รอจนเมื่อได้พบกับเฉิงสวี่แล้ว หยวนซื่อก็สงบลงโดยสมบูรณ์แล้ว
นางยิ้มพลางสั่งให้พวกสาวใช้นำน้ำชากับของว่างมาขึ้นโต๊ะ เอ่ยถามถึงความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของเฉิงสวี่ขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
แม่นมของหยวนซื่อเห็นแล้วก็อดที่จะลอบถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้
นางรู้ดีว่าต้องเป็นเช่นนี้
ไม่ว่าหยวนซื่อจะมีความโกรธอยู่ในใจมากมายขนาดไหน เพียงแค่เห็นคุณชายใหญ่ ไม่ว่าความโกรธอะไรก็ล้วนมลายหายไปจนสิ้น ฉะนั้นทุกครั้งที่หยวนซื่อกล่าวว่าต้องการอบรมสั่งสอนคุณชายใหญ่นั้น พวกนางที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายนี้ ไม่มีสักคนที่จะถือเอาไปเป็นเรื่องจริงจัง
นางหันไปส่งสายตาให้สาวใช้ที่รับใช้อยู่ในห้อง ทุกคนจึงถอยออกไปอย่างเบามือเบาเท้า ปล่อยให้หยวนซื่อสองแม่ลูกได้สนทนาเรื่องส่วนตัวกัน
หยวนซื่อเห็นแล้ว ก็พยักหน้าให้กับความรู้ความของแม่นมอย่างเงียบ ๆ จากนั้นใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มแตงหวานชิ้นหนึ่งส่งให้บุตรชาย กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “กล่าวกันว่าในตลาดล้วนไม่มีขายแล้ว เจ้าชอบทานมาตั้งแต่เล็ก ๆ ก็ทานให้มากหน่อย”
เฉิงสวี่เป็นบุตรชายคนแรกของจวนหลัก เป็นผู้นำตระกูลในอนาคตของซอยจิ่วหรู เขาไม่จำเป็นต้องทำอะไร ก็มีคนคอยห้อมล้อมหน้าหลัง นำข่าวคราวที่เกี่ยวกับตัวเขามาส่งมอบให้เขาด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าครั้งนี้หยวนซื่อให้คนไปเรียกเขามากะทันหัน เขาจึงไม่รู้ว่ามารดาเรียกเขามาด้วยเรื่องอะไร จึงยิ้มพลางรับแตงหวานมาทาน
หยวนซื่อจึงถามเขาว่า “ได้ยินว่าช่วงนี้เจ้ากับเฉิงเซียงชิงสนิทสนมกันอย่างนั้นหรือ โดยปกติเจ้าไม่ค่อยสมาคมกับคนประเภทเขาไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงได้เปลี่ยนความคิดเสียแล้ว”
ในมุมมองของหยวนซื่อแล้ว เฉิงลู่กำพร้าบิดาตั้งแต่เด็ก เติบโตมากับการเลี้ยงดูของมารดาที่เป็นหญิงหม้ายตัวคนเดียว แต่กลับสามารถเติบโตมาได้อย่างราบรื่นเรียบร้อย ไม่มีใครไม่กล่าวชื่นชม ถ้าหากว่าไม่ใช่บัณฑิตผู้ยิ่งใหญ่ ก็คงเป็นจอมวายร้าย แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง ล้วนไม่ใช่คนที่สามารถเอามาเป็นสหายได้ ยังควรจะอยู่ให้ห่างเอาไว้อีกด้วย
เฉิงสวี่คิดไม่ถึงว่ามารดาจะถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เขาตอบอย่างคลุมเครือว่า “ไม่ใช่ว่าเขาสอบได้เป็นซิ่วไฉหรอกหรือ หลายวันก่อนมีสหายจัดงานเลี้ยง เขาเองก็อยู่ด้วย ต่างก็เป็นคนร่วมตระกูลเฉิงเหมือนกัน ก็เลยได้คุยกันหลายประโยค รู้สึกว่าเขาก็ไม่แย่นัก จึงได้คุยกันบ้างเป็นครั้งคราวขอรับ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้” หยวนซื่อก็ไม่ได้เปิดเผย ขมวดคิ้วพลางกล่าว “ความสัมพันธ์ของเจ้ากับเขาควรจะไม่แย่นักถึงจะถูก แต่เหตุใดเขาถึงไปพูดต่อหน้าคนอื่นไปทั่วว่า เพื่อคุณหนูรองตระกูลโจวจวนสี่แล้ว เจ้าถึงกับรังแกเขา…เจ้าฟังแล้วคิดว่านี่มันเป็นคำพูดอะไรกันแน่”
เฉิงสวี่ประหลาดใจยิ่งนัก
เขารู้ว่าเฉิงลู่สนใจโจวเสาจิ่น แต่โจวเสาจิ่นกลับไม่ได้มีความรู้สึกดีอะไรให้เฉิงลู่เลย ถ้าหากเฉิงลู่เป็นคนที่มีนิสัยใจคอดีงามผู้หนึ่งเขาก็คงจะปล่อยให้แล้วไปแล้ว เพียงแต่ว่าเฉิงลู่นั้นเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูงยิ่งนัก เพื่อความก้าวหน้าในอนาคตแล้ว ตอนที่ตนรังแกเขานั้น เขากลับเสนอแนะตนว่า เขาสามารถช่วยตนให้ได้โจวเสาจิ่นมา นอกจากนี้ยังปฏิเสธความสัมพันธ์กับโจวเสาจิ่น…ในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้น ตนรู้สึกสนใจจริง ๆ แต่ที่มากกว่านั้นก็คือ กลับระแวดระวังเฉิงลู่มากยิ่งขึ้น กล่าวคือ คนที่สามารถขายได้แม้กระทั่งหญิงสาวที่ตัวเองชอบ จะสามารถปฏิบัติต่อสหายอย่างจริงใจได้อย่างไร!
เฉิงสวี่อยากรู้ว่าเฉิงลู่ต้องการทำอะไรกันแน่ ในขณะเดียวกันในใจก็ยังมีความคิดหนึ่งอยู่ราง ๆ ว่า ถ้าหากตนไม่กระโดดลงในหลุมกักดับนี้ ด้วยความงามของโจวเสาจิ่น เฉิงลู่อาจจะยังคงไปล่อลวงผู้อื่นให้กระโดดลงหลุมกักดับนี้อย่างแน่นอน
หากต้องให้มีคนที่ชอบโจวเสาจิ่นปรากฎตัวขึ้นมาอีกหนึ่งคน ไม่สู้ตนรับมือกับเฉิงลู่ด้วยตัวเองยังจะดีเสียกว่า
ดังนั้นเขาจึงนิ่งเฉยให้เฉิงลู่สร้างข่าวลือ และก็อยากจะดูปฏิกิริยาของโจวเสาจิ่นด้วย นอกจากนี้โจวเจิ้นก็ใกล้จะกลับมาแล้ว หากได้ยินข่าวลือเช่นนี้ขึ้นมา ย่อมตรงไปปฏิเสธเฉิงลู่…ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้
สำหรับตัวเขาแล้ว เพียงขอให้ผู้ใหญ่ออกหน้าให้ ข่าวลือพวกนี้ก็จะมลายหายไปเอง
แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวเพิ่งจะเกิดขึ้นไม่ถึงสองสามวันเท่านั้น ก็มีคนมาบอกมารดาของเขาแล้ว
เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง พลันมีความคิดดี ๆ ขึ้นมา
“ท่านแม่” เฉิงสวี่กล่าวขึ้นอย่างจริงใจว่า “มีเรื่องหนึ่งที่ท่านคงจะยังไม่ทราบ เฉิงลู่นั้น คิดจะสู่ขอน้องสาวรองตระกูลโจวมาโดยตลอด” เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นบางส่วนให้หยวนซื่อฟัง กล่าวขึ้นอีกว่า “หากว่านิสัยใจเขาไม่เลว ข้าย่อมไม่ไปยุ่งด้วย แต่ท่านลองคิดดู ด้วยนิสัยของเขาแล้ว จะต้องการสู่ขอน้องสาวรองตระกูลโจวด้วยความจริงใจได้อย่างไรกัน การที่เขากล่าวเช่นนี้ ก็เพราะน้องสาวรองตระกูลโจวเองก็อ่านความคิดของเขาออก จึงไม่ยินยอมพูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว เขาถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และทำลายชื่อเสียงของคุณหนูรองตระกูลโจว”
ถึงแม้ว่าหยวนซื่อจะประหลาดใจ แต่ความคิดที่ซับซ้อนและรอบคอบเหล่านั้นของบุตรชาย ก็ได้เผยออกมาต่อหน้านางแล้ว
นางอดไม่ได้กล่าวขึ้นว่า “ต่อให้เป็นเช่นนี้ เหตุใดเขาต้องใช้เจ้าเป็นโล่กำบังด้วย ต้องเป็นเจ้าที่พูดหรือกระทำอะไรไม่ระมัดระวังเสียบ้าง ทำให้เฉิงลู่ผู้นั้นคิดว่ามีโอกาสสามารถเอาเปรียบได้ถึงจะถูก! ไม่ว่าเฉิงลู่ผู้นั้นจะทำเพื่ออะไร เรื่องนี้ก็ต้องจบลงที่ตรงนี้แล้ว แม่เองก็จะพูดกับเจ้าตามตรงว่า ไม่ง่ายเลยกว่าท่านพ่อของเจ้าจะมาถึงวันนี้ แต่ท่านผู้นำตระกูลจวนรองก็มีข้ออ้างมากมาย อย่างไรก็ไม่ยินยอมนำระเบียนประวัติของตระกูลมาคืนให้พวกเรา ตอนนี้ทุก ๆ ปีเขาล้วนใช้เวลาสองถึงสามเดือนออกเดินทางไปทั่วทุกที่อย่างจนตรอก เพราะกลัวว่าสายสัมพันธ์ที่เคยมีมาจะค่อย ๆ จางหายไป คาดหวังว่าพี่ชายสือของเจ้าจะสามารถได้รับการเสนอชื่อเข้าไปในราชสำนักในเร็ววันจะได้มาช่วยเขาได้อีกแรง ท่านพ่อของเจ้าสามารถมีวันนี้ได้นั้น เขาไม่ได้ออกแรงช่วยเหลือเลยแม้แต่นิดเดียว ในทางกลับกันเพราะว่าเขายังดำรงตำแหน่งสำคัญ ท่านพ่อของเจ้าเพื่อหลบเลี่ยงแล้ว ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ก็ยังทำได้เพียงไป ๆ มา ๆ อยู่ด้านนอกของเจ้ากรมทั้งหกเท่านั้น…เจ้าต้องเร่งสอบเป็นจิ้นซื่อให้ได้ก่อนพี่ชายสือของเจ้า ต่อให้ท่านผู้นำตระกูลจวนรองจะมีฝีมืออีกเท่าไหร่ก็ไม่มีหนทางแล้ว เขาจะยังอยู่ได้อีกกี่ปีกันเชียว ต่อให้เขาจะเหมือนกับเผิงจู่ที่มีชีวิตอยู่ถึงแปดร้อยปี แต่สหายร่วมชั้นสอบขุนนาง และร่วมราชสำนักของเขาเมื่อก่อนเหล่านั้นจะสามารถอยู่ได้ยืนยาวเหมือนเขาขนาดนั้นหรือ ถึงเวลานั้นก็จำต้องนำระเบียนประวัติของตระกูลมามอบให้ถึงมือของจวนหลักของพวกเราอย่างทำอะไรไม่ได้…คิดถึงปีนั้น ท่านปู่ของเจ้าป่วยหนัก บิดาของเจ้ากับท่านอาทั้งสองคนของเจ้าก็ยังเด็ก เขาจึงใช้เหตุนี้เป็นข้ออ้าง แล้วยืมระเบียนประวัติของตระกูลไป ทว่ายืมไปแล้วกลับไม่ยอมคืน…”
เฉิงสวี่ไม่เข้าใจ เขากล่าวอย่างไม่เห็นด้วยว่า “ท่านแม่ พวกเราเป็นจวนหลัก นี่เป็นเรื่องที่ใคร ๆ ต่างก็รู้ดี ต่อให้เขานำระเบียนประวัติของตระกูลไปแล้วจะทำอะไรได้ อย่างมากก็แยกตระกูลเสีย จวนหลักของพวกเราค่อยมาตั้งตระกูลกันใหม่ก็ได้ ด้วยชื่อเสียงและอิทธิพลของจวนหลักในทุกวันนี้แล้ว ไม่แน่ว่าการตั้งตระกูลกันใหม่อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้…”
“เรื่องนี้เจ้าไม่เข้าใจ” สีหน้าของหยวนซื่อค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น กล่าวขึ้นว่า “รายละเอียดปลีกย่อยจริง ๆ ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้นัก ต้องถามท่านพ่อของเจ้า เหมือนกับว่าบรรพบุรุษของตระกูลเฉิงจะมีกฎของตระกูลว่า ผู้ใดเป็นผู้ถือระเบียนประวัติของตระกูล ผู้นั้นจะได้เป็นเจ้าบ้าน ผู้นั้นจะสามารถโยกย้ายคลังกองกลางได้ เจ้าดูท่านพ่อของเจ้า อาศัยเงินเดือนของเขาจะพอเลี้ยงดูพวกเราได้อย่างไร จะพอสำหรับปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนและเข้าสังคมกับเจ้านายผู้สูงกว่าได้อย่างไร จะพอช่วยเหลือสหายร่วมราชสำนักหรือเพื่อนฝูงได้อย่างไร หากไม่ใช่เพราะได้เงินจากคลังกองกลางมาสมทบ พวกเราทั้งครอบครัวก็คงจะอดตายกันไปหมดตั้งนานแล้ว ที่ท่านพ่อของเจ้าสามารถมีชื่อเสียงใหญ่โตอยู่ในเมืองหลวงได้ ทั้งหมดนี้ก็เพราะใช้เงินแลกมาทั้งนั้น!”
เป็นครั้งแรกที่เฉิงสวี่ได้ยินเรื่องนี้ เขากล่าว “ท่านแม่ ไม่ใช่ว่าตอนนี้ท่านอาสี่เป็นผู้ดูแลกิจการของตระกูลอยู่หรือ”
“นั่นก็ต้องให้พวกจวนรองมีคนที่มีความสามารถมาดูแลกิจการถึงจะได้!” หยวนซื่อกล่าวเหน็บแนม “เฉิงสือไปดูแลกิจการแล้ว จะมีเวลาและแรงไปเข้าร่วมการสอบขุนนางได้อย่างไร ไม่เช่นนั้นท่านอาสี่ของเจ้าที่มีตำแหน่งสูงเป็นถึงจิ้นซื่อลำดับที่สอง มีพรสวรรค์และความรู้ความสามารถมากขนาดนั้น จะซ่อนเร้นอยู่ในบ้านไปทำไม ท่านอาสี่ของเจ้ากำลังเสียสละเพื่อท่านพ่อกับท่านอารองของเจ้า!”
เพราะเหตุนี้ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านอา หรือแม้แต่ท่านปู่รองที่อยู่ที่จิงเฉิงกับท่านอาสามต่างก็รู้สึกผิดต่อท่านอาสี่อย่างนั้นหรือ
เฉิงสวี่พึมพำกล่าว “ไม่ใช่ว่าท่านอาสี่ก่อตั้งร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่หรือ อย่างมากก็นำทรัพย์สมบัติของคลังกองกลางทั้งหมดมอบให้จวนรองเสีย แล้วพวกเราแยกตัวมาอยู่เองก็ได้ อาศัยความสามารถของท่านอาสี่ ข้าไม่เชื่อว่าพวกเราจะอยู่ต่อไปไม่ได้!”
“หากว่าเรื่องราวง่ายดายอย่างที่เจ้ากล่าวมาก็คงจะดี!” หยวนซื่อนึกถึงตอนที่ตนเพิ่งจะแต่งงานเข้ามา ตอนที่ยังไม่มีร้านตั๋วแลกเงินอวี้ไท่ก็ได้เสนอไปเช่นนี้เหมือนกัน สามีกลับยิ้มอย่างขมขื่น ในใจบังเกิดความสิ้นหวัง กล่าวขึ้นว่า “ตอนนี้เจ้ายังเด็ก เรื่องบางอย่างยังไม่ถึงเวลาที่จะบอกเจ้า เจ้าต้องเชื่อฟังคำของแม่ ตั้งใจเรียนหนังสือ สอบให้ได้ตำแหน่ง และนำระเบียนประวัติของตระกูลกลับมาให้ได้ เท่านี้แม่ก็ดีใจแล้ว”
เจ้าต้องเชื่อฟังคำของแม่ ตั้งใจเรียนหนังสือ สอบให้ได้ตำแหน่ง แล้วแม่จะหาภรรยาที่สามารถช่วยเกื้อหนุนเจ้าบนเส้นทางราชสำนักให้เจ้าผู้หนึ่ง เท่านี้แม่ก็ดีใจแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่รู้ว่าท่านแม่พูดประโยคนี้กับเขามาแล้วกี่รอบ เพียงแต่ว่าวันนี้เพิ่มมาอีกหนึ่งประโยคว่า และนำระเบียนประวัติของตระกูลกลับมาให้ได้
เมื่อก่อนเขาฟังแล้วอาจจะรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก หรือแม้แต้รู้สึกภาคภูมิใจในความสำเร็จอยู่บ้างเล็กน้อย และคิดว่ามารดาเป็นบุตรสาวของขุนนางระดับสูงในสภา และหากว่าไม่มีข้อผิดพลาดอะไรเกิดขึ้นกับบิดา ก็สามารถเข้าไปในสภาระดับสูงได้ มารดาก็จะเป็นภรรยาของขุนระดับสูงในสภา หากว่าตนก็สามารถเข้าไปในสภาระดับสูงได้เหมือนบิดา มารดาก็จะกลายเป็นคนที่หนึ่งในประวัติศาสตร์…ความรุ่งโรจน์นี้ เขาอยากจะมอบให้กับมารดายิ่งนัก
แต่วันนี้ เขามีความคิดอื่น
“ท่านแม่!” เฉิงสวี่ยิ้มกล่าว “ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนมีดีมีเลว ครอบครัวของภรรยาที่เป็นขุนนาง ถึงแม้ว่าจะสามารถช่วยเกื้อหนุนเส้นทางบนราชสำนักให้ข้าได้ แต่บุตรชายที่เสเพลเหมือน ๆ กันก็จะมาก ปัญหาต่าง ๆ ก็จะมากด้วย อย่างตระกูลของพวกเรา ไม่ใช่ว่ามีถึงห้าจวนหรือ ข้าคิดว่าท่านไม่ลองหาหญิงสาวผู้หนึ่งที่ไร้เดียงสา ครอบครัวไม่ซับซ้อน บิดารับราชการอยู่ในราชสำนัก อย่างน้อยก็ไม่เป็นภาระข้ามาให้ข้า…ข้าจะขยันขันแข็งสร้างความก้าวหน้า และจะสามารถนำบรรดาศักดิ์หนึ่งกลับมามอบให้ท่านแม่ได้อย่างแน่นอน”
หยวนซื่อใจกระตุก
เงื่อนไขที่บุตรชายเสนอออกมานี้ ล้วนกล่าวออกมาโดยอ้างอิงตามสถานะทางบ้านของโจวเสาจิ่นทั้งสิ้น
ดูท่าทางแล้ว บุตรชายคงจะชอบโจวเสาจิ่นแล้วจริง ๆ!
แต่นางจะไม่ยอมมีปัญหากับบุตรชายด้วยเรื่องนี้เป็นอันขาด นางไม่เพียงไม่แสดงอะไรที่แตกต่างออกมา ยังกล่าวยิ้ม ๆ ขึ้นว่า “ข้าเห็นเจ้ากล่าวได้อย่างชัดเจนและเป็นลำดับ เจ้าไปถูกใจหญิงสาวจากตระกูลใดมาแล้วใช่หรือไม่ รีบเล่าให้แม่ฟังว่าเป็นใคร รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วเจ้าไปรู้จักได้อย่างไร”
เฉิงสวี่ไม่กล้าบอก
เขารู้ดีว่า เพียงตนเผยเจตนาออกมาแม้เพียงเล็กน้อย โจวเสาจิ่นก็จะมีความเคลือบแคลงต่อการเจอเขาเป็นการส่วนตัว เขาสามารถไม่สนใจในสิ่งที่เฉิงลู่พูด เพราะด้วยสถานะของเฉิงลู่แล้ว เพียงตระกูลเฉิงปฏิเสธ ก็ไม่มีใครเชื่อคำพูดของเขาแล้ว แต่เขาไม่อาจปล่อยให้ผู้ใหญ่ในบ้านสงสัยในตัวโจวเสาจิ่นได้ ไม่เช่นนั้นต่อให้เขากับโจวเสาจิ่นสามารถหมั้นหมายกันได้จนสำเร็จ โจวเสาจิ่นก็อาจจะไม่สามารถมีชีวิตที่ดีได้ บางทียังอาจทำให้ท่านแม่ไม่พอใจ และมีปัญหาระหว่างแม่สามีกับบุตรสะใภ้…
เขากล่าวยิ้ม ๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ท่านแม่ ข้าเป็นคนเช่นนั้นหรืออย่างไร ที่แอบมองบุตรสาวของผู้อื่นอย่างลับ ๆ ข้าเพียงกล่าวเช่นนี้ คิดเช่นนี้ก็เท่านั้น การตัดสินใจขึ้นอยู่กับบิดามารดา การแนะนำขึ้นอยู่กับพ่อสื่อแม่ชัก ท้ายที่สุดแล้วข้าก็ต้องเชื่อฟังคำของท่านแม่”
“เช่นนั้นก็ดี!” หยวนซื่อกำลังรอประโยคนี้ของบุตรชายอยู่พอดี นางกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “แม่ถูกใจคุณหนูของตระกูลหมิ่นที่ฝู่เจี้ยน เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของหมิ่นเจี้ยนสิงผู้เป็นจ้วงหยวนของการสอบขุนนางประจำปีเหรินเฉิน ตระกูลของพวกเขาเจ้าก็น่าจะเคยได้ยินมาก่อนแล้วถึงจะถูก มีราชครูหนึ่งท่าน จ้วงหยวนสองท่าน ปั่งเหยียนหนึ่งท่าน และจิ้นซื่ออีกสิบสองท่าน…”
ในหัวของเฉิงสวี่มีเสียง หึ่ง ๆ มารดาพูดอะไรไปบ้าง เขาฟังไม่ค่อยชัดเจนนัก ทว่าในใจกลับรู้ดีว่า เรื่องนี้ต้องแย่แล้วแน่ ๆ
ความคิดเกี่ยวกับเรื่องตระกูลหมิ่นของมารดานี้ไม่ใช่เรื่องในหนึ่งวันสองวันนี้อย่างแน่นอน ขอเพียงเป็นเรื่องที่มารดาตัดสินใจแล้ว น้อยครั้งมากที่จะมีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนความคิดได้
เขา กระโดดพรวด ลุกขึ้นมา
“เจ้าจะทำอะไร” สีหน้าของหยวนซื่อเคร่งขึ้น สายตาราวกับมีดตกไปอยู่บนใบหน้าของเฉิงสวี่ “แม่กำลังพูดกับเจ้าอยู่นะ! นี่เจ้าโมโหเรื่องอะไรอีก”
ราวกับมีน้ำเย็นกระบวยหนึ่งราดจากหัวลงมา เฉิงสวี่พลันได้สติกลับมา
เขาเตือนตัวเองอยู่ในใจไม่หยุด
ต้องใจเย็น ๆ อย่างไรก็ต้องใจเย็น ๆ ไม่เช่นนั้นเรื่องราวต่าง ๆ จะต้องยุ่งเหยิง นอกจากนี้ยังอาจจะไม่สามารถสะสางให้เรียบร้อยได้อีกด้วย!
……………………………………………………..