ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 281 ออกจากงานเลี้ยง

เนื่องจากมีฉากโหมโรงนี้บรรเลงนำ บรรยากาศงานเลี้ยงฉลองหลังจากนั้นจึงค่อนข้างอึมครึมอย่างชัดเจน

ทุกคนต่างรักษามารยาท ‘ไม่พูดคุยกันเวลากิน ไม่คุยเล่นกันเวลานอน’ ต่างก้มหน้าก้มตารับประทานอาหาร

เด็กหนุ่มทั้งหลายราวกับนั่งอยู่บนเบาะที่เต็มไปด้วยเข็มก็ไม่ปาน เฉิงสวี่ถือโอกาสลุกขึ้นมา หมายจะไปห้องทางการ

สีหน้าของเฉิงซวี่ไม่น่ามองเล็กน้อย

เฉิงฉือปรายตามองเขาเบาๆ ทีหนึ่ง เรียกไหวซานเข้ามา สั่งเขาว่า “เจ้าตามคุณชายใหญ่ไปห้องทางการ ห้องทางการของเรือนทิงอวี่นี้ค่อนข้างมืด ระวังจะลื่นตะไคร้น้ำบนพื้นเอาได้”

เฉิงสวี่รีบกล่าวว่า “ไม่ต้องขอรับๆ ข้าไปเองได้”

เฉิงฉือไม่เอื้อนเอ่ยคำใด

ไหวซานก้มหน้าหลุบตารออยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางต่อให้เจ้าจะกล่าวอะไรไปก็ไร้ประโยชน์ นายท่านสี่ให้ข้าติดตามเจ้า ข้าก็จะติดตามเจ้า

เฉิงสวี่รู้สึกหงุดหงิด ถลึงตาใส่ไหวซานอย่างบึ้งตึง

เฉิงเวิ่นเห็นแล้วก็หัวเราะขำขัน พลางกล่าว “เจียซ่าน เจ้าก็ไม่ใช่เด็กแล้ว อาสี่ของเจ้าทำเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการดีต่อเจ้า รีบไปรีบมา อาหารจานสุดท้ายของวันนี้คือหม้อไฟรวมมิตร แต่ก่อนเจ้าชอบกินอาหารจานนี้มากที่สุดมิใช่หรือ ระวังเถิดหากกลับมาช้าแล้วทุกคนจะซดน้ำแกงจนหมดเกลี้ยงนะ” จากนั้นก็กล่าวกับเฉิงฉือว่า “น้องชายฉือ อีกไม่กี่วันนั่วเกอเอ๋อร์ของพวกข้าก็จะหมั้นหมายแล้ว ถึงตอนนั้นที่จวนมีงานอื่นใดหรือไม่ หากว่าไม่ติดงานอะไร ข้าอยากจะให้พ่อครัวใหญ่ที่ดูเตาสองท่านไปช่วยจัดเตรียมอาหารสำหรับงานเลี้ยงสักสองโต๊ะให้ข้า นั่วเกอเอ๋อร์ของพวกข้าจะหมั้นหมาย พ่อสื่อท่านหนึ่งคือนายท่านใหญ่หลิวจากจวนดอกเหมย ซึ่งตอนนี้เขาเป็นพ่อตาของซื่อจื่อของเหลียงกั๋วกง ส่วนอีกท่านหนึ่งคือหลินเจี้ยวอวี้ ทั้งสองล้วนมีความสัมพันธ์อันดีกับครอบครัวพวกข้า ในเมืองจินหลิงก็นับว่าเป็นบุคคลที่มีหน้ามีตายิ่ง ไม่อาจละเลยพ่อสื่อสองท่านนี้ได้”

ตามมารยาทแล้ว วันที่หมั้นหมายจะต้องเชิญพ่อสื่อและผู้ที่เปี่ยมไปด้วยพรทุกประการมารับประทานอาหารที่บ้าน

เฉิงฉือยิ้มพลางกล่าวว่า “ท่านเพียงกำหนดวันมาก็พอ ไม่ต้องสนใจว่าในจวนจะติดงานอะไรหรือไม่ ข้าจะเร่งให้จัดงานเลี้ยงฉลองการหมั้นหมายของนั่วเกอเอ๋อร์ก่อน”

เฉิงเวิ่นได้ยินแล้ว ลิงโลดดีใจยิ่งนัก กล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า

ทว่าเฉิงหลูเห็นท่าทางของเฉิงเวิ่นแล้วกลับย่นหัวคิ้วขึ้นในทันที กล่าวอย่างอดไม่ได้ว่า “นายท่านใหญ่หลิวผู้นั้นเป็นพ่อสื่อที่น้องชายเวิ่นเชิญมาหรือ”

นายท่านใหญ่หลิวนั้นเหตุเพราะเรื่องของคุณหนูสามตระกูลซุนผู้เป็นบุตรสะใภ้ ชื่อเสียงของเขาจึงกระฉ่อนไปทั่วเมืองจินหลิง

เฉิงเวิ่นกับนายท่านใหญ่หลิวมี ‘นิสัยใจคอ’ ที่เข้ากันได้ดี เรียกได้ว่าเป็นสหายรักต่อกัน ถึงแม้จะคิดว่าเรื่องนี้นายท่านใหญ่หลิวทำเกินกว่าเหตุ แต่พอนึกถึงคุณหนูใหญ่ตระกูลหลิวที่แต่งงานกับจูเผิงจวี่แล้ว จะดีจะร้ายก็นับเป็นบุคคลโดดเด่นอันดับต้นๆ ของเมืองจิงหลิง จึงไม่ได้คิดว่าถ้อยคำของเฉิงหลูจะขัดหูแต่อย่างใด ในทางกลับกัน เขากล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “พวกข้าคบหากันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ครั้งนี้นั่วเกอเอ๋อร์จะแต่งงาน ย่อมต้องเชิญเขามาเป็นพ่อสื่อ เขาเองก็ยินดีเป็นอย่างมาก!”

เฉิงหลูทำปากขมุบขมิบเล็กน้อย กำลังจะกล่าวอะไร จู่ๆ เฉิงเจิ้งบุตรชายของเขาก็ลุกขึ้นมาในทันใด กล่าวว่า “ท่านพ่อ ข้าก็จะไปห้องทางการเหมือนกันขอรับ”

เขาไม่รู้จะทำอย่างไรกับบิดาของเขาคนนี้แล้วจริงๆ!

ผู้อื่นต่างล้วนไม่พูดไม่จา แต่เขากลับต้องการยืนขึ้นมา

หากต้องเสียหน้าก็จะเสียหน้ากันทั้งซอยจิ่วหรู จวนหลักและจวนรองต่างไม่กล่าวอะไร แล้วจวนสามอย่างพวกเขาจะออกหน้าไปทำไมกัน

เฉิงเจิ้งส่งสายตาให้บ่าวเด็กของตนที่ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ พยักพเยิดให้เขาจับตาดูบิดาให้ดี อย่าให้เขาก่อเรื่องอะไร ลากเฉิงสวี่ที่ยืนอยู่ตรงนั้นโดยตลอดออกจากศาลาทิงอวี่ไปพร้อมกัน

เฉิงสวี่ไม่อาจขัดขืนต่อหน้าทุกคน พอเดินพ้นจากศาลาทิงอวี่แล้วก็สะบัดแขนของเฉิงเจิ้งออก พลางกล่าวว่า “ท่านลากข้าออกมาทำไม ข้าไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเป็นเด็กห้าหกขวบ ไปห้องทางการทีก็ต้องให้คนคอยติดตามอยู่ข้างๆ ตลอดหรอกนะ” พูดจบ เขาก็สาดสายตาใส่ไหวซานที่ตามเขาออกมาจากศาลาทิงอวี่

ไหวซานยังคงก้มหน้าหลุบตาลงอยู่เหมือนเดิม ประหนึ่งไม่ได้ยินอะไรแม้แต่น้อย นิ่งเงียบราวกับรูปปั้น

เฉิงเจิ้งจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็ได้ๆ! ในเมื่อเจ้าไม่อยากให้คนอื่นมองเจ้าเป็นเด็กห้าหกขวบอยู่ตลอด เช่นนั้นเจ้าก็อย่าทำเรื่องที่มีเพียงเด็กห้าหกขวบกระทำกันสิ เจ้าคัดค้านท่านอาฉืออยู่ตรงนั้น ถือเป็นการกระทำของผู้ใหญ่แล้วหรือ”

เฉิงสวี่ได้ยินแล้วนัยน์ตาลุกวาวเล็กน้อย กระซิบกล่าวกับเฉิงเจิ้งว่า “อันที่จริงข้าไม่ได้อยากจะไปห้องทางการหรอก ข้าเพียงทนบรรยากาศในศาลาทิงอวี่ไม่ไหว ดังนั้นจึงออกมาเดินเล่นสักหน่อย มีคนติดตามมาเช่นนี้ ช่างน่ารำคาญยิ่ง!”

เฉิงเจิ้งคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เฉิงสวี่จะพูดความในใจกับตน

เขาคิดแล้วคิดอีก ยิ้มพลางกล่าว “ข้าก็ไม่ได้อยากจะไปห้องทางการเหมือนกัน เมื่อครู่เจ้าก็เห็นว่า ท่านพ่อของข้าเป็นผู้ที่มีอุปนิสัยเถรตรงคนหนึ่ง มีอะไรก็กล่าวออกมาอย่างนั้น หากข้าไม่ใช้ข้ออ้างนี้ ไม่แน่ว่าท่านพ่อของข้าอาจจะเอ่ยวาจาล่วงเกินผู้อื่นออกมาอีกก็เป็นได้”

เฉิงสวี่ก็เห็นเหมือนกัน

เขาแสร้งถอนหายใจด้วยท่าทางที่จนปัญญา กล่าวว่า “พอเถอะ พวกเรานั่งอยู่ข้างนอกสักพักแล้วค่อยกลับเข้าไปดีกว่า!”

เฉิงเจิ้งพยักหน้า “ได้! ข้าไม่คัดค้าน”

ทั้งสองคนจึงหาม้านั่งหินในที่เปล่าเปลี่ยวตัวหนึ่งแล้วนั่งลงไป

เฉิงเจิ้งเอ่ยถามเฉิงสวี่ถึงการสอบขุนนางในช่วงสารทฤดูว่า “‘รวมเล่มอรรถาธิบายจื้ออี้’ เล่มนั้น ใต้เท้าเซินหมิ่นจือเป็นผู้ตีพิมพ์จริงๆ หรือ”

“จะเป็นไปได้อย่างไร” เฉิงสวี่ตอบโดยไม่ต้องคิด “หากว่า ‘รวมเล่มอรรถาธิบายจื้ออี้’ เล่มนั้นเป็นตำราที่ใต้เท้าเซินตีพิมพ์จริงๆ ล่ะก็ หลังจากที่ท่านปู่รองได้รับมาแล้วจะปิดปากเงียบได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่านี่เป็นข่าวปลอมที่ร้านหนังสือเหล่านั้นกุขึ้นมาเพื่อจะทำยอดขาย ยังต้องขอให้พี่ชายเจิ้งช่วยเตือนท่านอาหลูอย่างอ้อมๆ ด้วย จะได้ไม่ถูกหลอกเอาได้”

เฉิงเจิ้งมองเฉิงสวี่อย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง

ศิษย์ในสำนักศึกษาต่างกล่าวว่าเฉิงสวี่เป็นผู้ที่ตั้งมั่นในคุณธรรมและทะนงตัว ดูแคลนการเล่นแง่ซ่อนกลเหล่านั้น บัดนี้เห็นแล้วว่าอาจไม่ถูกต้องเสมอไป

อย่างน้อยเมื่อครู่เขาไม่กล่าวอะไร ปล่อยให้เฉิงอี๋ของจวนรองเข้าใจผิด แต่แล้วกลับมาหาตนให้เผยแพร่เรื่องนี้ออกไป เป็นการตบหน้าเฉิงอี๋ฉาดหนึ่ง และสร้างความดีความชอบให้แก่ตน เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก

เฉิงสวี่ไม่ได้ใส่ใจนัก

ในเมื่อจวนหลักกับจวนรองมีความบาดหมางที่ไม่อาจปรองดองกันได้ เช่นนั้นเขายังต้องไว้หน้าจวนรองไปเพื่ออันใด

ที่เขาทำไปก็เป็นการตบหน้าจวนรอง!

พอเห็นว่าเป้าหมายของตนบรรลุแล้ว เฉิงสวี่ก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “คราวนี้ข้าต้องการไปห้องทางการจริงๆ แล้ว”

จะจริงหรือเท็จสำคัญอย่างไร

ในเมื่อเรื่องใดๆ บนโลกนี้ล้วนเป็นเรื่องจริงและเรื่องเท็จคละเคล้ากันไปมิใช่หรือ

เฉิงเจิ้งทำท่าผายมือเชิญทีหนึ่ง พลางกล่าวว่า “น้องชายสวี่เชิญตามสบาย!”

ทว่าเฉิงสวี่กลับลอบชี้ไหวซานที่ยืนห่างออกไปไม่ไกล พลางกระซิบว่า “ไม่รู้ว่าพี่ชายเจิ้งช่วยข้าหลอกล่อเขาได้หรือไม่ ถูกเขาจับจ้องอยู่อย่างนี้ข้ารู้สึกอึดอัดจริงๆ”

เฉิงเจิ้งไม่อยากช่วยเป็นแพะรับบาปให้เฉิงสวี่ เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “จะให้หลอกล่ออย่างไร”

เฉิงสวี่กระซิบบอกเขา

เฉิงเจิ้งยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้าหงึกๆ

ทั้งสองมุ่งไปที่ห้องทางการ

ไหวซานติดตามไปอย่างไม่ใกล้ไม่ไกล หยุดยืนอยู่ข้างป่าไผ่นอกห้องทางการ มองดูพวกเขาพูดคุยไปด้วยหัวเราะไปด้วยขณะเข้าห้องทางการ

ไม่นานนัก เสียงของเฉิงเจิ้งก็ดังขึ้นจากห้องทางการ “ความจริงข้าก็เตรียมจะเข้าร่วมการสอบช่วงสารทฤดูของปีนี้เช่นกัน แต่รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไร ท่านอาจารย์จางของสำนักศึกษาก็คิดว่าข้าควรจะเตรียมตัวอ่านตำราอีกสักสองปีแล้วค่อยลงสนามสอบ ยังคงเป็นน้องชายสวี่ที่เก่งกาจ เรียนหนังสือก็เก่ง ทั้งยังมีท่านลุงใหญ่จิงกับท่านปู่รองคอยชี้แนะให้คำสั่งสอน การสอบขุนนางช่วงสารทฤดูในคราวนี้จะต้องสอบผ่านอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นเจ้าต้องให้ข้าดูเรียงความในข้อสอบด้วย…”

ทุกอย่างล้วนดูปกติยิ่งนัก

ไหวซานหลับตาลงเบาๆ

ด้านหลังห้องทางการ เฉิงสวี่กำลังมุ่งไปยังป่าไผ่อันเงียบสงัด อดเผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมาอย่างพึงพอใจไม่ได้

ในเมื่อท่านย่าอารมณ์ไม่ดี เขาผู้เป็นหลานชายคนนี้ก็ควรจะไปดูสักหน่อยถึงจะถูก

งานเลี้ยงที่เสแสร้งทำเป็นจริงใจต่อกันเช่นนี้ ไม่เข้าร่วมก็ช่างปะไร!

คาดว่าถ้าท่านอาสี่ทราบแล้วจะไม่ตำหนิเขาเช่นกัน

เขาออกจากป่าไผ่ไปอย่างรวดเร็วปานหมอกควัน เลี้ยวมุมหนึ่งก็มาถึงโถงทางเดินสี่ฤดูแล้ว

พอเห็นว่าเมื่อออกจากประตูหรูอี้แล้วก็จะเข้าสู่เรือนชั้นใน ทว่าจู่ๆ ก็มีคนโผล่ออกมาที่ประตูหรูอี้ราวกับกำลังเดินทอดน่องอยู่ในลานบ้านก็ไม่ปาน

“คุณชายใหญ่สวี่ ท่านกำลังจะไปไหนขอรับ งานเลี้ยงที่ศาลาทิงอวี่ยังไม่เสร็จสิ้น ทำเช่นนี้เป็นการเสียมารยาทเกินไปแล้วนะขอรับ!”

เฉิงสวี่อดสบถด่าประโยคหนึ่งในใจไม่ได้

ไม่คาดคิดว่าจะเป็นไหวซาน

เหตุใดเขาถึงรู้สึกตัวว่าตนหายไปได้อย่างรวดเร็วเพียงนี้

เกิดอะไรขึ้นกับเฉิงเจิ้งที่อยู่ในห้องทางการ

เขาโผล่ออกมาจากที่ใดกันนะ

เฉิงสวี่ยิ้มเย็นพลางกล่าว “ไหวซาน อย่างไรเจ้าก็เป็นเพียงบ่าวรับใช้ข้างกายท่านอาสี่ผู้หนึ่งเท่านั้น ข้าจะไปที่ไหน เจ้าไม่ต้องมายุ่ง!”

ไหวซานไม่เอ่ยคำใด ชั่วพริบตาก็เคลื่อนตัวเข้าใกล้เฉิงสวี่ ยื่นมือออกมาจับผ้าคาดเอวของเขา จู่ๆ เขาก็ถูกแรงไร้รูปผลักไปข้างหน้า ออกจากโถงทางเดินสี่ฤดูไปอย่างรวดเร็ว

เฉิงสวี่เบิกตาโพลง

เขารู้ว่าทักษะวิทยายุทธ์ของบ่าวข้างกายท่านอาสี่หลายคนล้วนเก่งกาจยิ่งนัก โดยเฉพาะฉินจื่ออันสองพี่น้อง ทักษะการต่อสู้ของต้าซูก็ร่ำเรียนฝึกฝนมาจากฉินจื่ออัน

แต่เห็นทีว่าไหวซานผู้นี้กลับร้ายกาจยิ่งกว่าฉินจื่ออันผู้แกร่งกล้าเสียอีก

เขาอยากจะตะโกนด่าทอไหวซาน

แต่กลับอ้าปากไม่ได้

อยากจะหยุดฝีเท้าให้หยุดเดิน

แต่กลับหยุดสาวเท้าไม่ได้

เฉิงสวี่แช่งด่าไหวซานอยู่ในใจประหนึ่งอยากจะเอาเลือดสุนัขราดบนศีรษะเขาอย่างห้ามไม่อยู่

ในทางกลับกันไหวซานราวกับไม่ได้ยินเขาแต่อย่างใด ยังคง ‘ดัน’ ตัวเฉิงสวี่ไปจนถึงปากประตูศาลาทิงอวี่ด้วยท่าทางเรียบเฉย กระทั่งผู้คนในศาลาทิงอวี่สังเกตเห็นเฉิงสวี่ เขาจึงปล่อยตัวเฉิงสวี่ แล้วถอยออกไปยังมุมห้องที่บ่าวไพร่บริวารยืนอยู่อย่างเงียบๆ

เฉิงสวี่จัดสาบเสื้อ พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นฉิงเจิ้งยิ้มน้อยๆ ให้เขาอย่างขัดเขิน

เขายังเสียท่าขนาดนี้ เป็นไปได้ว่าทางด้านเฉิงเจิ้งเองก็คงไม่สู้ดีนักเช่นกัน

เฉิงสวี่ยกยิ้มปลอบใจเฉิงเจิ้ง แล้วหันหน้าไปมองเฉิงฉือ

สีหน้าของเฉิงฉือสงบนิ่งและสุขุม ทั้งไม่ได้สนทนากับเฉิงเวิ่นที่พูดพล่ามอยู่ข้างๆ และไม่ได้เอ่ยตอบเฉิงหลูที่พูดอยู่กับเขา เพียงนั่งกินข้าวอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบสงบ ประหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบข้างล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลยก็ไม่ปาน ในใจของเขามีแต่จะกินข้าวเท่านั้น

เฉิงสวี่พลันรู้สึกท้อใจเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ได้

ท่านอาสี่มักจะมีท่าทีผ่อนคลายและสงบนิ่งเช่นนี้อยู่เสมอ!

หากท่านอาสี่มีใจขึ้นมาล่ะก็ เกรงว่าไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใดล้วนหลบหนีจากอุ้งมือของท่านอาสี่ไม่ได้!

เฉกเช่นเมื่อครั้งยังเด็ก ทุกคราที่เขาหนีเรียนล้วนเป็นท่านอาสี่ที่จับเขาได้เช่นกัน

แต่ท่านอาสี่รู้ได้อย่างไรว่าเขาอยากจะไปหาเสาจิ่นกันนะ

หรือว่าเขาก็มีความคิดเห็นเหมือนกับท่านแม่ คิดว่าการแต่งงานกับหญิงสาวจากตระกูลหมิ่นมีผลดีต่ออนาคตของตระกูลเฉิงมากกว่า?

แต่หากว่าคนผู้หนึ่งฝากความหวังและอนาคตของตนไว้กับตระกูลอื่นหรือหญิงสาวคนหนึ่งเช่นนี้ เขายังจะมีอนาคตอะไรมาพูดได้อีกเล่า

เฉิงสวี่รู้สึกห่อเหี่ยวใจเหลือคณา

หลังจากกลับไปนั่งที่ของตนแล้ว เฉิงเจิ้งก็เดินมาหา กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงลุแก่โทษเบาๆ ว่า “ข้าพูดคนเดียวอยู่ที่นั่นเรื่อยๆ นานพักหนึ่งตามที่เจ้าบอก คำนวณว่าเจ้าคงจะเดินไปไกลแล้วถึงได้ออกมา ตอนนั้นไหวซานก็ไม่อยู่แล้ว ข้าคิดอยู่ว่าเขาอาจจะไปตามหาเจ้าก็เป็นได้ ลองตามหาพวกเจ้าไปรอบหนึ่งแล้วก็หาไม่เจอ ทั้งยังกลัวพวกผู้ใหญ่ในห้องโถงจะเกิดสงสัยขึ้นมา จึงกลับมาก่อน”

เฉิงสวี่เชื่อเขา

ไม่ว่าท่านอาสี่อยากจะสั่งสอนเขาอย่างไร อยู่ต่อหน้าคนจากจวนอื่นๆ เช่นนี้อย่างไรก็คงจะไว้หน้าเขาบ้างเช่นกัน

อย่างไรเสียเขาก็เป็นทายาทสายตรงคนโต เป็นผู้นำตระกูลในภายภาคหน้า

“ขอบคุณพี่ชายเจิ้งเป็นอย่างมาก” เขากล่าวขอบคุณเฉิงเจิ้งอย่างจริงใจ “ไหวซานไม่ได้สร้างความลำบากให้ท่านใช่หรือไม่”

“ไม่เลย!” เขาเล่าเหตุการณ์หลังจากที่ทั้งสองคนแยกจากกันให้ฟัง กระซิบกระซาบคุยกับเฉิงสวี่

เฉิงนั่วเห็นแล้วรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก

ไม่ว่าพี่ชายสวี่จะปรากฏตัวเมื่อไร ปรากฏตัวที่ไหน ทุกคนล้วนชื่นชอบเขา มีคนดึงเขาไปสนทนาด้วยและประจบประแจงเขาตลอด

หากวันใดเขาสามารถเป็นดังเช่นพี่ชายสวี่ก็คงดี

ขณะที่เขาขบคิด ก็ใช้ศอกกระทุ้งเฉิงอี้ที่นั่งอยู่ข้างเขา กระซิบถามว่า “เรื่องแต่งงานของเจ้ามีข่าวคราวอะไรบ้างหรือไม่”

การแต่งงานขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบิดามารดาและการแนะนำของพ่อสื่อแม่สื่อ

ปกติแล้วก่อนวันหมั้นหมายคนส่วนใหญ่ถึงจะได้รู้ว่าคนที่ตนจะต้องแต่งงานด้วยเป็นหญิงสาวจากตระกูลใด

ทว่าตระกูลเฉิงกลับไม่เคร่งครัดเรื่องการแต่งงานของบุตรชายหญิงสักเท่าใด มักจะบอกพวกเขาเอาไว้ล่วงหน้าว่าจะได้แต่งงานกับผู้ใด การปฏิบัติต่อพวกหญิงสาวก็ถือว่าเปิดกว้างยิ่งนัก ก่อนการหมั้นหมายจะให้บรรดาหญิงสาวได้พบปะดูตัวกัน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน
Status: Ongoing
ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset