โจวเสาจิ่นเดินตามหลังโจวชูจิ่นผู้เป็นพี่สาวอย่างเชื่อฟัง เฉิงเจียกลับฉวยโอกาสตอนที่เจียงซื่อกับฮูหยินใหญ่เหอกำลังรักษากิริยาต่อกันนั้นค่อยๆ ดึงแขนเสื้อของโจวเสาจิ่นเบาๆ กระซิบเสียงเบาว่า “เมื่อกี้เจ้าได้ยินหรือไม่…คนของตระกูลเหอล้วนกล่าวชมกันว่าเจ้าหน้าตางดงาม รอให้กลับไปแล้วเจ้าต้องช่วยเย็บถุงหอมให้ข้าสองใบ”
“คนของตระกูลเหอก็กล่าวชมเครื่องประดับของเจ้าว่างดงามเช่นกัน” โจวเสาจิ่นนั่งตัวตรง ทว่าริมฝีปากกลับกล่าวขมุบขมิบเสียงเบาว่า “เช่นนั้นเจ้ากลับไปก็ต้องมอบเครื่องประดับให้ข้าสองชิ้นด้วยใช่หรือไม่”
“ได้!” ดวงตาของเฉิงเจียเปล่งประกายระยิบระยับ กล่าวขึ้นว่า “มอบเครื่องประดับให้เจ้าสองชิ้นย่อมได้ แต่เจ้าต้องทำถุงหอมให้ข้าสองชิ้น!”
ตนลืมไปได้อย่างไรว่าเฉิงเจียเป็นผู้มีเงินถุงเงินถังผู้หนึ่ง!
โจวเสาจิ่นลอบรู้สึกเสียใจ ถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “เจ้าต้องการนำถุงหอมไปมอบให้ผู้ใดหรือ ฝีมือเย็บปักของชุ่ยหวนก็ดีมากเช่นกันไม่ใช่หรือ”
“เจ้าอย่าสนใจเลย” เฉิงเจียไม่ยอมบอกโจวเสาจิ่น กล่าวต่อว่า “ขอเพียงเจ้าจำเอาไว้ว่าเจ้าติดหนี้ถุงหอมข้าสองชิ้นก็พอ”
เอาแต่ใจขนาดนี้ได้ด้วยหรือ
โจวเสาจิ่นอยากจะคุยกับเฉิงเจียต่ออีกสักสองประโยค ทว่าเจียงซื่อที่จับตาดูเฉิงเจียอยู่ตลอดก็สาดสายตามาครั้งหนึ่ง
เฉิงเจียกับโจวเสาจิ่นรีบตัดจบบทสนทนา จัดเสื้อผ้านั่งให้เรียบร้อย
เถ้าแก่ของตระกูลเหอจึงเชิญฮูหยินใหญ่กู้ไปช่วยกันปักปิ่น
เจียงซื่อถือกล่องบรรจุปิ่น คนของตระกูลเฉิงตามฮูหยินใหญ่กู้ไปที่ห้องของเหอเฟิงผิงผู้เป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลเหอ
ห้องของเหอเฟิงผิงมีผู้คนมากมาย มีทั้งป้าสะใภ้อาสะใภ้ พี่สาวน้องสาวของเหอเฟิงผิง และยังมีคุณหนูทั้งหลายที่เป็นสหายสนิทของนางอีกด้วย คนที่อยู่ภายในห้องมีจำนวนมากนัก
พอพวกโจวเสาจิ่นเดินเข้าไปก็ได้รับสายตาชื่นชมจากทุกคน
เจียงซื่อรู้สึกภาคภูมิใจอยู่เล็กๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สายตาตกไปอยู่บนร่างของฮูหยินที่สวมชุดเต็มยศขั้นสี่ผู้หนึ่งที่อยู่ภายในห้อง
นางรู้ว่าคนผู้นี้น่าจะเป็นพี่สะใภ้ของฮูหยินใหญ่เหมี่ยน และก็เป็นผู้จะมาดูตัวเฉิงเจีย
เจียงซื่อมองไปที่บุตรสาวครั้งหนึ่ง เห็นเฉิงเจียนั่งอยู่ข้างๆ โจวเสาจิ่นอย่างเรียบร้อย ถึงได้รู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
เด็กสาวทั้งสามคนของตระกูลเฉิงที่มาด้วยนี้มีอายุแตกต่างกัน มารดาของเหอเฟิงผิงแยกออกได้ในทันทีว่าผู้ใดเป็นผู้ใด
นางลอบรู้สึกเสียดายอยู่ในใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หากมองจากรูปร่าง คุณหนูตระกูลโจวดูอ่อนแอบอบบางเกินไปเล็กน้อย คงให้กำเนิดบุตรได้ดีไม่เท่าคุณหนูสี่ของตระกูลเฉิง แต่บิดาของคุณหนูรองตระกูลโจวเป็นจิ้นซื่อขั้นสอง เป็นเจ้าเมืองยศผิ่นขั้นสี่เจิ้ง กำลังรุ่งโรจน์ อนาคตในภายภาคหน้าไม่อาจประมาณการได้…ไม่แปลกที่น้องสามีจะสนใจในตัวนาง อย่างไรก็ตาม ภายใต้โลกใบนี้ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ มารดาของเหอเฟิงผิงจึงเพียงทอดถอนหายใจอยู่ในใจครั้งหนึ่งเท่านั้น
นางนั่งสงวนท่าทีอยู่ในนั้น รอจนกระทั่งเถ้าแก่กล่าวแนะนำถึงได้ยืนขึ้น
เจียงซื่อจับมือของมารดาของเหอเฟิงผิงอย่างกระตือรือร้นเป็นพิเศษ กล่าวชื่นชมว่านางให้กำเนิดบุตรสาวที่ดีงามมาผู้หนึ่ง
เหอเฟิงผิงที่นั่งอยู่ในห้องสวมชุดเพ่ยจื่อลายดอกสีแดงสด เพื่อประกอบพิธีปักปิ่นแล้ว เส้นผมดำเงางามดังเส้นไหมของนางถูกเกล้าเป็นมวยขดก้นหอยอยู่หลังศีรษะสองมวย เผยให้เห็นหน้าผากที่นวลเนียน ตลอดทั้งร่างไม่ได้สวมเครื่องประดับใดๆ ก้มศีรษะลงด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ ไม่กล้าเหลือบสายตาขึ้นมาเลยสักครั้ง
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าน่าสนใจยิ่งนัก
ชาติก่อนนางเคยเห็นแต่เหอเฟิงที่สุขุมงดงาม กิริยามารยาทสง่าอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เคยเห็นเหอเฟิงผิงที่ขี้อายและแฝงความขลาดกลัวเอาไว้เช่นนี้มาก่อน
อาจจะเป็นเพราะสถานะในตอนนั้นกับตอนนี้ไม่เหมือนกัน ตอนนั้นเหอเฟิงผิงต้องสงวนท่าทีของพี่สะใภ้ใหญ่กระมัง
โจวเสาจิ่นเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้ม
เฉิงเจียกล่าวอยู่ข้างๆ นางว่า “คุณหนูใหญ่ตระกูลเหอหน้าตางดงามมากจริงๆ!”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” โจวเสาจิ่นเองก็รู้สึกได้รับเกียรติไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ไม่ดูเล่าว่าเป็นผู้ใดที่เป็นคนเลือกบุตรสะใภ้”
เฉิงเจียหัวเราะเบาๆ
ทันใดนั้นเหอเฟิงผิงเงยหน้าขึ้นหันมามองพวกนาง แล้วก็ก้มหน้าลงไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
โจวเสาจิ่นกับเฉิงเจียต่างก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
ทางด้านโน้น มารดาของเหอเฟิงผิงกับเจียงซื่อเจรจาพาทีกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เถ้าแก่ของตระกูลเหอมองเวลาพลางเอ่ยขึ้นยิ้มๆ ว่า “ได้เวลามงคลแล้ว”
สรรพเสียงต่างๆ ภายในห้องจึงเงียบสงบลง
เจียงซื่อเปิดกล่องออก ฮูหยินใหญ่กู้หยิบปิ่นทองหรูอี้สลักลายเมฆมงคลที่มีน้ำหนักหกเหลี่ยง[1]หกเฉียน[2]ชิ้นนั้นออกมาจากกล่องแล้วปักลงไปบนศีรษะของเหอเฟิงผิง
ทันใดนั้นก็ราวกับเกิดการปะทุของอะไรบางอย่างขึ้นก็ไม่ปาน ภายในห้องมีเสียงกล่าวชื่นชมดังขึ้นมาอีกครั้ง เสียงดังเซ็งแซ่และคึกคัก
ใบหน้าของเหอเฟิงผิงจึงยิ่งแดงเรื่อขึ้น
ฮูหยินใหญ่เหอจึงยิ้มพลางเชิญคนของตระกูลเฉิงไปนั่งพักผ่อนในห้องรับรองแขก
เฉิงเจียกล่าวขึ้นอย่างผิดหวังว่า “นี่เสร็จแล้วหรือ”
“แล้วเจ้าคิดว่ายังมีอะไรอีกหรือ” โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “หากเจ้าต้องการดูความคึกคัก วันที่มารับตัวเจ้าสาวค่อยตามมาอีกครั้ง วันนั้นถึงจะเป็นวันที่คึกคักอย่างแท้จริง!”
เฉิงเจียรู้ว่านั่นย่อมเป็นไปไม่ได้ ถอนหายใจอย่างผิดหวัง คล้องแขนของโจวเสาจิ่นเอาไว้แล้วเดินไปที่ห้องรับรองแขก
ทั้งสองครอบครัวจึงนับว่าได้ดองกันอย่างเป็นทางการแล้ว มารดาของเหอเฟิงผิงจึงลดระยะห่างเพราะความเกรงใจกับเจียงซื่อลง แทนที่ด้วยการเพิ่มความสนิทสนมขึ้นมาหลายส่วน นางกล่าวชื่นชมโจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ถามถึงชีวิตประจำวันของเฉิงเจียขึ้นมา
เฉิงเจียไม่รู้เรื่องอะไร จึงตอบผู้อาวุโสไปอย่างสบายๆ เหมือนยามปกติทั่วไป
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับมีความคิดบางอย่าง
นางคิดคำนวณอยู่ในใจ เหอเฟิงผิงเป็นบุตรสาวคนโตของตระกูล ในเวลานี้น้องชายคนโตของนางเพิ่งจะมีอายุได้สิบสองปี น้องชายคนเล็กอายุเก้าขวบ เช่นนั้นก็ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับเฉิงเจีย…
ระหว่างเดินทางกลับ นางลองหยั่งเชิงเจียงซื่อ “ดูเหมือนว่ามารดาของพี่สะใภ้เหอจะชื่นชอบพี่สาวเจียยิ่งนักนะเจ้าคะ”
เจียงซื่อยิ้มทว่าไม่กล่าวอะไร
เฉิงเจียกลับมุ่ยปากกล่าวว่า “เหตุใดข้าถึงไม่รู้เล่า”
โจวเสาจิ่นทำได้เพียงทอดถอนใจอยู่ในใจ
ขอบเขตของเรื่องนี้ออกจะขยายวงกว้างเกินไป หลี่จิ้งคงได้แต่ต้องขอพรให้ตัวเองมากสักหน่อยเสียแล้ว!
เรือของพวกนางแล่นมาได้ครึ่งทางท้องฟ้าก็มืดลง เนื่องจากเฉิงเจียเมาเรือก็เลยไปนอนพักตั้งนานแล้ว ส่วนโจวชูจิ่นนั่งชมวิวทิวทัศน์กับโจวเสาจิ่นอยู่ครู่หนึ่ง แต่ความตื่นตระหนกก่อนจะถึงผูโข่วกับความเหนื่อยล้าหลังจากที่งานหมั้นเล็กเสร็จสิ้นลงอย่างราบรื่นทำให้ไม่นานนางก็มีสีหน้าอ่อนล้าออกมา
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านพี่ไปพักก่อนเถิดเจ้าค่ะ! ข้าจะไปถามท่านป้าใหญ่หลูสักหน่อย ดูว่ายังเหลืออีกกี่ชั่วยามกว่าจะเดินทางกลับไปถึง และมื้อเย็นของวันนี้จะต้องทำอย่างไรบ้าง”
ตระกูลเหอรั้งให้พวกเขาอยู่รับมื้อเย็นด้วย แต่พวกเขาไม่อยากค้างคืนที่ผูโข่ว จึงยังคงยืนกรานที่จะเดินทางจากมา
โดยปกติแล้วนางไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ แต่นางอยากจะออกไปรับลมสักหน่อย และจะได้เดินเล่นด้วย
โจวชูจิ่นเองก็เหนื่อยล้ามากจริงๆ จึงพยักหน้ายิ้มๆ ให้ฉือเซียงประคองนางไปนอนพักผ่อน
โจวเสาจิ่นออกจากห้องพักโดยสาร มุ่งหน้าไปยังห้องพักผ่อนของเจียงซื่อ
มีคนกำลังสนทนากันอยู่ที่หัวเรือ “…การเดินทางน่าจะต้องใช้เวลาอีกสองชั่วยาม ข้าได้กำชับกับคนขับเรือแล้วว่าให้เร่งเดินทางให้เร็วขึ้นอีกสักหน่อย เหลือเพียงต้องดูว่าเรื่องมื้อค่ำนั้นจะให้ทุกคนรับประทานอะไรง่ายๆ รองท้องไปก่อนหรือว่าจะให้ทางเรือทำอาหารให้สักมื้อหนึ่งขอรับ”
โจวเสาจิ่นเดินเข้าไปอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่
คนพูดหันหน้ากลับมา ท่ามกลางความมืดสลัวนั้น นางเห็นใบหน้าของเฉิงฉือ นิ่งเงียบเอื่อยเฉื่อย เย็นชาและลึกลับ
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
นี่เป็นเฉิงฉือที่นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน
แต่ในเวลาเพียงไม่นาน ใบหน้านั้นก็เผยรอยยิ้มบางเบาออกมา แววตาของเขายังคงเย็นชาเช่นเดิม ทว่าบนใบหน้ากลับอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน ดูเหมือนกับสายลมยามวสันต์พัดผ่านผืนดิน ทำให้อากาศอบอุ่นขึ้นมา
“คุณหนูรอง” เขากล่าวเสียงอบอุ่น “เจ้ามีธุระอะไรหรือ”
สายตาของคนที่อยู่ข้างๆ มองมายังนางประหนึ่งดาบที่เย็นเฉียบก็ไม่ปาน
ตอนนี้เองโจวเสาจิ่นถึงได้ค้นพบว่าคนที่กำลังคุยกับเขาอยู่คือฉินจื่ออัน และบริเวณหัวเรือนี้มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น
นางรีบกล่าวอธิบายว่า “พี่สาวของข้ากับพี่สาวเจียต่างก็พักผ่อนกันหมดแล้ว ข้าออกมาหมายจะสอบถามว่าจะกลับไปถึงจินหลิงเวลาใด แล้วก็จะสอบถามดูว่าจะทำอย่างไรกับมื้อค่ำดีเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวกับฉินจื่ออันว่า “บนเรือมีสตรีอยู่ด้วย ปกติแล้วของบนเรือล้วนไม่พิถีพิถันเท่าไรนัก ข้าว่าระหว่างทางหาสถานที่หนึ่งแล้วสั่งอาหารขึ้นมาก็แล้วกัน”
ฉินจื่ออันขานรับอย่างนอบน้อมว่า “ขอรับ” จากนั้นก็ถอยกลับออกมา กำลังจะเดินผ่านโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าฉินจื่ออันดูเหมือนจะมีเจตคติอะไรบางอย่างกับนาง จึงเบี่ยงตัวหลีกทางให้ฉินจื่ออันโดยสัญชาตญาณ
ฉินจื่ออันกล่าวเสียงเบาประโยคหนึ่งว่า “ขอบคุณมากขอรับ” จากนั้นเดินไปที่ท้ายเรือ
เฉิงฉือจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “อีกประมาณสองชั่วยามพวกเราก็น่าจะถึงเมืองจินหลิงแล้ว เจ้าอยากกลับไปพักผ่อนที่ห้องพักโดยสารสักหน่อยหรือไม่”
นี่ท่านน้าฉือกำลังไล่ตนอยู่ใช่หรือไม่
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เป็นเพราะเมื่อครู่ข้าได้ยินพ่อบ้านฉินกล่าวเช่นนี้ถึงได้เดินเข้ามา…ท่านน้าฉือต้องการอยู่ที่หัวเรือนี้เพียงลำพังครู่หนึ่งกระมัง เช่นนั้นข้ากลับห้องพักโดยสารก่อนนะเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นมีชีวิตมาสองชาติภพ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางทางน้ำ นางเองก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ไม่รู้สึกเมาเรือ
นึกถึงว่าเมื่อกลับไปที่ห้องพักโดยสารแล้วต้องนั่งเหงาอยู่เพียงลำพังแล้ว ท่าทางของนางก็ซึมลงเล็กน้อย
เฉิงฉือเห็นแล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ คาดว่าคนที่มาด้วยล้วนเหนื่อยอ่อนจนต้องไปพักกันหมดแล้ว โจวเสาจิ่นที่ไม่เมาเรือจึงไม่มีแม้แต่เพื่อนสักคนให้อยู่ด้วย จึงได้แต่วิ่งไปทั่วอย่างกระฉับกระเฉงเช่นนี้
สมกับเป็นเด็กน้อยผู้หนึ่งจริงๆ!
เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเองก็เพียงออกมาเดินเล่นเท่านั้น ข้าจำได้ว่าบิดาของเจ้าเคยรับราชการอยู่เมืองที่หนานชังมาก่อน เจ้าเคยไปเยี่ยมบิดาของเจ้าหรือไม่”
โจวเสาจิ่นดูกระดากอาย กล่าวเสียงเบาว่า “ไม่เคยเจ้าค่ะ!”
“อ้อ!” เฉิงฉือกล่าวต่ออย่างไม่ถือสาว่า “ผู้คนจำนวนมากต่างไม่เคยไปยังสถานที่ที่บิดาของตัวเองประจำการมาก่อน เนื่องจากอยู่ไกลเกินไป ถนนหนทางก็ไม่สะดวกนัก พวกเจ้าอายุยังน้อย จะเจ็บป่วยได้ง่ายหากไม่คุ้นเคยกับสภาพอากาศ”
เมื่อก่อนโจวเสาจิ่นไม่เคยคิดจะไปหาบิดา ณ ที่ที่บิดาประจำการอยู่เลยสักครั้ง
นางรู้สึกว่าตนกับพี่สาวอยู่ที่จินหลิงก็ดีแล้ว
แต่ครั้งนี้ไม่ได้เจอบิดามาเป็นเวลานาน อีกทั้งยังเกิดเรื่องมากมายเพียงนี้ นางรู้สึกว่าตนไม่ควรทำตัวห่างเหินกับบิดาขนาดนี้ถึงจะถูก ถึงแม้บิดาจะรับราชการอยู่ที่อื่น แต่ก็เป็นห่วงเป็นใยนางกับพี่สาวเป็นอย่างมาก
ได้ยินเฉิงฉือหาคำแก้ตัวให้นางแล้ว นางรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก ความคิดหนึ่งก็วาบเข้ามา กล่าวขึ้นอย่างไม่คาดคิดว่า “ท่านน้าฉือออกเดินทางไกลบ่อยหรือไม่เจ้าคะ ท่านจะได้ไปเมืองเป่าติ้งบ้างหรือไม่ หากท่านไปเมืองเป่าติ้ง พาข้าร่วมทางไปด้วยได้หรือไม่ ข้าอยากไปดูว่าทางโน้นว่าท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ!”
การเดินทางจากเมืองเป่าติ้งไปจิงเฉิงใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
ไม่แน่ว่านางอาจจะมีโอกาสได้ไปจิงเฉิงสักครั้งหนึ่ง
แต่เมื่อนางนึกถึงเรื่องที่ว่าเฉิงสวี่อยู่ที่จิงเฉิงแล้ว ทันใดนั้นก็ความต้องการอยากไปจิงเฉิงก็มอดลง กลายเป็นหมดความสนใจลงไป
แววตาของเฉิงฉือระยิบระยับเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “เจ้าอยากไปจิงเฉิงมากหรือ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า
อยู่ที่จินหลิงนางเป็นเด็กสาวในห้องหอที่รอวันแต่งงาน นอกจากสถานที่อย่างวัดกันเฉวียนเทือกนั้นแล้ว สถานที่อื่นๆ นางล้วนไม่เคยไปมาก่อน แต่อยู่ที่จิงเฉิงนางเป็นฮูหยินที่รับผิดชอบเรื่องต่างๆ ภายในบ้าน ขอเพียงนางต้องการ ไม่ว่าที่ไหนๆ ก็ไปได้ทุกที่ เมื่อเปรียบเทียบกับจินหลิงแล้ว นางจึงคุ้นเคยกับจิงเฉิงมากกว่า
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าอยากไปทำอะไรที่นั่นอย่างนั้นหรือ”
โจวเสาจิ่นกล่าว “เพียงอยากไปดูสักหน่อยเท่านั้นเจ้าค่ะ!”
น้ำเสียงของนางค่อนข้างผิดหวัง แต่เมื่อฟังจากในมุมของเฉิงฉือแล้วกลับไม่เหมือนกัน
ผู้คนจำนวนมากต่างอยากไปดูจิงเฉิง แต่โจวเจิ้นผู้เป็นบิดาของโจวเสาจิ่นนั้นอยู่ที่เป่าติ้ง
เขาไม่ได้เอ่ยถึงเป่าติ้งแต่ถามถึงจิงเฉิงโดยตรง โจวเสาจิ่นกลับใช้โอกาสนี้บอกว่านางอยากไปดูจิงเฉิง
ผู้คนต่างก็ชอบสถานที่ที่ตนมีความรู้สึกคุ้นเคยด้วย อาจจะเป็นคนผู้หนึ่ง หรืออาจจะเป็นสิ่งของชิ้นหนึ่ง
ไม่ใช่ว่านางควรจะเอ่ยถึงเมืองเป่าติ้งก่อนแล้วค่อยกล่าวถึงจิงเฉิงหรอกหรือ
เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ พลางกล่าว “ตกลง! หากข้าไปจิงเฉิง จะพาเจ้าร่วมทางไปด้วย!”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ดีใจจนเกือบจะกระโดดตัวโหยงขึ้นมา แต่เมื่อนางนึกถึงเฉิงสวี่ ใจของนางกลับเสมือนกับจมดิ่งลงไปยังก้นบึ้งของใต้ทะเลสาบก็ไม่ปาน แววตาเผยความขื่นขมออกมา
“ขอบคุณท่านน้าฉือมากเจ้าค่ะ!” นางกล่าวขึ้นอย่างคนที่ปากไม่ตรงกับใจว่า “แต่ไกลขนาดนั้น เกรงว่าท่านยายกับพี่สาวคงไม่ยอมให้ข้าไปเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวขึ้นว่า “เจ้าไม่อยากเจอเจียซ่านใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นพยักหน้ารับอย่างน่าสงสาร
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าไม่เข้าใจเด็กสาวอย่างพวกเจ้าจริงๆ เจียซ่านยอมลงให้เจ้าถึงเพียงนี้ เหตุใดเจ้าถึงยังรังเกียจเขามากถึงเพียงนี้ เขาทำเรื่องอะไรให้เจ้าไม่ชอบใช่หรือไม่”
*******************************************************
[1] เหลี่ยง หนึ่งเหลี่ยงมีน้ำหนักเท่ากับ 50 กรัม
[2] เฉียน หนึ่งเฉียนมีน้ำหนักเท่ากับ 5 กรัม