ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 229 เรื่องที่สาม

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “งานแต่งงานของเก้าเกอเอ๋อร์กำหนดเป็นวันที่สิบเดือนเก้าปีหน้า ฟังจากท่าทีของตระกูลเลี่ยวแล้ว หลานเขยเลี่ยวต้องเข้าร่วมการสอบขุนนางช่วงสารทฤดู[1] หมายจะเลือกฤกษ์ดีสักวันระหว่างเดือนสาม เดือนสี่และเดือนห้าของปีหน้า อีกไม่กี่วันก็คงจะส่งคนมาหารือเรื่องกำหนดวันแล้ว เท่ากับว่าในหนึ่งปีจะมีงานมงคลจัดขึ้นถึงสองงาน ถึงแม้ว่าล้วนเป็นเรื่องดี แต่ข้าว่ารอให้เสร็จเรื่องงานแต่งของเก้าเกอเอ๋อร์ก่อน เสาจิ่นก็จะโตขึ้นอีกหนึ่งปี พวกเราค่อยไปนั่งเจรจากับบุตรเขยถึงเรื่องของเสาจิ่นกับอี้เกอเอ๋อร์กันดีๆ น่าจะดีกว่า”

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเคารพการตัดสินใจของแม่สามีมาโดยตลอด กล่าวยิ้มๆ ว่า “ถึงเวลานั้นธุระในมือต่างๆ ก็คงเกือบแล้วเสร็จหมดแล้ว พวกเราก็จะได้แบ่งเรี่ยวแรงมาจัดการเรื่องนี้ได้ดีขึ้น ยังคงเป็นท่านที่คิดได้รอบคอบยิ่งเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มน้อยๆ หมายจะกล่าวอะไรอีก ทว่าสองพี่น้องตระกูลโจวผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จเรียบร้อยและเดินเข้ามากันแล้ว นางรีบหันไปส่งสายตาให้บุตรสะใภ้ครั้งหนึ่ง ทั้งสองคนจบบทสนทนาลงยิ้มๆ แล้วพาสองพี่น้องตระกูลโจวเดินไปศาลาทิงอวี่

คนของจวนรองและจวนสามมาถึงกันแล้ว กำลังห้อมล้อมสนทนาอยู่กับฮูหยินซ่ง

โจวเสาจิ่นเห็นเจียงซื่อมีสีหน้าท่าทางสงบนิ่งสบายๆ ไม่มีความเสียใจและกังวลที่ได้ฝังบุตรสาวทั้งเป็นเลยแม้แต่น้อย ก็อดลอบทอดถอนใจไม่ได้

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจียงซื่อไม่รู้ถึงความรุนแรงของเรื่องนี้หรือเป็นเพราะเจียงซื่อได้จัดเตรียมแผนการสำหรับงานแต่งงานของเฉิงเจียเอาไว้เป็นอย่างดีแล้วกันแน่ ในตรงกันข้ามเฉิงเจียกลับดูห่อเหี่ยวประหนึ่งมะเขือม่วงต้องน้ำค้างแข็งก็ไม่ปาน เดินตามหลังมารดาอย่างเงียบๆ ต่อให้มีรอยยิ้มทว่านัยน์ตากลับเผยให้เห็นความเศร้าโศกอยู่หลายส่วน นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจแทนเฉิงเจีย

หลังจากงานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นแล้ว โจวเสาจิ่นถูกจัดให้อยู่โต๊ะเดียวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินซ่ง เนื่องจากคนที่ร่วมโต๊ะด้วยยังมีนายหญิงผู้เฒ่าถัง นายหญิงผู้เฒ่าหลี่และผู้อาวุโสท่านอื่นๆ โจวเสาจิ่นถึงแทบจะไม่ค่อยได้รับประทานอะไรนัก ล้วนคอยดูแลให้การรับรองพวกนาง เมื่อเป็นเช่นนี้ เจิ้งซื่อผู้เป็นสะใภ้ใหญ่สือเห็นแล้วก็ไม่ค่อยชอบใจนัก

เดิมทีคิดว่าเมื่อเฉิงเซิงไปอยู่จิงเฉิงแล้ว ในบรรดาคนรุ่นหลานก็ควรจะเป็นนางที่ได้ชูคอ คิดไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับเชิดชูโจวเสาจิ่น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตั้งใจหรือไม่ตั้งใจกันนะ

หลังจากรับประทานมื้อกลางวันและดื่มชากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพาฮูหยินซ่งไปเดินเที่ยวชมซอยจิ่วหรู

โจวเสาจิ่นติดตามอยู่ข้างๆ

จวนหลักเรียบง่ายทว่ามีรสนิยม จวนรองงดงามหรูหรา จวนสามโอ่อ่าตระการตา จวนสี่สมถะเรียบง่าย จวนห้าสุกสกาวด้วยอัญมณี ทั้งหมดล้วนทำให้ฮูหยินซ่งกล่าวชมไม่ขาดปาก นี่ถึงจะเป็นการได้สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่และร่ำรวยของตระกูลเฉิงที่สั่งสมมานานอย่างแท้จริง

มื้อเย็นก็ยังคงเป็นโจวเสาจิ่นที่อยู่ร่วมโต๊ะให้การรับรอง

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พวกนางไปชมงิ้วกลางคืนที่เรือนซื่ออี๋

ถึงแม้จะเข้าฤดูหนาวแล้ว แต่ทั้งสี่ด้านแขวนผ้าม่านอุ่นและจุดตะเกียงเอาไว้ ดอกยี่โถสีชมพู ดอกซ่อนกลิ่นสีขาว และดอกทับทิมสีแดงสดแข่งกันเบ่งบาน ทำให้คนฉงนสนเท่ห์ประหนึ่งอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ

ฮูหยินซ่งกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ต่างว่ากันว่าบ้านของชนชั้นสูงในเจียงหนานบรรยากาศอบอุ่น ดอกไม้สดงดงาม วันนี้ข้าได้มาเห็นด้วยตาตัวเองถึงได้เชื่อ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า กล่าวขึ้นว่า “พวกข้าก็ได้อาศัยวาสนาของเจ้า หากเจ้าไม่มา ต่อให้พวกข้าอยากจะหาข้ออ้างหนึ่งมารวมตัวกันเช่นนี้ก็คงทำไม่ได้”

“เห็นทีว่าข้าควรจะมาให้บ่อยเสียแล้วเจ้าค่ะ” ฮูหยินซ่งเอ่ยเย้ายิ้มๆ

เจียงซื่อรับคำของนาง “ตอนนี้เป็นฤดูหนาว หากท่านมาช่วงฤดูใบไม้ผลิก็จะได้เห็นทัศนียภาพของฤดูใบไม้ผลิ มาฤดูร้อนก็จะได้เห็นทัศนียภาพของฤดูร้อน กลัวแต่ว่าท่านจะไม่มามากกว่า”

“หากว่ามีเวลาว่าง ข้าต้องมาเยี่ยมเยียนฮูหยินผู้เฒ่าอย่างแน่นอน” ฮูหยินซ่งกล่าวพลางยิ้มน้อยๆ ทุกคนต่างนั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแขน

ปี้อวี้ส่งใบรายการแสดงงิ้วให้ฮูหยินซ่งเลือก

ฮูหยินซ่งบ่ายเบี่ยงไปหลายครั้งก็ไม่อาจบ่ายเบี่ยงได้สำเร็จ จึงเลือกเรื่อง ‘ชมสวนหลังตื่นจากฝัน’ ส่วนฮูหยินผู้เฒ่ากัวเลือกเรื่อง ‘คุณชายสี่ออกตามหามารดา’ มีงิ้วสองเรื่องนี้แล้วเกรงว่าอาจต้องชมงิ้วไปถึงครึ่งค่อนคืน นายหญิงผู้เฒ่าถังกับนายหญิงผู้เฒ่าหลี่และคนอื่นๆ ต่างก็มีสายตาแหลมคมจึงไม่มีใครเลือกงิ้วเรื่องอะไรเพิ่มเติมอีก

บนเวทีมีส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งเริ่มการแสดง

โจวเสาจิ่นนำน้ำชาและของว่างที่สาวใช้ยกเข้ามาวางลงบนโต๊ะน้ำชาข้างๆ ฮูหยินซ่ง แล้วเริ่มอธิบายให้ฮูหยินซ่งทราบคร่าวๆ ว่างิ้วเรื่องนี้แสดงโดยคณะงิ้วใด ใครเป็นตัวละครตัวนาง ใครเป็นตัวละครนางชิงอี[2] ต่างเคยแสดงงิ้วเรื่องอะไรมาบ้าง สถานะชื่อเสียงของคณะงิ้วนี้ในจินหลิงเป็นอย่างไรบ้าง รอจนกระทั่งการแสดงเข้าสู่ช่วงเข้มข้น และฮูหยินซ่งเองก็ชมการแสดงอย่างสนอกสนใจแล้ว นางเปลี่ยนของว่างให้ฮูหยินซ่งใหม่ จากนั้นหันไปส่งสายตาให้เฉิงเจียที่นั่งเล่นนิ้วมืออยู่ไม่ไกลอย่างเงียบๆ แล้วลงจากเรือนไป

ไม่นาน เฉิงเจียก็ตามลงมา

นางถามโจวเสาจิ่นด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “มีอะไร”

อาจเป็นได้ว่ายังโกรธเคืองที่โจวเสาจิ่นปฏิบัติกับอย่างขอไปทีในวันนั้นอยู่

โจวเสาจิ่นกุมมือของนางเอาไว้

สีหน้าของนางดีขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “มีอะไรเจ้าก็พูดมาตรงๆ หากเจ้าอยากจะกล่าวปลอบโยนก็ไม่จำเป็นแล้ว อย่างไรเสียข้าก็เป็นเช่นนี้ไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจแย่ไปกว่านี้ได้อีกแล้ว และข้าก็ไม่กลัวว่าเจ้าจะหัวเราะเยาะด้วย…” ทว่าน้ำเสียงอบอุ่นขึ้นมาก

โจวเสาจิ่นยิ้ม

เฉิงเจียมากจะปากร้ายดังมีดกรีดทว่าใจอ่อนยวบเป็นเต้าหู้อยู่เสมอ

นางกล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “แล้วเจ้ามีแผนการอะไรหลังจากนี้”

เฉิงเจียหม่นหมอง กล่าวเสียงเบาว่า “ข้าก็ไม่รู้ ท่านแม่บอกว่า อีกไม่กี่วันทุกคนก็จะลืมไปเอง แต่ข้าถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้ กลับรู้สึก…รำคาญใจยิ่งนัก!”

โจวเสาจิ่นเข้าใจ

นางตบหลังมือของเฉิงเจียเบาๆ กล่าวขึ้นว่า “คืนนี้เจ้ามาหาข้าที่เรือนก็แล้วกัน! ข้าเอาของกลับมาฝากเจ้าเยอะแยะเลย”

เฉิงเจียพยักหน้าอย่างใจลอย กลับขึ้นไปบนเรือน

แต่ตอนนางเห็นของฝากที่โจวเสาจิ่นซื้อกลับมาฝากนางที่เรือนหว่านเซียงนั้น นางก็พลันมีชีวิตชีวาขึ้นมา “เสาจิ่น เจ้าซื้อของพวกนี้มาจากที่ใดหรือ งดงามยิ่งนัก! เหตุใดเจ้าถึงไม่ซื้อกลับมาให้มากอีกสักหน่อย ยังมีหวีสับอีกหนึ่งชุด วาดลายชมสวนหลังตื่นจากฝันเอาไว้ด้วย…พวกเขาช่างคิดยิ่งนัก!” นางเค้นถามโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าต้องซื้อของฝากกลับมาฝากอาจูและคุณหนูสิบเจ็ดตระกูลกู้ด้วยเป็นแน่ เจ้ารีบเอาออกมาให้ข้าดูหน่อย ข้าอยากดูว่าของที่เจ้ามอบให้พวกนางมีลวดลายอะไรบ้าง”

โจวเสาจิ่นไม่มีทางเลือก จำต้องเอาของที่จะมอบให้พวกอาจูออกมาให้เฉิงเจียดู

เฉิงเจียประเดี๋ยวก็หยิบปิ่นปักผมแก้วขึ้นมาดู ประเดี๋ยวก็หยิบหวีสับขึ้นมาดู สุดท้ายถามโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าส่งแต่ปิ่นปักผมไปให้พวกนางได้หรือไม่ แล้วมอบหวีสับพวกนี้ให้ข้าแทน”

“ย่อมไม่ได้!” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะชื่นชอบหวีสับขนาดนี้ หากรู้แต่เนิ่นๆ ข้าคงซื้อกลับมาให้มากอีกสักหน่อย อย่างไรก็ตาม ข้าได้ยินคนข้างกายของท่านน้าฉือกล่าวว่า เมืองจินหลิงของพวกเรานี้มีร้านหนึ่งชื่อว่า ‘ฮวาเสี่ยงหรง’ ก็ขายหวีสับของฉางโจวโดยเฉพาะ เพียงแต่พวกเราไม่รู้เท่านั้น พวกเราไปเดินเล่นที่นั่นสักวันก็ได้”

เฉิงเจียถึงได้วางมือลง

อย่างไรก็ตาม สีหน้าและอารมณ์ของนางดูดีกว่าก่อนหน้านี้มากนัก

หลายวันต่อมา โจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นผู้เป็นพี่สาวไปเดินเที่ยวเขาและแม่น้ำในเมืองจินหลิงเป็นเพื่อนฮูหยินซ่งภายในการนำของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ถึงแม้ว่าสองพี่น้องตระกูลโจวจะเป็นคนจินหลิง แต่ด้วยระเบียบที่เคร่งครัดของสตรีในห้องหอ กลับไม่เคยมีโอกาสได้มาเดินเที่ยวเช่นนี้เลย ครั้งนี้ได้มาเห็นทัศนียภาพที่เคยเห็นจากแต่ในหน้าหนังสือเหล่านั้นด้วยตัวเอง กล่าวได้ว่าเป็นเพราะได้อานิสงส์จากฮูหยินซ่งแล้ว

แต่การออกไปเที่ยวเล่นอยู่ข้างนอกทุกวันเช่นนี้ก็ทำให้เหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก กระทั่งใบหน้าของฮูหยินซ่งเผยความเหนื่อยล้าออกมาให้เห็น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงแนะนำให้จัดงานเลี้ยงน้ำชาอยู่ในบ้าน และแนะนำฮูหยินชั้นสูงในเมืองจินหลิงให้ฮูหยินซ่งได้รู้จัก “…เจ้าจะได้ใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักคนเพิ่มขึ้น”

ฮูหยินซ่งรู้สึกว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวเตรียมการได้รอบคอบและเหมาะสมยิ่งนัก จึงกล่าวว่า “ดีเจ้าค่ะ” ไม่หยุด

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงให้โจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นสองพี่น้องช่วยเตรียมการเรื่องงานเลี้ยงน้ำชา

ภายใต้การชี้แนะของฮูหยินใหญ่เหมี่ยน โจวชูจิ่นจัดการงานบ้านของจวนสี่ด้วยตัวเองตามลำพังได้แล้ว เรื่องพวกนี้จึงมิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด เมื่อเปรียบเทียบกับงานเลี้ยงของจวนสี่แล้ว งานเลี้ยงของจวนหลักก็เพียงมีข้อกำหนดและมาตรฐานที่สูงกว่าสักเล็กน้อยเท่านั้น แต่จวนหลักมีเงิน โจวชูจิ่นก็เลยไม่มีอุปสรรค จึงไม่มีความยากลำบากอะไร

โจวเสาจิ่นใช้โอกาสนี้ไปเรือนหลีอิน

เฉิงฉือและจี๋อิ๋งล้วนไม่อยู่ หนานผิงกำลังเร่งทำชุดสำหรับฤดูใบไม้ผลิให้เฉิงฉืออยู่

โจวเสาจิ่นผิดหวังยิ่งนัก

หนานผิงถามโจวเสาจิ่นยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรองมีเรื่องอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ”

โจวเสาจิ่นกล่าว “ไม่มีเรื่องอะไร เพียงลองมาดูเท่านั้น ท่านน้าฉือกับแม่นางจี๋อิ๋งไปที่ใดหรือ”

หนานผิงยิ้มพลางให้สาวใช้เด็กนำน้ำชามาให้โจวเสาจิ่น กล่าวว่า “เห็นบอกว่าไปร่วมงานวันเกิดของใครสักคน นายท่านสี่พาแม่นางจี๋อิ๋งไปร่วมอวยพรด้วย หรือไม่ ให้ข้าส่งสาวใช้ไปถามพ่อบ้านฉินดูดีหรือไม่ ดูว่านายท่านสี่ไปร่วมงานวันเกิดของผู้ใดกันแน่…”

คงไม่ดีนักที่โจวเสาจิ่นจะไปสอบถาม รีบกล่าวขึ้นว่า “ไม่ต้องๆ ข้าเพียงถามดูเท่านั้น”

หนานผิงไม่ได้สงสัยอะไร กล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรองมาได้จังหวะพอดี ข้าอยากจะเย็บแถบของชุดนักพรตเต้าเผาให้นายท่านสี่ กำลังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะใช้สีอะไรดี คุณหนูรองรีบมาช่วยข้าดูหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นตอบรับด้วยความยินดี

ชุดที่หนานผิงทำให้เฉิงฉือคือชุดนักพรตเต้าเผาผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดของซงเจียงสีเทาเรียบๆ ตัวหนึ่ง กำลังเตรียมว่าจะเย็บแถบด้วยสีขาวหรือสีน้ำตาลดี

โจวเสาจิ่นกล่าว “เย็บแถบสีเทาเข้มได้หรือไม่!”

“แถบสีเทาเข้ม?” หนานผิงตะลึงงัน ครุ่นคิดพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ปรบมืออย่างห้ามไม่อยู่ ทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี “ความคิดของคุณหนูรองดียิ่ง! เหตุใดข้าถึงไม่เคยคิดมาก่อนว่าใช้แถบสีเดียวกันก็ได้ ข้าจะไปหาผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดที่มีสีเข้มสักหน่อยมาเทียบดูเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นยิ้ม

วิธีการเย็บแถบชุดเช่นนี้ต้องอีกเจ็ดถึงแปดปีหลังจากนี้ถึงจะแพร่หลายมาจากเมืองหยางโจว

ทั้งสองเปรียบเทียบกันอยู่ตรงนั้นกว่าครึ่งค่อนวัน สุดท้ายตัดสินใจว่าจะใช้ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีเทาเข้มเย็บแถบ

“ต้องสวยมากอย่างแน่นอน” หนานผิงกล่าวอย่างพึงพอใจ “ข้าคิดว่าน่าจะใช้กับชุดของสตรีได้ด้วยเหมือนกัน”

โจวเสาจิ่นชื่นชอบแถบประเภทนี้เป็นอย่างมาก ได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นข้าก็จะลองดูด้วย”

หนานผิงสนใจยิ่งนัก กล่าวว่า “หากคุณหนูทำชุดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ข้าดูด้วยนะเจ้าคะ”

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ถึงเวลานั้นเจ้าก็แค่ไปดูก็ได้แล้ว”

ขณะที่พวกนางกำลังคุยกันอยู่นั้น ก็มีเสียงดังมาจากด้านนอกเบาๆ มีสาวใช้เด็กวิ่งเข้ามากล่าวว่า “แม่นางหนานผิง คุณหนูรอง นายท่านสี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นและหนานผิงออกไปต้อนรับ

อากาศเย็นลงแล้วเล็กน้อย แต่เฉิงฉือยังคงสวมชุดสำหรับฤดูใบไม้ร่วงอยู่ ถึงแม้บริเวณเอวที่คาดเข็มขัดผ้าเอาไว้จะเผยให้เห็นว่าเขามีรูปร่างที่แข็งแรง แต่ดูแล้วกลับทำให้คนรู้สึกว่าค่อนข้างหนาวเล็กน้อย

โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “เหตุใดท่านถึงไม่สวมเสื้อผ้าให้หนาสักหน่อย ลมที่พัดมาในเช้าวันนี้เป็นลมเหนือนะเจ้าคะ!”

เฉิงฉือประหลาดใจเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร วันนี้ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินซ่งหรือ”

โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างกระดากอายว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่าต้องการให้จัดงานเลี้ยงน้ำชา ให้ข้ากับพี่สาวช่วยกันจัด พี่สาวของข้าทำได้ดีมาโดยตลอด และข้าเองก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้มาก จึงมาที่นี่เจ้าค่ะ…ตั้งใจว่าจะมาเล่นหมากกับท่านน้าฉือสักสองสามกระดาน…”

เจ้าเด็กคนนี้ มีความคิดอะไรแผลงๆ อีกแล้ว!

ไอ้เรื่องเล่นหมากนั้นผู้อื่นอาจไม่รู้แต่ในใจของนางจะไม่เข้าใจเลยเชียวหรือ นั่นใช้การเล่นหมากหรือ นั่นก็เพียงการแสดงให้มารดาดูก็เท่านั้น ตอนนี้มารดายุ่งอยู่กับการให้การรับรองฮูหยินซ่ง ไหนเลยจะมีเวลามาสนใจเขา! พวกเขายังจะต้องเล่นหมากด้วยกันอยู่อีกหรือ

เฉิงฉือกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าตามข้ามา!”

เขาเดินนำไปที่ห้องหนังสือ

โจวเสาจิ่นเห็นสีหน้าของเขาจริงจังและเคร่งขรึมยิ่งนัก ในใจรู้สึกไม่มั่นคงเล็กน้อย กระซิบถามจี๋อิ๋งที่กลับมาพร้อมเขาว่า “เขาคงไม่ได้ถูกใครรังแกมาจากข้างนอกหรอกกระมัง”

จี๋อิ๋งเหลือบตามองบนครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ข้าเคยเห็นแต่เขารังแกผู้อื่น ยังไม่เคยเห็นใครรังแกเขาเลยสักครั้ง”

“อ้อ!” โจวเสาจิ่นเดินตามเฉิงฉือเข้าไปในห้องหนังสืออย่างไม่ค่อยสบายใจนัก

เฉิงฉือนั่งอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขนหลังโต๊ะหนังสือตัวใหญ่อย่างสบายๆ ถามโจวเสาจิ่นว่า “ว่ามาเถิด! ว่ามีเรื่องอะไรอีก”

……………………………

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน
Status: Ongoing
ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset