เห็นท่าทางที่ทั้งขุ่นเคืองและรำคาญใจนั้นของโจวเสาจิ่นแล้ว เฉิงฉือต้องอดกลั้นไว้ถึงไม่ได้หัวเราะออกมา กล่าวขึ้นว่า “ข้ามาหาเจ้าเพราะมีธุระ!”
โจวเสาจิ่นรีบยืนให้เรียบร้อยอย่างนอบน้อม
เนื่องจากท่านน้าฉือทราบเรื่องที่นางย้อนกลับมามีชีวิตใหม่ และเชื่อในสิ่งที่นางบอกไปด้วย เช่นนั้นการมาหานางคงมิใช่เรื่องเล็กๆ
เฉิงฉือลดเสียงลงกระซิบเล่าเรื่องที่เขาอธิบายให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟังว่านางรู้เรื่องการช่วงชิงตำแหน่งเจ้ากรมพิธีการระหว่างหวงหลี่กับเฉิงจิงได้อย่างไรให้นางฟัง
โจวเสาจิ่นตกใจจนอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไรดี
ท่านน้าฉือช่างกุเรื่องเก่งจริงๆ!
พูดโกหกโดยไม่ต้องเตรียมการเอาไว้ก่อนเลยสักนิด แค่อ้าปากก็กล่าวออกมาได้แล้ว
นางคิดมากว่าสองปีก็ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรให้ท่านน้าฉือเชื่อคำพูดของนางแล้วเอาไปบอกเฉิงจิง แต่ท่านน้าฉือกลับเพียงแค่อ้าปากก็ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเชื่อแล้ว
นี่ถือว่ามีพรสวรรค์ของซูฉินหรือไม่ก็จางอี๋อยู่ใช่หรือไม่นะ
โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “ท่านน้าฉือ ท่านยอดเยี่ยมจริงๆ เจ้าค่ะ! แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังหลอกได้สำเร็จ!”
เฉิงฉือได้ยินแล้วสีหน้ามืดครึ้ม
เหตุใดเด็กผู้นี้ถึงได้พูดจาได้น่ารำคาญใจมากเพียงนี้นะ
เขาลดเสียงลงกล่าวขึ้นว่า “เรียกว่า ‘หลอกลวง’ อะไรกัน นี่คือ ‘กลยุทธ์’ ต่างหาก! ‘กลยุทธ์’ เจ้าเข้าใจหรือไม่ หรือว่าเจ้าอยากให้ผู้อื่นรู้เรื่องที่เจ้าย้อนกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง? หรือว่าเจ้าไม่กลัวว่าจะทำให้แม่ของข้าตกใจจนเสียสติ? หรือว่าเจ้าไม่กลัวว่าจะถูกคนโง่เขลาพวกนั้นคิดว่าเจ้าเป็นสัตว์ประหลาดและจับถ่วงน้ำ?”
โจวเสาจิ่นถูกขู่ให้กลัวจนหน้าซีดเผือด พยักหน้าหงึกๆ
แต่นางก็รู้ดีว่าท่านน้าฉือทำเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการดีต่อตัวนาง…ท่านน้าฉือพูดแล้วว่าไม่อาจบอกผู้อื่น แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเขาก็ปิดบังเอาไว้จริงๆ
นางซาบซึ้งใจยิ่งนัก
เฉิงฉือเห็นนางยอมรับการสั่งสอนแล้ว ในใจถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “เจ้าต้องหัดฉลาดเอาไว้บ้าง! หากผู้อื่นถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เจ้าก็เพียงพูดไปตามนี้ ห้ามเผยพิรุธอะไรต่อหน้าแม่ของข้าเป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะๆ!” โจวเสาจิ่นรีบให้สัญญาอย่างเชื่อฟัง “ข้ารับปากท่านแล้วว่าจะไม่บอกผู้ใด ข้าก็จะไม่บอกผู้ใดเป็นอันขาดเจ้าค่ะ” กล่าวจบ นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสริมขึ้นว่า “แม้แต่พี่สาวข้าก็จะไม่บอกเจ้าค่ะ”
สีหน้าของเฉิงฉือคลายจากความโกรธลงเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นถอนหายใจอย่างโล่งอกครั้งหนึ่ง
ท่านน้าฉือดีกับนางยิ่งนัก นางไม่อยากทำให้ท่านน้าฉือโกรธ
นางถามเฉิงฉือเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านอยากเข้าไปนั่งดื่มชาในห้องสักจอกหรือไม่เจ้าคะ บริเวณนี้เพิ่งจะจุดประทัดเสร็จไปเป็นจำนวนมาก ทั่วบริเวณต่างอบอวลไปด้วยกลิ่นประทัด ได้กลิ่นแล้วชวนให้หายใจไม่ออกเล็กน้อยเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉืออยากจะพูดเรื่องรับนางมาเลี้ยงกับนางอยู่พอดี กล่าวขึ้นว่า “เรื่องดื่มชาไม่ต้องก็ได้ คนในบ้านของพวกเจ้าต่างกำลังยุ่งเรื่องงานแต่งของพี่สาวเจ้าอยู่ ไหนเลยจะมีคนมาต้มน้ำให้ได้ แต่ว่าข้ายังมีธุระต้องการคุยกับเจ้า ไปนั่งในห้องรับรองแขกสักครู่ก็ดีเหมือนกัน กลิ่นประทัดบริเวณนี้ออกจะมากไปจริงๆ ตระกูลเลี่ยวคงจะพอใจกับงานแต่งงานในครั้งนี้เป็นอย่างมาก ประทัดมากราวกับปลูกออกมาจากที่ดินของตัวเองก็ไม่ปาน จุดติดต่อกันไม่หยุด คิดไม่ถึงว่าพี่ชายใหญ่ของข้าจะเป็นพ่อสื่อได้เยี่ยมยอดถึงเพียงนี้!”
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นหัวเราะ กำลังจะเดินไปยังห้องโถงรับรองพร้อมกับเฉิงฉือ เฉิงเจียกลับวิ่งเข้ามา พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น เจ้ามายืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร เพียงพริบตาเดียวข้าก็ไม่เห็นเจ้าแล้ว เกี้ยวเจ้าสาวของพี่สาวชูจิ่นกำลังจะออกจากถนนผิงเฉียวแล้ว เจ้าไม่ไปดูสักหน่อยหรือ…” ขณะที่นางกล่าวอยู่นั้น เสียงก็หยุดลงกะทันหัน ร้องเสียงหนึ่งออกมาอย่างประหลาดใจว่า “ท่านอาสี่ฉือ” ยืนเอามือแนบลำตัวอย่างสบายๆ อยู่ตรงนั้น ทว่านัยน์ตาโตทั้งคู่กลับมองไปที่โจวเสาจิ่นที แล้วก็มองไปที่เฉิงฉือที สุดท้ายสายตาไปหยุดอยู่บนร่างของโจวเสาจิ่น ด้วยใบหน้าที่มีคำถามว่า “ท่านอาสี่ฉือมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร” เขียนอยู่เต็มใบหน้า
“ท่านน้าฉือมาร่วมงานเลี้ยง” โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ ขณะที่กล่าว “เจอกันตรงนี้โดยบังเอิญ จึงคุยกันสองสามประโยค พี่สาวเจีย ท่านมาหาข้าเพื่อจะบอกว่าเกี้ยวเจ้าสาวของท่านพี่กำลังจะออกจากประตูไปแล้วอย่างนั้นหรือ ข้าตั้งใจรั้งอยู่ตรงนี้เอง ข้ากลัวว่าเมื่อเห็นเกี้ยวเจ้าสาวของท่านพี่ออกจากประตูไปแล้วจะอดร้องไห้ออกมาไม่ได้!”
“พูดอะไรน่ะ” เฉิงเจียก้าวออกมาดึงมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้ พลางกล่าว “หากเจ้าไม่ไปดูจะเสียใจภายหลังได้!” กล่าวจบ นางหันไปยิ้มหวานให้เฉิงฉือ พลางกล่าว “ท่านอาสี่ฉือ ท่านยืนตรงนี้สักครู่หนึ่งก่อนนะเจ้าคะ ข้ากับน้องสาวรองไปครู่เดียวเดี๋ยวก็มาแล้วเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ลากโจวเสาจิ่นมุ่งหน้าไปยังด้านนอกโดยไม่รอคำทัดทานอะไรอีก
“พี่สาวเจียๆ!” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างร้อนรน “ข้าไม่อาจเดินจากไปเช่นนี้ได้ ท่านน้าฉือยังอยู่ตรงนี้อยู่เลยนะเจ้าคะ!”
เฉิงเจียกลับกล่าวว่า “ทางด้านของท่านอาสี่ฉือให้พ่อบ้านมาอยู่เป็นเพื่อนก็ได้แล้ว พวกเรารีบไปที่ประตูใหญ่กันเถิด! เมื่อครู่ฮูหยินหลายท่านต่างก็ร้องไห้ออกมา”
เอาเถิด!
ต่อให้นางไม่ตามเฉิงเจียไปดูความครึกครื้น ด้วยนิสัยของเฉิงเจียแล้ว นางไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าจะได้คุยกับท่านน้าฉือตามลำพังอย่างสงบได้
คงได้แต่ต้องรอให้ผ่านไปครู่หนึ่งแล้วค่อยหาโอกาสมาถามท่านน้าฉือว่ายังมีธุระอะไรต้องการคุยกับนางอีก!
โจวเสาจิ่นหันไปยิ้มให้เฉิงฉืออย่างขอลุแก่โทษ ถูกเฉิงเจียลากให้เดินไปด้วยอย่างโซซัดโซเซ
นัยน์ตาของเฉิงฉือมีความไม่พอใจสายหนึ่งวาบผ่าน
***
สุดท้ายเฉิงเจียก็ไปถึงช้าไปก้าวหนึ่ง
กระทั่งตอนที่นางลากโจวเสาจิ่นไปถึงประตูใหญ่นั้น เกี้ยวเจ้าสาวของโจวชูจิ่นก็ออกไปแล้ว ตรงประตูใหญ่เหลือเพียงเศษกระดาษสีแดงเกลื่อนเต็มพื้นกับกลิ่นควันที่อบอวลอยู่กลางอากาศเท่านั้น
เฉิงเจียกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้าดูเจ้าสิ พลาดจนได้!”
โจวเสาจิ่นกลับพึมพำกล่าวอย่างใจลอยว่า “บางเรื่อง เพราะเจ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง จึงแสร้งทำเป็นว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นได้ ข้าไม่ได้เห็นพี่สาวออกจากบ้านด้วยตาตัวเอง ก็เสมือนกับว่าพี่สาวเพียงออกจากบ้านไปเท่านั้น อีกไม่กี่วันก็กลับมาแล้ว…”
“ขอยอมพ่ายแพ้แก่เจ้าแล้วจริงๆ!” เฉิงเจียกล่าวอย่างไร้ทางเลือก “เจ้าอยากหลอกตัวเองและผู้อื่นเช่นนี้ ข้าเองก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว อย่างไรก็ตาม พี่สาวชูจิ่นจะกลับมาเยี่ยมบ้านเมื่อใดหรือ ถึงเวลานั้นข้าอยากมาเยี่ยมนาง”
“อีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้” โจวเสาจิ่นและเฉิงเจียคุยกันไปด้วย มุ่งหน้าเดินไปยังห้องโถงรับรองไปด้วย บรรดาบ่าวรับใช้ต่างทำความเคารพและกล่าวทักทายพวกนางมาตลอดทาง “วันนั้นที่เจ้าบอกว่าอยากมาค้างกับข้าคืนหนึ่ง เป็นเพราะต้องการคุยเรื่องของหลี่จิ้งกับข้าใช่หรือไม่”
เฉิงเจียหน้าแดง กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าอยากฟังความเห็นของพี่สาวชูจิ่นด้วยเช่นกัน รอให้พี่สาวชูจิ่นกลับมาเยี่ยมบ้าน เจ้าช่วยมาแจ้งข้าสักหน่อย ดูว่าข้าจะหาโอกาสมาอยู่เป็นเพื่อนพี่สาวชูจิ่นสักครั้งได้หรือไม่!”
เนื่องจากทั้งสองบ้านอยู่ห่างกันไกล แผนการที่เดิมทีตั้งใจไว้ว่าจะยกเลิกประเพณีกลับมาเยี่ยมบ้านของเจ้าสาวก็ถูกฟางซื่อยืนกรานให้เปลี่ยนเป็นกลับมาหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนแทน ด้วยเหตุนี้โจวชูจิ่นยังได้พักอยู่ที่บ้านอีกสามวันแล้วค่อยกลับไปอีกด้วย
โจวเสาจิ่นหัวเราะเบาๆ
ถ้ามิใช่เพราะมีเรื่องรบกวนใจ เฉิงเจียจะยอมเสียเรี่ยวแรงมากมายเพียงนี้ที่ประเดี๋ยวก็อยากฟังความเห็นของนาง ประเดี๋ยวก็อยากฟังความเห็นของพี่สาวไปเพื่ออันใด
เฉิงเจียหน้าขึ้นสีแดงเรื่อ ยื่นมือไปหยิกโจวเสาจิ่น “เจ้าเด็กน่าตาย ข้าปล่อยให้เจ้าได้เห็นเรื่องตลกแล้ว!”
โจวเสาจิ่นหัวเราะพลางหมุนกายหลบเลี่ยงมือของเฉิงเจีย รีบเดินเร็วๆ ไปยังห้องโถงรับรอง
ภายในห้องโถงรับรองกลับว่างเปล่าไร้ผู้คน
โจวเสาจิ่นผิดหวังยิ่งนัก ถามสาวใช้ที่กวาดพื้นอยู่ในห้องโถงรับรองว่า “นายท่านสี่ของตระกูลเฉิงเล่า”
สาวใช้เด็กไม่รู้ว่าผู้ใดคือนายท่านสี่ของตระกูลเฉิง จึงตอบไปว่า “คุณหนูรอง ตอนที่ข้าเข้ามา ภายในห้องโถงรับรองนี้ก็ไม่มีคนอยู่แล้วเจ้าค่ะ!”
บางทีอาจไปที่งานเลี้ยงแล้ว
โจวเสาจิ่นสั่งให้สาวใช้เด็กไปดูว่าเฉิงฉือนั่งอยู่ตรงไหน
สาวใช้เด็กรับคำแล้วออกไป
เฉิงเจียเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าจะสนใจว่าเขาจะนั่งตรงไหนไปทำไม เจ้ากลัวว่าเขาจะไม่มีที่นั่งหรือ”
“จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า!” โจวเสาจิ่นกล่าว “ข้าสั่งให้พวกพ่อบ้านคอยดูท่านน้าฉือและจัดหาที่นั่งให้เขาตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าการที่พวกเราทิ้งท่านน้าฉือเอาไว้ที่ห้องโถงรับรองเช่นนั้นไม่ค่อยเหมาะสมนักก็เท่านั้น”
เฉิงเจียกล่าวอย่างไม่เห็นด้วยว่า “เจ้าอย่าทำราวกับว่าท่านอาสี่ฉือทำจากกระจกที่เปราะบางแตกหักง่ายจะได้หรือไม่ เขาเก่งกาจฉลาดหลักแหลมถึงเพียงนั้น เจ้ายังกลัวว่าเขาจะหาที่นั่งกินดื่มไม่ได้อีกหรือ ถ้าหาไม่ได้จริงๆ เช่นนั้นก็ถือว่าชื่อเสียงของเขาที่เป็นถึง ‘นายท่านสี่เฉิง’ ก็เปล่าประโยชน์เสียแล้ว!”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ตนได้พบกับเฉิงฉือเป็นครั้งแรกขึ้นมา…นางเอ่ยขึ้นอย่างลังเลว่า “ด้านนอกนั้นชื่อเสียงของท่านน้าฉือโด่งดังมากหรือ”
“ไอโหยว เจ้าทำให้ข้าไม่รู้จะกล่าวอะไรดี” เฉิงเจียสั่งสอนโจวเสาจิ่น “บางทีเจ้าก็ควรจะออกไปร่วมงานสังคมบ้าง อย่าเอาแต่อยู่แต่ในบ้านทั้งวัน แม้แต่คนรอบข้างเป็นคนเช่นไรบ้างเจ้าก็ไม่รู้ อย่างพี่ชายใหญ่ของข้าก็เป็นหนึ่งในสี่คุณชายของจินหลิง พี่ชายใหญ่สือของจวนรองก็เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของจิตรกรซวงซี เชี่ยวชาญการวาดวิหคและบุบผา มีชื่อเสียงไปทั่วทั้งเจียงหนาน เคยมีคนออกเงินค่าหมึกถึงห้าร้อยเหลี่ยงเพื่อเชิญพี่ชายใหญ่สือไปวาดภาพ ส่วนท่านอาสี่ฉือมีชื่อเสียงว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย ใครจะต้านทานเงินตราได้เล่า! คนในเมืองจินหลิงมีใครบ้างที่พบเขาแล้วไม่เรียกขานเขาอย่างนอบน้อมว่า ‘นายท่านสี่เฉิง’! เจ้าคิดว่าเพราะเหตุใดซื่อจื่อของจวนเหลียงกั๋วกงถึงได้ดีกับท่านอาสี่ฉือนักเล่า นั่นก็เพราะว่าในปีนั้นที่มีฝนตกหนัก สร้างความเสียหายให้บ้านเรือนของผู้คนไปเป็นจำนวนมาก องค์ฮ่องเต้มีรับสั่งให้จวนเหลียงกั๋วกงออกหน้าไปช่วยเหลือทางการเพื่อป้องกันภัยของเมืองจินหลิง แต่ใครจะรู้ว่าเหลียงกั๋วกงกลับดึงกำลังคนไปช่วยซ่อมแซมจวนเหลียงกั๋วกงของตัวเอง ถูกขันทีที่ประจำการเฝ้าอารักขาอยู่นำความไปฟ้องร้อง หากมิใช่ว่าท่านอาสี่ฉือออกหน้าช่วยจัดการให้ล่ะก็ ไม่รู้ว่าจวนเหลียงกั๋วกงจะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว!” กล่าวถึงตรงนี้ นางกัดฟันกรอดเล็กน้อย “แต่ใครจะรู้ว่าพวกเขากลับมีแผนการหมายจะสู่ขอข้า พอข้านึกถึงจวนเหลียงกั๋วกงที่ถึงแม้จะมีชีวิตอยู่อย่างหรูหราทว่าก็ต้องใช้ชีวิตอย่างหมิ่นเหม่ไม่แน่นอนนั่นแล้วก็อดรู้สึกเศร้าใจแทนอาจูขึ้นมาไม่ได้…”
โจวเสาจิ่นฟังแล้วก็ใจลอยเล็กน้อย
หากท่านน้าฉือเป็นอย่างที่เฉิงเจียกล่าวมาจริงๆ เขาในตอนนี้ที่ทราบถึงชะตาร้ายของตระกูลเฉิงในอนาคตแล้ว จะมีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้างนะ
จะไปขอความช่วยเหลือจากเฉิงจิง หรือว่าจะลอบคิดกลยุทธ์เองเงียบๆ คนเดียวนะ
***
หลังจากส่งแขกเรียบร้อยแล้ว ตระกูลโจวก็ค่อยๆ เงียบเหงาขึ้นมา
หลี่ซื่อมองบ่าวรับใช้ที่กำลังจัดเก็บสถานที่กันอยู่ พลางกล่าวกับโจวเสาจิ่นด้วยอารมณ์อ่อนไหวเล็กน้อยว่า “ถึงว่าผู้คนล้วนไม่ปรารถนาแต่งบุตรสาวออกไป ก็เพราะความเงียบเหงาที่หลงเหลือหลังจากผ่านความครื้นเครงไปแล้วทำให้คนเศร้าอาดูรยิ่งนัก”
จริงด้วย!
และก็ไม่รู้ว่าท่านน้าฉือไปอยู่ที่ไหนแล้ว
สุดท้ายเขาก็ไม่ได้อยู่ในงานเลี้ยง
เป็นเพราะมีธุระเลยต้องจากไปก่อน หรือเพราะเกิดเรื่องอะไรอย่างอื่นกันแน่ก็ไม่รู้ได้
โจวเสาจิ่นพูดคุยแลกเปลี่ยนกับหลี่ซื่อหลายประโยค แล้วก็ขอตัวกลับห้องโดยอ้างว่าเหนื่อยล้ามากแล้ว
ชุนหว่านและอีกหลายคนกำลังนั่งคุยกันอยู่ใต้โคมไฟ เมื่อเห็นโจวเสาจิ่นเดินเข้ามา หลายคนต่างก็ยิ้มพลางลุกขึ้นมา ปี้เถาที่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งมีความกล้าถึงกับกล่าวยิ้มๆ ขึ้นว่า “คุณหนูรอง ตระกูลเลี่ยวช่างมีน้ำใจยิ่ง! มอบตั๋วเงิน ‘หนึ่งร้อยเหลี่ยง’ ให้ท่านถึงสองใบเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นหัวเราะ พลางกล่าว “เป็นเช่นนั้นจริงๆ! เจ้าไปบอกชุนหว่านให้นำเงินจากบัญชีของข้ามาห้าเหลี่ยง ให้ห้องครัวจัดโต๊ะอาหารเลี้ยงพวกเจ้า”
ทุกคนต่างหัวเราะออกมาอย่างพร้อมเพียงกันพร้อมกับกล่าวขอบคุณนาง
โจวเสาจิ่นกลับคิดถึงเรื่องของเฉิงฉือ
ไม่รู้ว่าตกลงเขาต้องการคุยอะไรกับตนกันแน่
กลัวแต่ว่าจะเกี่ยวกับเรื่องการย้อนกลับมามีชีวิตใหม่ของนาง จะส่งคนไปสอบถามสักคนก็ทำไม่ได้!
ตอนที่เขาออกไปนั้นไม่รู้ว่ามีคนออกไปส่งเขาหรือไม่
ที่ผ่านมายามอยู่ตระกูลเฉิงท่านน้าฉือก็มักจะอยู่เงียบๆ เป็นคนที่ไม่ถูกผู้คนสังเกตเห็นผู้นั้น หากมาเป็นแขกถึงตระกูลโจวแล้วก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่อีก เช่นนั้นก็ถือว่าไม่คุ้มกับเงินขวัญถุงจำนวนสองร้อยเหลี่ยงที่เขาให้มาเสียแล้ว!
ในใจของโจวเสาจิ่นราวกับมีก้อนหินกดทับอยู่ก็ไม่ปาน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจสงบใจลงได้
ส่วนพวกชุนหว่าน เมื่อนึกถึงเรื่องที่ว่าหลังจากที่หลี่ซื่อเสร็จจากพิธีต้อนรับโจวชูจิ่นกลับมาเยี่ยมบ้านก็ต้องเดินทางกลับเมืองเป่าติ้งแล้ว ก็เริ่มจัดเก็บหีบสัมภาระต่างๆ
หลี่ซื่อที่เข้ามาดูหลังจากเสร็จจากเรื่องงานแต่งของโจวชูจิ่นแล้วพบว่าโจวเสาจิ่นมีหีบสัมภาระเพียงไม่กี่หีบเท่านั้น ก็ให้รู้สึกแปลกใจยิ่งนัก
โจวเจิ้นจะส่งสิ่งของสำหรับเก็บเอาไว้เป็นสินสอดมาให้บุตรสาวทั้งสองทุกๆ ปี จึงไม่มีทางที่โจวเสาจิ่นจะมีหีบสัมภาระเพียงไม่กี่หีบเท่านั้นนี่นา
โจวเสาจิ่นกล่าวอธิบายยิ้มๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะอยู่ที่ตระกูลเฉิงต่อไปหรือจะไปอยู่ที่เมืองเป่าติ้งดี ของบางส่วนจึงไม่ยังไม่ได้นำมาด้วยเจ้าค่ะ” เสียงยังไม่ทันสิ้นสุดลง นางก็หัวเราะขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่เสียแล้ว
ไม่แปลกที่ท่านน้าฉือจะไม่ชอบที่นางโง่เขลา นางก็โง่เขลาจริงๆ นั่นแหละ
จริงๆ แล้วนางสามารถใช้ข้ออ้างยามไปเก็บของที่ซอยจิ่วหรูเพื่อไปสอบถามท่านน้าฉือว่ามาหานางด้วยธุระอันใดได้นี่นา
………………………………..