ่ง มองดูเหล่าทหารหาญที่มาตั้งแถวต้อนรับ ทำให้ลักยิ้มของนางบุ๋มลึกลงไปอีก 
 
 
คนพวกนี้กำลังทำอะไรกัน?  
 
 
“คุณหนูคือจันทราบนนภากาศ 
 
 
คุณหนูคือเทพธิดากลางสายน้ำ 
 
 
คุณหนูๆ ยอดเยี่ยมที่สุด 
 
 
ยินดีต้อนรับคุณหนูกลับบ้าน! “ 
 
 
พอเห็นนางเผยโฉมหน้าออกมาครึ่งหนึ่ง เหล่าพลทหารทั้งหลายก็ยิ่งร่ำร้องเสียงดังมากขึ้น 
 
 
พวงแก้มตู๋กูซิงหลันซับสีระเรื่อ ค่อยเอาชายม่านปิดลงดังเดิม ก่อนนี้นางเคยคิดว่าตนเองหน้าหนาอย่างที่สุด แต่ยามนี้ยังอดที่จะหน้าแดงไม่ได้ 
 
 
แม่เจ้า นี่มันแฟนคลับระดับไหน….รบกวนพวกเจ้าช่วยเพลาๆ หน่อยจะได้ไหม?  
 
 
เล่นเสียระดับนี้…….เจ๊ก็ตั้งตัวไม่ทันเลยนะ 
 
 
แต่เชียนเชียนกลับทำหน้าเหมือนไม่เห็นเป็นที่แปลกประหลาดอันใด “นายหญิง แต่ก่อนนี้ไม่ว่าท่านจะไปไหนล้วนต้องมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง นายท่านแทบอยากจะส่งกองพลหนึ่งมาพิทักษ์ท่านด้วยซ้ำ ที่เห็นนี่นับว่ายังน้อยนัก” 
 
 
ตู๋กูซิงหลัน “!!! ? “ 
 
 
อะไรมันจะปานนั้น? แล้วทำไมเจ้าของร่างเดิมถึงได้จิตใจเปราะบางเป็นกระจก ทำตัวเป็นลูกพลับนิ่มไปได้? ดูตามเหตุผลแล้ว นางน่าจะเป็นอันธพาลน้อยที่เอาแต่ใจเสียด้วยซ้ำ หรือจะเป็นเพราะว่าถูกปกป้องไว้มากเกินไป?  
 
 
ขณะที่ในสมองของตู๋กูซิงหลันนั้นเต็มไปด้วยคำถาม รถม้าก็มาถึงจวนตระกูลตู๋กูแล้ว 
 
 
และเพราะเสียงต้อนรับที่ได้ยินมาตลอดทางกลับบ้าน ทำให้จิตใจของนางอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก กลับบ้าน…สำหรับนางแล้ว ที่นี่ก็คือ บ้าน แล้วจริงๆ  
 
 
พอรถม้าพึ่งจะมาถึง ก็เห็นพี่ใหญ่ถือดาบทลายภูผารออยู่ที่หน้าประตูใหญ่นานแล้ว 
 
 
เขาไม่ได้ถอดเกราะออก คนยืนอยู่ระหว่างสิงโตคู่แต่กลับดูหน้าเกรงขามยิ่งกว่าสิงโตพวกนั้นอยู่หลายส่วน 
 
 
ตู๋กูซิงหันเห็นแล้วถึงกับน้ำตาคลอ ดาบเหล็กดำด้ามนี้เมื่อรวมกับด้ามดาบยังมีความยาวกว่าสองเมตร สันดาบยังมีห่วงร้อยถึงเก้าวง ดาบเช่นนี้อย่างน้อยต้องหนักถึงสองร้อยจิน แต่พี่ใหญ่กลับถือไว้อย่างไม่กินแรงแม้แต่น้อย 
 
 
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในพระตำหนักจิ่นซิ่วนางยังคิดว่าพี่ใหญ่องอาจไร้เทียมทาน วันนี้เมื่อเพิ่มดาบใหญ่อีกเล่มหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันยิ่งรู้สึกว่านี่จึงจะเป็นพี่ใหญ่ที่แท้จริง หนึ่งดาบกำราบปฐพี ผู้ใดราวีประหารสิ้น 
 
 
เมื่อคนขับรถม้าเปิดประตูออก เท้าของตู๋กูซิงหลันพึ่งจะยื่นออกมาได้เพียงก้าวเดียว ฝ่ามือใหญ่โตของตู๋กูจุนก็ยื่นมาถึง ใต้เท้าของตู๋กูซิงหลันพลันว่างเปล่า นางรู้สึกวิงเวียนอยู่วูบหนึ่ง 
 
 
ที่แท้เป็นพี่ชายเข้ามารับนางไว้ท่ามกลางสายตาของผู้คนทั้งหลาย ตู๋กูจุนใช้แขนเพียงข้างเดียวอุ้มนางขึ้นมา ให้นางนั่งบนบ่าของเขา 
 
 
แม้ตู๋กูซิงหลันจะผอมบาง แต่อย่างไรคนก็ยังคงหนักเจ็ดสิบกว่าจิน ทว่าน้ำหนักเพียงเท่านี้สำหรับตู๋กูจุนแล้วไม่ถือว่าต้องเป็นกังวลอย่างไรแม้แต่น้อย 
 
 
มือข้างหนึ่งของเขาโอบอุ้มน้องสาวสุดล้ำค่าไว้บนบ่า มืออีกข้างหนึ่งกุมดาบแสนรักไว้ คนก็เดินตรงเข้าไปในจวนตระกูลตู๋กู 
 
 
โดยไม่เปิดโอกาสให้ตู๋กูซิงหลันได้ปฎิเสธแม้แต่น้อย 
 
 
ภาพเช่นนี้ดูไปคล้ายกับโฉมงามกับเจ้าอสูร เพียงแต่โฉมหน้าเจ้าอสูรตนนี้กลับน่าดูอย่างที่สุด เมื่อทั้งสองอยู่ด้วยกันก็ยิ่งดึงดูดทุกสายตาไว้ 
 
 
เชียนเชียนที่เดินตามหลังมาก็ท่าทีคล้ายไม่มีเรื่องใดต้องประหลาดใจ 
 
 
ตอนที่คุณหนูยังไม่เข้าวังนั้น ทุกครั้งยามออกไปเบื้องนอกฝ่าเท้าแทบไม่เคยสัมผัสพื้นดิน ถ้าไม่เป็นพี่ใหญ่อุ้มก็เป็นพี่รองแบกไว้บนหลัง ยิ่งยามเป็นเด็กนางยังเคยขี่คอนายท่านผู้เฒ่าด้วยซ้ำ…..ดังนั้นตอนนี้เมื่ออยู่บนบ่าของพี่ชายตนเอง ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง 
 
 
ถึงแม้นายท่านตู๋กูผู้เฒ่าจะมีพื้นเพเป็นชาวยุทธ์มาแต่เดิม แต่จวนหลังนี้กลับก่อสร้างอย่างวิจิตรงดงาม พฤกษาพรรณไม้ดอกดาษดื่นหลากหลาย แม้แต่หอสลักวิจิตรงดงามก็ยังมี ทั้งหมดถ่ายทอดลักษณะของสวนดอกไม้แบบเจียงหนาน 
 
 
ตู๋กูซิงหลันนั่งอย่างมั่นคงบนบ่าของพี่ชายก็ยิ่งสามารถมองไปได้ไกล 
 
 
สิ่งที่นางคาดไม่ถึงมากที่สุดก็คือ ภายในจวนตระกูลตู๋กูเองก็ปลูกดอกไฮ่ถางเอาไว้มากมาย ดอกสีชมพูแดงงดงามผลิบานไปทั่วทุกที่ แทบจะล้นออกนอกกำแพงไป 
 
 
ความงดงามของดอกไฮ่ถางในจวนตู๋กูถือว่าเปรียบไปก็ไม่เป็นรองกับตำหนังเฟิ่งหมิงแต่อย่างใด เพียงได้เห็นก็ชวนให้ประทับใจจนไม่อาจละสายตาได้ 
 
 
ตลอดทางที่เข้ามา บ่าวรับใช้คนใดที่ได้พบพวกนางต่างก็คลี่ยิ้มให้ ทั้งยังไม่ลืมกล่าวว่า “คุณหนูกลับมาแล้ว~” 
 
 
ตู๋กูซิงหลันอยู่ในวังที่เต็มไปด้วยกฎระเบียบมาเนิ่นนาน พอกลับมาถึงจวนตระกูลตู๋กูก็รู้สึกว่ายังไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง 
 
 
นั่นเพราะนางก็คือผู้ที่ใครๆ พากันเรียกขานว่าตัวเลวร้าย ยามปกติใครก็อยากให้นางล้มหายตายจากไปทั้งนั้น ไหนเลยจะมีคนเห็นนางแล้วชื่นชมยินดีแบบนี้ได้?  
 
 
ตู๋กูจุนพานางตรงไปยังจวนหลัก ดอกไฮ่ถางในจวนหลักยิ่งผลิบานงดงามมากเป็นพิเศษ แม้ว่าจะเข้าสู่เดือนเก้าแล้วกลับยังไม่มีวี่แววว่าจะร่วงโรย 
 
 
พี่ใหญ่เหยียบย่างเข้ามาในโถงกลางแล้วถึงได้ค่อยๆ วางนางลงอย่างระมัดระวัง 
 
 
ภานในห้องโถงจัดเตรียมเก้าอี้กุ้ยเฟยเอาไว้แต่แรก บนเก้าอี้ปูไว้ด้วยหมอนอิงชั้นดีหลายใบ ตู๋กูจุนไม่พูดพร่ำทำเพลงก็วางนางไว้บนเก้าอี้กุ้ยเฟย จากนั้นจึงค่อยวางดาบใหญ่ของตนลง 
 
 
ถัดมาคนก็ร่ายคำถามมาเป็นชุด “น้องเล็ก เหนื่อยหรือไม่? กระหายหรือไม่? หิวหรือยัง? เวียนศีรษะบ้างไหม? เบาะรองในรถทำให้เจ็บก้นหรือเปล่า? “ 
 
 
 
 
 
—— 
 

 
​贵妃椅 Gui Feu Yi เก้าอี้กุ้ยเฟย เก้าอี้กึ่งนั่งกึ่งนอน สำหรับพักผ่อน มีทั้งแบบเดี่ยวและแบบคู่ 
 
 
大砍刀 (Da kan dao) ดาบMachete หรือดาบใหญ่ มีหลายรูปแบบ แต่ลักษณะเด่นคือคมดาบกว้างและน้ำหนักมาก ทำให้เกินความเสียหายต่อศัตรูได้สูง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset