เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ใจของโจวเสาจิ่นก็สงบลงมา
กระทั่งการจัดเก็บข้าวของที่ถนนผิงเฉียวเกือบจะเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางจึงไปแจ้งหลี่ซื่อให้ทราบ แล้วพาชุนหว่านไปยังเรือนเจียซู่ที่ซอยจิ่วหรู
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากวนเห็นนางก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง ดึงมือของนางเอาไว้พลางสอบถามว่า “วันนี้เจ้ามาได้อย่างไร มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“เนื่องจากไม่มีธุระอะไร จึงมาเยี่ยมท่านกับท่านป้าใหญ่เจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นเรียนรู้จากเวลาที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสนทนาแลกเปลี่ยนกับผู้คน แล้วก็จำนำมาใช้ยามเข้าสังคม
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนได้ยินแล้วก็ยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ ไม่เพียงให้สาวใช้ยกของว่างที่นางชื่นชอบมาให้เป็นจำนวนมากเท่านั้น ยังให้นางพักอยู่ด้วยอีกสองสามวัน “…เรือนหว่านเซียงยังคงเก็บเอาไว้พวกเจ้าสองพี่น้อง บ่าวรับใช้ต่างๆ ล้วนยังคงอยู่ ส่วนพวกเครื่องประดับต่างๆ ก็ใช้ของป้าใหญ่ของเจ้าก็ได้แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องพกแม้แต่เสื้อผ้ามาเลยสักชุดก็ได้”
โจวเสาจิ่นขานรับอย่างดีอกดีใจ กล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินบอกว่า หลังจากท่านพี่กลับมาเยี่ยมบ้านแล้ว จะพาข้ากลับไปที่เมืองเป่าติ้งด้วยเจ้าค่ะ ข้าจึงได้ใช้เวลาสองสามวันนี้เข้าจวนมาอยู่เป็นเพื่อนท่านกับท่านป้าใหญ่เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนตะลึงงัน กล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินโจวต้องการพาเจ้ากลับไปเมืองเป่าติ้งด้วยอย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ท่านพี่แต่งงานแล้ว ข้าเองก็โตแล้ว คงจะไม่ดีนักหากจะอยู่ที่ถนนผิงเฉียวเพียงลำพัง ดังนั้นฮูหยินจึงบอกว่าให้ข้าตามนางกลับไปเมืองเป่าติ้งด้วย ท่านพ่อรับราชการอยู่ที่อื่นมาตลอด ข้าเติบโตเพียงนี้แล้วก็ยังไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนคุยกับท่านพ่อดีๆ เลยสักครั้ง ก็ถือเป็นการดีที่จะได้อยู่กับท่านพ่อช่วงหนึ่งเจ้าค่ะ” ขณะที่นางกล่าว จู่ๆ ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวขึ้นว่า “ท่านยาย ข้าได้ยินว่าผักดองซีอิ๊วของหอต้าฉือที่เมืองเป่าติ้งเลื่องชื่อยิ่งนัก ถึงเวลานั้นข้าจะนำกลับมาให้ท่านลองชิมดูนะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเห็นโจวเสาจิ่นพูดถึงเรื่องกลับเมืองเป่าติ้งด้วยความยินดี ครุ่นคิดว่าตนเลี้ยงดูนางมาช่วงหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วใจของนางยังคงรู้สึกคะนึงหาบิดามารดาของตัวเอง ในใจรู้สึกหม่นหมองเล็กน้อย แต่ต่อมาเมื่อเห็นว่านางพูดจาราวกับเด็กน้อยผู้หนึ่ง ที่อยากจะนำผักดองซีอิ๊วกลับมาฝากนาง ประหนึ่งว่านางเพียงไปอยู่ที่นั่นไม่กี่วันก็กลับมาแล้ว ในใจก็กลับมารู้สึกเป็นสุขขึ้นมาเล็กน้อย
นางยิ้มร่าพลางกล่าว “แล้วเสาจิ่นยินดีจะอยู่เป็นเพื่อนยายต่อไปหรือไม่เล่า”
โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตักอยู่ครู่หนึ่ง
เหตุผลที่นางยังไม่พูดเข้าเรื่องที่นางอยากจะขนย้ายข้าวของที่เก็บไว้ในเรือนหว่านเซียงไปที่ถนนผิงเฉียวในทันทีที่พบหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็เพราะกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนจะคิดว่านางไร้หัวใจไม่คิดถึงผู้อื่น แต่คิดไม่ถึงว่าคำพูดดีพร้อมไร้ที่ติแล้ว ทว่าเรื่องราวกลับยังมีข้อผิดพลาดอยู่ กล่าวคือ ฮูหยินผู้เฒ่ากวนถึงกับต้องการเก็บนางไว้ที่ซอยจิ่วหรู นั่นมิใช่เท่ากับว่ามีใจแน่วแน่ต้องการให้นางแต่งงานกับเฉิงอี้หรอกหรือ!
แต่นางกลับไม่กล้าพูดอะไรแม้สักประโยคเดียว ได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเท่านั้น
“ข้าย่อมยินดีอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นฝืนทำใจดีกล่าวสิ่งที่ตรงข้ามกับความในใจ “แต่ว่าทางด้านท่านพ่อ…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มพลางกล่าวในทันทีว่า “ทางด้านบิดาของเจ้า ข้าจะพูดให้เอง ข้ากลัวแต่ว่าเจ้าเห็นพี่สาวของเจ้าออกเรือนไปแล้ว จะไม่ต้องการฮูหยินแก่ๆ โดดเดี่ยวอย่างข้าอีกแล้ว จึงตั้งใจมาถามเจ้าเป็นพิเศษ”
ถึงกับนำอุบายนี้มาใช้แล้ว โจวเสาจิ่นยิ่งรู้สึกว่าวัตถุประสงค์ที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนต้องการเก็บนางเอาไว้ยิ่งไม่ธรรมดาแล้ว
“ได้เจ้าค่ะ!” นางกล่าวยิ้มๆ ทว่าในใจกลับคำนวณแผนการว่าเมื่อกลับไปแล้วจะเขียนจดหมายให้บิดาฉบับหนึ่ง จากนั้นให้ม้าเร็วนำไปส่งให้บิดา ทางด้านของหลี่ซื่อเองก็ต้องแจ้งให้ทราบด้วยเช่นกัน ห้ามมิให้เกิดเรื่องที่ว่าขายนางออกไปเพราะไม่ทราบสถานการณ์เป็นอันขาด
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพึงพอใจกับความว่าง่ายและเชื่อฟังของโจวเสาจิ่นเป็นอย่างมาก
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับเสมือนกับนั่งอยู่บนเบาะที่เต็มไปด้วยเข็มก็ไม่ปาน ชั่วขณะนั้นอยากให้มีปีกงอกออกมาแล้วรีบบินกลับออกไปในทันที ไหนเลยจะได้ยินสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพูด กระทั่งตอนได้ยินฮูหยินผู้เฒ่ากวนเรียกให้สาวใช้ไปเชิญฮูหยินใหญ่เหมี่ยนมา นางก็ยิ่งนั่งไม่ติดที่ หาโอกาสหนึ่งลุกขึ้นพลางกล่าว “ท่านยาย หากว่าท่านป้าใหญ่กำลังยุ่งอยู่ พวกเราก็อย่าเพิ่งรบกวนนางเลยเจ้าค่ะ ข้าไปทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เรือนหานปี้ซานก่อน แล้วค่อยกลับมาสนทนากับท่านป้าใหญ่ก็ได้เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนตั้งใจจะให้โจวเสาจิ่นได้รับการเลี้ยงดูอยู่ที่จวนหลัก จึงเป็นธรรมดาที่จะยินดีที่เห็นว่าโจวเสาจิ่นใกล้ชิดกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว นางยิ้มพลางพยักหน้า ย้ำกำชับกับโจวเสาจิ่นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดปรานเจ้ายิ่งนัก ตอนที่เจ้าไม่อยู่ เรือนหานปี้ซานก็เงียบเหงาไม่น้อย เจ้าไปแล้ว ก็อยู่สนทนากับฮูหยินผู้เฒ่าสักครู่หนึ่ง หากฮูหยินผู้เฒ่ารั้งให้เจ้าอยู่รับมื้อเที่ยงด้วย เจ้าก็รับมื้อเที่ยงให้เสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยกลับมา ช่วงบ่ายป้าใหญ่ของเจ้ามักจะว่างไม่มีธุระอะไรแล้ว”
โจวเสาจิ่นรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนดูรักใคร่จวนหลักเพียงนี้ แต่นางเองก็มีเจตนาจะอยู่ที่จวนหลักให้นานสักหน่อย จึงไม่คิดอะไรให้มากอีกพร้อมกับขานรับยิ้มๆ แล้วรีบเดินไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างรวดเร็ว
ทว่านางไม่ได้เดินไปที่เรือนหลัก แต่แอบเดินวนรอบหนึ่งอย่างเงียบๆ แล้วตรงไปที่เรือนหลีอิน
แสงแดดของฤดูใบไม้ผลิดียิ่งนัก ชิงเฟิงนั่งอาบแดดอยู่บนธรณีประตูกำลังคุยอยู่กับนักพรตเด็กที่มีอายุไล่เลี่ยกันกับเขาผู้หนึ่งอยู่
นักพรตเด็กผู้นั้นสวมชุดนักพรตเต้าเผาผ้าไหมสีดำ ผิวขาวละเอียด หน้าตาหล่อเหลา ดูเสมือนกับคุณชายของบ้านใดบ้านหนึ่ง ไม่เหมือนคนที่คอยรับใช้ผู้อื่น ทว่าดูไม่คุ้นหน้ายิ่งนัก
หรือว่าท่านน้าฉือจะรับบ่าวเด็กเพิ่ม?
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดอยู่ในใจ
ชิงเฟิงกำลังหันไปคุยกับนักพรตเด็กผู้นั้นอย่างออกรสออกชาติ จึงไม่ได้สังเกตเห็นถึงความเคลื่อนไหวรอบข้าง กลับเป็นนักพรตเด็กไม่คุ้นหน้าผู้นั้นที่เห็นโจวเสาจิ่น เขาสะกิดชิงเฟิง กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “มีคนมา!” ชิงเฟิงถึงได้จบการสนทนา แล้วหันศีรษะกลับมา
เมื่อเห็นว่าเป็นโจวเสาจิ่น เขาลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง ท่านมาแล้ว ไม่ทราบว่าท่านมาหาผู้ใดขอรับ”
โจวเสาจิ่นกล่าว “ท่านน้าฉืออยู่หรือไม่ ข้ามาหาท่านน้าฉือ!”
ชิงเฟิงกล่าว “อาจารย์จางของเขาหลงหู่มาหา นายท่านสี่กำลังสนทนากับอาจารย์จางอยู่ขอรับ” ความหมายของคำกล่าวนี้คือให้นางรอก่อน
โจวเสาจิ่นคิดไม่ถึงว่าตนจะโชคร้ายถึงเพียงนี้
นางมองนักพรตเด็กผู้นั้นครั้งหนึ่ง
นักพรตเด็กรีบก้าวออกมาทำความเคารพโจวเสาจิ่น กล่าวแนะนำตัวเองว่า “ข้าคือซ่านอวี๋นักพรตเด็กข้างกายอาจารย์จาง คารวะคุณหนูรองขอรับ!”
ช่างมีมารยาทยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นหันไปยอบกายคำนับเขายิ้มๆ กล่าวกับชิงเฟิงว่า “เช่นนั้นข้าจะไปรอท่านน้าฉือที่ห้องหนังสือก็แล้วกัน”
ตามหลักแล้ว นางมาที่เรือนหานปี้ซานก็ควรจะไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวก่อน แต่คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่ากวนทำให้จิตใจของนางร้อนรนดั่งไฟ หากนางไม่ได้พบเฉิงฉือก่อนคงไม่อาจไปสนทนาเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้
นางกลัวว่าหากตนยืนอยู่ตรงนี้อาจจะได้พบกับปี้อวี้และคนอื่นๆ โดยบังเอิญได้ จึงไม่อยากยืนรออยู่นอกประตู
ทว่าชิงเฟิงกลับขวางนางเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่กับอาจารย์จางกำลังอยู่ในห้องหนังสือขอรับ!”
จริงๆ แล้วนี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แต่บางทีอาจเป็นเพราะทุกครั้งที่นางมาชิงเฟิงล้วนไม่เคยให้หน้านางเลยสักครั้ง หรือบางทีอาจเป็นเพราะเห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมของฮูหยินผู้เฒ่ากวนรอยยิ้มนั้น บวกกับเรื่องที่เฉิงฉือรับปากว่าจะช่วยจัดการเรื่องของนางกับเฉิงอี้ทว่ากลับไม่มีข่าวคราวอะไร อารมณ์ด้านลบต่างๆ ทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกโมโหขึ้นมาในทันใด กล่าวขึ้นว่า “ชิงเฟิง เมื่อมาถึงหน้าประตูแล้วล้วนถือว่าเป็นแขก ต่อให้ท่านน้าฉือมีแขก ข้าต้องการพบท่านน้าฉือ ยินดีรออยู่ด้านนอก แต่เหตุใดเจ้าถึงมาขวางทางข้าเช่นนี้โดยไม่จัดที่ให้ข้าได้พักผ่อนสักที่หนึ่งเล่า ต่อให้ท่านน้าฉือไม่ยอมพบข้า ต้องการไล่ข้าออกไป เจ้าก็ควรจะไปขอคำชี้แนะจากท่านน้าฉือก่อนแล้วค่อยชักสีหน้าใส่ข้าก็ยังไม่สายกระมัง แม้นผู้คนต่างพูดกันว่าคนเฝ้าประตูของอัครมหาเสนาบดีจะเป็นถึงข้าราชการยศขั้นเจ็ด แต่เจ้ามิใช่คนเฝ้าประตูของอัครมหาเสนาบดีเสียหน่อยทว่าข้าดูเจ้าแล้วกลับจัดการเสมือนเป็นข้าราชการยศขั้นเจ็ดเสียแล้ว เจ้าช่างมีความสามารถยิ่งนัก!”
ใบหน้าของชิงเฟิงพลันกลายเป็นแดงก่ำ เขาชี้โจวเสาจิ่นพลางเอ่ย “ท่าน” ไปกว่าครึ่งค่อนวันทว่าก็ไม่อาจกล่าวอะไรออกมาได้สักประโยค
โจวเสาจิ่นกลับไม่มองเขาอีกเลย ทำหน้าเย็นชาแล้วเดินเข้าไปในเรือนหลีอิน เดินตรงไปหาจี๋อิ๋ง
แต่ใครจะรู้ว่าจี๋อิ๋งกลับไม่อยู่บ้าน
สาวใช้เด็กที่รับใช้จี๋อิ๋งบอกโจวเสาจิ่นว่า “นายท่านสี่ให้แม่นางจี๋อิ๋งนำจดหมายไปส่งให้ใครสักคน ออกไปได้สามวันแล้วเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกแย่อยู่ในใจ
ท่านน้าฉือก็พบไม่ได้ จี๋อิ๋งก็ไม่รู้ว่าไปที่ไหน เหตุใดนางถึงติดขัดไม่ราบรื่นถึงเพียงนี้!
นางยืนอยู่หน้าต้นตงชิงตรงหน้าประตูห้องข้างที่จี๋อิ๋งอาศัยอยู่ ดึงใบของต้นตงชิงอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“นี่เป็นอะไรหรือ” ทันใดนั้นริมหูของนางก็นึกถึงน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยรอยขบขันของเฉิงฉือขึ้นมา “ทำจนต้นไม้ของข้าเกือบจะตายแล้ว”
“ท่านน้าฉือ!” โจวเสาจิ่นทั้งประหลาดใจและยินดีขณะที่หันศีรษะกลับมา เห็นเฉิงฉือที่มีรูปร่างสูงโปร่งเพรียวสวมชุดนักพรตเต้าเผาผ้าไหมหังโจวสีม่วงอ่อนไร้ลวดลายยืนอยู่ที่โถงทางเดิน “มิใช่ว่าท่านกำลังสนทนากับอาจารย์จางอะไรผู้นั้นอยู่หรือเจ้าคะ เหตุใดถึงมาอยู่ตรงนี้ได้” ขณะที่กล่าว ในใจของนางก็ท่วมท้นไปด้วยความคับข้องใจอันไม่มีที่สิ้นสุด นัยน์ตาแดงเรื่อขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ มุ่ยปากกล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ ท่านรังแกข้า บ่าวนักพรตเด็กของท่านก็รังแกข้า ต่อไปข้าจะไม่เชื่อใจท่านอีกแล้ว!”
เหตุใดเด็กผู้นี้ถึงหากไม่ทำให้คนประหลาดใจก็จะไม่หยุดพักทุกครั้งที่พูดคุยกับเขากันนะ!
เฉิงฉือถูกทำให้พูดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่ สูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่งแล้วถึงได้กล่าวขึ้นว่า “เจ้ามาพูดอะไรไร้สาระอยู่ตรงนี้ ข้าไปรังแกเจ้าตอนไหน แล้วบ่าวนักพรตเด็กของข้าไปรังแกเจ้าได้อย่างไร”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงเรื่อขณะที่กล่าว “ทั้งๆ ที่ท่านบอกว่าจะช่วยจัดการแผนที่ท่านยายจะจับข้าแต่งงานกับพี่ชายอี้ให้ข้า แต่วันนี้ตอนที่ท่านยายเห็นหน้าข้า กลับพูดว่าต้องการไปคุยกับท่านพ่อของข้า ให้ข้ารั้งอยู่ที่เรือนเจียซู่ต่อไป ข้าไม่อยากรั้งอยู่ที่เรือนเจียซู่ แล้วข้าก็ไม่อยากแต่งกับพี่ชายอี้ด้วย!”
เฉิงฉือขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าเผยความกรุ่นโกรธออกมาเล็กน้อย กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ท่านอาสะใภ้สี่พูดอะไรกับเจ้าบ้าง”
นี่เป็นเฉิงฉือที่แตกต่างไปจากคนที่โจวเสาจิ่นเคยเห็นในยามปกติอย่างสิ้นเชิง โจวเสาจิ่นรู้สึกขลาดกลัวอยู่ในใจ กระซิบเล่าสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพูดให้เฉิงฉือฟังเบาๆ
เฉิงฉือรู้สึกทั้งน่าโมโหและน่าขบขันไปด้วยในขณะที่เดียวกัน
ช่างเป็นคนที่เก่งกับผู้ที่อ่อนแอกว่าทว่าหวาดกลัวคนที่แข็งแกร่งกว่าผู้หนึ่งจริงๆ
เมื่อครู่ยังหันมาเคืองโกรธใส่เขาอยู่เลย พอเขาเปลี่ยนสีหน้า นางก็ตกใจกลัวจนดูเสมือนกับลูกแมวน้อยที่มองเขาด้วยความระแวดระวัง ราวกับว่าหากเขาเคลื่อนไหวแรงสักหน่อยนางก็จะกระโดดวิ่งหนีแล้วก็ไม่ปาน
“มานี่!” เขายืนอยู่ตรงโถงทางเดินลดเสียงลงพูดกับนาง
“เจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นข้ามราวระเบียงไปอย่างระมัดระวัง เดินขึ้นไปบนโถงทางเดินจากทางบันไดที่อยู่ข้างๆ ค่อยๆ เดินไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเฉิงฉือช้าๆ
เฉิงฉือยื่นมือออกมา ดึงใบไม้ที่อยู่บนศีรษะของนางออก พลางกล่าว “ไปเล่นซนที่ไหนมา กระทั่งมีใบไม้ติดอยู่บนหัวก็ยังไม่รู้ตัวอีก!”
โจวเสาจิ่นมองใบไม้ที่อยู่ในมือของเฉิงฉืออย่างแปลกใจ พลางกล่าว “ข้า…ข้าไม่ได้ไปที่ไหนเลยเจ้าค่ะ เพียงเดินจากประตูมาถึงที่นี่เท่านั้น…”
เฉิงฉือทิ้งใบไม้เข้าไปในพุ่มไม้ที่อยู่ข้างๆ พลางกล่าว “ต่อไปเวลาเดินก็ให้ระมัดระวังสักหน่อย!”
โจวเสาจิ่นพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง
เฉิงฉือกระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “เรื่องที่ให้เจ้ารั้งอยู่ที่ซอยจิ่วหรูนั้นเป็นความคิดของข้าเอง!”
“เอ๋!” โจวเสาจิ่นเบิกดวงตากว้าง ดวงตาดำสลับขาวนั้นเต็มไปด้วยความตะลึงงัน
เฉิงฉือหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ น้ำเสียงยิ่งเพิ่มความอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น “เรื่องที่เจ้าเล่ามาทั้งหมดนั้นมีความสำคัญยิ่งนัก ยังมีอีกหลายเรื่องที่ข้ายังคิดไม่ตก ยังต้องสอบถามเจ้าอีกมาก แต่ถ้าเจ้าติดต่อกับข้ามากไป อาจทำให้ผู้อื่นเกิดความสงสัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเพราะเหตุนี้แล้วมีคนสงสัยเรื่องของเจ้า เช่นนั้นก็เป็นความผิดของข้าแล้ว กล่าวคือ เพื่อตระกูลเฉิงแล้วเจ้าถึงได้ยอมเล่าความลับเรื่องย้อนกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งให้ข้าฟัง แต่ข้ากลับปกป้องเจ้าเอาไว้ไม่ได้…ข้าครุ่นคิดพิจารณาแล้ว ทางที่ดีที่สุดก็คือใช้นามของท่านอาสะใภ้สี่รั้งให้เจ้าอยู่ที่เรือนเจียซู่ต่อไป จากนั้นให้มารดาของข้ารับเจ้ามาดูแลสักช่วงหนึ่ง รอให้ผ่านไปสองปี เจ้าก็โตขึ้นอีกสักหน่อยแล้ว เรื่องราวก็คงจัดการไปได้ไม่น้อยแล้วเช่นกัน ค่อยให้มารดาของข้าออกหน้าช่วยพูดเรื่องคู่ครองให้เจ้า…ครั้งก่อนตอนที่เจ้าเล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังนั้น ข้าก็มีแผนการนี้ในใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เพียงแต่ไม่มีโอกาสบอกเจ้าเท่านั้น เจ้าเพียงย้ายกลับมาอยู่ที่เรือนหว่านเซียงให้สบายใจก็พอ อย่างมากก็อีกครึ่งเดือน ข้าจะรับเจ้าเข้ามาอยู่ที่เรือนหานปี้ซาน”
……………………………….