โจวเสาจิ่นได้ยินป้าผู้เฝ้าเวรกลางคืนรายงานแล้วก็ไหล่ลู่คอตกอย่างผิดหวัง
ทว่าชุนหว่านกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าก็ว่าแล้ว! ดึกขนาดนี้แล้ว นายท่านสี่จะมาเยี่ยมคุณหนูรองได้อย่างไร หลังจากที่สนทนากับฮูหยินผู้เฒ่ากัวเสร็จก็คงเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ในลานบ้าน แล้วมาหยุดอยู่ที่ประตูเรือนของพวกเราโดยไม่ได้ตั้งใจเป็นแน่เจ้าค่ะ”
จริงหรือ
ฉับพลันอารมณ์ของโจวเสาจิ่นก็ยิ่งดิ่งลงเหว รู้สึกว่าการลุกมาผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ของตนช่างเป็นกระทำที่โง่งมยิ่งนัก
ทว่าชุนหว่านกลับพรูลมหายใจยาว ยิ้มพลางกล่าวว่า “ในที่สุดก็นอนหลับอย่างสบายใจได้แล้วนะเจ้าคะ”
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นร้อนผะผ่าว คิดอยู่ในใจว่า โชคดีที่ภายในห้องจุดตะเกียงเอาไว้เพียงดวงเดียว ถ้าหากตะเกียงสว่างไสวไปทั่วล่ะก็ นางคงได้แต่ต้องหารอยแยกของพื้นดินสักแห่งเพื่อมุดหนีเข้าไปเสียแล้ว
ถึงแม้ในใจจะรู้สึกว่าโชคดี แต่วันรุ่งขึ้นยามที่นางพบเฉิงฉือ ก็ยังคงอดหน้าแดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
เฉิงฉือเห็นท่าทางขัดเขินของนาง นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานก็รู้สึกกระดากอายเล็กน้อย แต่เนื่องจากเขาเป็นบุรุษที่ได้เดินทางอยู่ข้างนอก ไม่นานก็เก็บอารมณ์กลับคืนสู่สภาพปกติได้ ยิ้มพลางถามนางว่า “วันนี้อากาศสดใสแล้ว ดอกไม้ในสวนน่าจะกำลังบานสะพรั่ง วันนี้พวกเจ้าไปชมดอกไม้ในสวนสักหน่อยเถอะ”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางพยักหน้า กระทั่งเฉิงฉือทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัวและออกไปแล้ว นางถึงได้ชวนฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปชมดอกไม้
อารมณ์ของฮูหยินผู้เฒ่ากัวดียิ่ง
เมื่อก่อนบุตรชายคนเล็กบอกว่าเขาจะไม่แต่งงาน จะไม่ปล่อยให้บุตรหลานตัวเองเดินตามรอยของตน ทว่าหลายปีมานี้นางคอยพูดหว่านล้อมเขาอยู่เนืองๆ แล้วปีนี้เขาก็เปลี่ยนใจ บอกว่าจะแต่งงานแน่นอน แต่เพื่อไม่ให้บุตรหลานของตนมารับช่วงกิจการงานของตระกูล เขาจะแต่งงานช้าสักหน่อย
หากนางพร่ำพูดอยู่ข้างหูเขาต่อไป บางทีวันหนึ่งเขาอาจจะเปลี่ยนใจอีกก็เป็นได้ รอให้ยอมแต่งงานก่อนแล้วค่อยพูดอีก…จากนั้นภายใต้ความเพียรพยามยามของนาง ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเปลี่ยนใจอีก ยอมให้กำเนิดบุตรสักคนก็เป็นได้…
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกว่าชีวิตของตนเริ่มเห็นแสงอาทิตย์อุทัยและเปี่ยมไปด้วยความหวังแล้ว ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
นางไม่เพียงปรารถนาจะมีชีวิตให้ดีเพื่อจะได้เห็นบุตรของบุตรชายคนเล็กถือกำเนิดออกมาเท่านั้น นางยังหมายจะช่วยบุตรชายคนเล็กเลี้ยงดูบุตรเฉกเช่นที่ช่วยบุตรชายคนโตและคนรองเช่นนั้นอีกด้วย
นึกมาถึงตรงนี้ นางรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทั้งร่าง โบกมือพลางกล่าว “วันนี้พวกเราไปรับประทานมื้อเที่ยงที่หอซื่ออี๋กัน! ให้โรงครัวของจวนชั้นนอกช่วยทำมื้อเที่ยงมาให้”
อาหารของแต่ละจวนในตระกูลเฉิงมาจากโรงครัวของจวนชั้นนอก เมื่อตระกูลเฉิงมีแขกเหรื่อมาเยี่ยมเยียนล้วนเป็นพวกเขาที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับ
ปี้อวี้และคนอื่นเปล่งเสียงร้องอย่างยินดี
เจินจูยิ่งแล้วใหญ่ เห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวโปรดปรานโจวเสาจิ่น จึงกล่าวกระเซ้าเย้าแหย่ว่า “เป็นเพราะคุณหนูรองแท้ๆ พวกเราจึงได้รับอานิสงส์ไปด้วยเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้เอ่ยปฏิเสธ หัวเราะฮ่าๆ พลางลูบศีรษะของโจวเสาจิ่น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเหมือนกับท่านน้าฉือ ต่างชอบลูบศีรษะของนาง ประหนึ่งนางเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งก็ไม่ปาน!
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ อย่างขัดเขิน
ปี้อวี้และคนอื่นๆ บ้างก็นำป้ายชื่อของฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปโรงครัวของจวนชั้นนอกเพื่อสั่งอาหาร บ้างก็เปิดห้องเก็บของนำถ้วยชามออกมา บ้างก็หยิบเสื่อที่เพิ่งเก็บลงหีบไปเมื่อไม่กี่วันก่อนออกมาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับโจวเสาจิ่นนั่ง บ้างก็ไปบอกให้บ่าวหญิงไปแจ้งบ่าวผู้เป็นเวรที่หอซื่ออี๋…
กระทั่งโจวเสาจิ่นกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวสวดมนต์ในห้องพระเสร็จและออกมาแล้ว ทุกคนก็มุ่งไปยังหอซื่ออี๋เป็นหมู่คณะใหญ่
ต่างจากเมื่อหลายวันก่อนที่มาที่นี่เพื่อชมงิ้วหรือร่วมงานสังสรรค์ โจวเสาจิ่นอารมณ์เบิกบาน เดินตามหลังฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เดินๆ หยุดๆ เพื่อชมทิวทัศน์ระหว่างทาง รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนงดงามถูกตาต้องใจไปหมด
คนทั้งกลุ่มเดินมาหยุดอยู่ที่ศาลาริมทะเลสาบ ปลาหลี่อวี๋สีแดงฝูงหนึ่งว่ายเข้ามาหา อ้าปากพะงาบๆ เป็นฟองฟอดให้พวกนาง
โจวเสาจิ่นประหลาดใจ เอ่ยถามว่า “ปลาฝูงนี้จดจำคนได้ด้วยหรือเจ้าคะ”
ในอดีตตอนอาศัยอยู่ที่บ้านสวนที่ต้าซิ่งนางก็เคยเลี้ยงปลาทองหลายตัว ทุกครั้งที่นางเดินผ่าน ปลาทองหลายตัวนั้นจะแหวกว่ายมาหานาง ฝานมามาบอกว่า นั่นเป็นเพราะพวกมันจำนางได้
แต่ปลาในทะเลสาบเหล่านี้ทั้งไม่ใช่ปลาที่นางเลี้ยง จะว่ายล้อมเข้ามาหาได้อย่างไร
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางกล่าว “เป็นไปได้ว่าตรงนี้มีคนมาให้อาหารปลาเหล่านี้อยู่บ่อยๆ ดังนั้นพอปลาเหล่านี้เห็นคนเดินมาจึงว่ายกรูกันเข้ามา”
ขณะที่นางกำลังกล่าวอยู่นั้น ก็มีบ่าวหญิงสองคนที่กำลังพูดคุยและหัวเราะกันพร้อมกับถือตะกร้าใบหนึ่งเดินมุ่งมาทางนี้
โจวเสาจิ่นรู้สึกชื่นชมยิ่งนัก กล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านช่างเยี่ยมยอดยิ่งนัก แม้แต่เรื่องเช่นนี้ก็คาดเดาได้อย่างถูกต้อง”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “การสังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัวถือเป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องร่ำเรียนจากตำราก็เรียนรู้ได้เหมือนกัน”
โจวเสาจิ่นนึกถึงความโง่เขลาของตนในชาติก่อน ดูเหม่อลอยเล็กน้อย
บ่าวหญิงสองคนนั้นมาให้อาหารปลาจริงๆ
ครั้นเห็นฮูหยินผู้เฒ่ากัว บ่าวหญิงสองคนก้าวมาทำความเคารพอย่างระมัดระวัง แล้วปรนนิบัติโจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ให้อาหารปลาอย่างกระตือรือร้น
โจวเสาจิ่นเห็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวเพียงนั่งดูอยู่ข้างๆ จึงถอยออกมาอย่างเงียบๆ ล้างมือแล้วนั่งดื่มน้ำชาเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัว
มีบ่าวหญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างกระหืดกระหอบ แจ้งว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า นายหญิงผู้เฒ่าของจวนสี่กล่าวว่า อีกประเดี๋ยวจะมาพบท่านเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นก็เชิญนางมารับประทานมื้อเที่ยงที่หอซื่ออี๋ด้วยก็แล้วกัน!”
บ่าวหญิงยิ้มรับคำแล้วออกไป
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ อย่างกระดากอายว่า “ข้าก็ไม่ได้พบท่านยายมาหลายวันแล้วเหมือนกันเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางกล่าวว่า “เป็นไปได้ว่านางอาจจะมาด้วยเรื่องงานเลี้ยงตระกูลที่ศาลาทิงอวี่เมื่อสองวันก่อน”
โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอธิบายยิ้มๆ ว่า “ข้าไม่ได้ไปเข้าร่วม แม้แต่ข้ออ้างก็ไม่มีให้ ย่อมต้องมีคนไปหายายของเจ้า ให้นางนำความมาบอกข้า”
โจวเสาจิ่นเห็นน้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไร กังวลว่าด้วยเรื่องนี้จะทำให้เกิดความหมองใจระหว่างฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนขึ้น ยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวขึ้นว่า “บางทีอาจเป็นเพราะท่านยายบอกปัดไม่ได้เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้ายิ้มๆ อย่างเห็นด้วย
พวกนางไปที่หอซื่ออี๋
ชาติก่อนโจวเสาจิ่นไม่เคยขึ้นมาบนชั้นบนของหอเลยสักครั้ง แม้ว่าชีวิตนี้นางได้ขึ้นมาบนชั้นบนแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้เดินไปเดินมาตามอำเภอใจมาก่อน นางค้นพบว่า เมื่อยืนอยู่หน้าราวกั้นของฝั่งตะวันออกของหอซื่ออี๋ สามารถมองเห็นสวนดอกไม้ของตระกูลเฉิงได้มากกว่าครึ่ง นอกจากนี้สายลมต้นฤดูร้อนที่พัดโชยมานั้น ทั้งหอบไอเย็นสดชื่นเบาบางเข้ามา และพัดพาไอร้อนออกไปด้วย
นางสูดลมหายใจเข้าอย่างมีความสุข เชิญชวนฮูหยินผู้เฒ่ากัวมานั่งตรงหน้าราวกั้น “…ตรงนี้เย็นสบายยิ่งนักเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวคลี่ยิ้มพลางเดินไปหา นั่งลงไปโดยมีเจินจูช่วยประคอง
สายลมพัดโชยมา ประเดี๋ยวก็พัดชายแขนเสื้อจนเกิดเสียงดังพึ่บพั่บ ประเดี๋ยวก็พัดผ่านไปอย่างไร้ร่องรอย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกวักมือเรียกปี้อวี้และคนอื่นๆ ที่กำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่ กล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าก็มานั่งพักสักหน่อย ยังเช้าอยู่กว่าจะถึงมื้อเที่ยง”
ปี้อวี้และคนอื่นๆ ต่างหัวเราะพร้อมกับวิ่งไปที่หน้าราวกั้น เปล่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้นว่า “เย็นสบายยิ่งนักเจ้าค่ะ”
เสี่ยวถานยิ่งแล้วใหญ่ชี้ไปทางตะวันตกพลางกล่าวว่า “พวกเจ้าดูสิ ตรงนั้นคือจวนหลักของพวกเราใช่หรือไม่”
“เหตุใดพวกข้าถึงมองไม่ออกเล่า”
ปี้อวี้และคนอื่นๆ ต่างกรูกันเข้าไปอย่างเจื้อยแจ้ว
โจวเสาจิ่นเดินเข้าไปอย่างอยากรู้อยากเห็น
ทว่ามองเห็นเพียงแนวต้นไม้สูงใหญ่ทอดออกไปเป็นคลื่นๆ มองไม่เห็นบ้านเรือนหรือศาลาใดๆ เลยสักนิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเรือนหานปี้ซานอยู่ที่ใด
นางใจกระตุก พลางเดินไปที่ราวกั้นทางฝั่งตะวันตก
แม้ว่าทางด้านนั้นก็ปกคลุมไปด้วยต้นไม้สูงชะลูดเช่นกัน แต่นางคุ้นเคยกับจวนสี่ยิ่ง เพ่งดูอย่างละเอียดครู่หนึ่ง มองไปตามต้นไม้ดอกไม้ที่บานสะพรั่งและหลังคาที่สูงตระหง่านก็สามารถแยกได้ว่าที่ใดคือเรือนเจียซู่ ที่ใดคือเรือนหว่านเซียง และที่ใดคือเรือนหานชิว มองเห็นแม้กระทั่งถนนที่ทอดไปสู่เรือนหานปี้ซานเส้นนั้นด้วย
โจวเสาจิ่นอารมณ์ดำดิ่งเล็กน้อย เดินไปยังราวกั้นทางตะวันออก เดินไปด้วย พลางกล่าวไปด้วยว่า “ข้าจำได้ว่าพี่สาวเจียอาศัยอยู่ทางทิศตะวันออกของซอยจิ่วหรู จากตรงนี้คงมองไม่เห็นเรือนหรูอี้หรอกกระมัง”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มน้อยๆ พลางกล่าว “เช่นนั้นเจ้าลองหาดูดีๆ เมื่อก่อนแยกออกได้ง่ายกว่านี้มากนัก ทว่าหลายปีมานี้ยิ่งอยู่ต้นไม้ก็ยิ่งสูงใหญ่ ทำให้บางพื้นที่เห็นได้ไม่ชัดสักเท่าไรแล้ว”
กล่าวได้ว่า ไม่ใช่แค่เสี่ยวถานที่มองออก ยังมีคนที่รู้ว่าสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวของแต่ละจวนได้จากชั้นบนของหอซื่ออี๋นี้ด้วยเช่นกัน
โจวเสาจิ่นเงียบงันไม่เอ่ยคำใด นางมองหาอย่างถ้วนถี่ ก็เห็นต้นอวี้หลานสีม่วงที่คล้ายคลึงกับต้นที่อยู่หน้าประตูเรือนของเฉิงเจีย
นางชี้ต้นอวี้หลานสีม่วงต้นนั้นพลางเอ่ยถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “ท่านดูสิเจ้าคะ ใช่ตรงนั้นหรือไม่”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเดินเข้าไปดู ยิ้มพลางกล่าว “ก็ไม่เห็นเจ้าจะวิ่งไปจวนสามบ่อยนัก แต่มองดูปราดเดียวก็หาเรือนของหลานเจียพบแล้ว ตรงนั้นเป็นเรือนหรูอี้จริงๆ”
โจวเสาจิ่นราวกับมีคลื่นลูกใหญ่ถาโถมอยู่ในใจ
หากว่ามีคนยืนอยู่ตรงนี้ มิใช่ว่าก็สามารถเห็นความเคลื่อนไหวของแต่ละจวนได้อย่างทะลุปรุโปร่งหรอกหรือ
โจวเสาจิ่นตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวราวกับอ่านความคิดของนางออกก็ไม่ปาน ยิ้มพลางกล่าวว่า “นอกจากต้องมีสายตาที่มองเห็นได้ไกลพันหลี่แล้ว ยังต้องคุ้นเคยกับแผนผังโครงสร้างของแต่ละจวนด้วย ระยะห่างไกลถึงเพียงนี้ หาไม่แล้วจะมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งได้อย่างไร”
แต่ถ้าหากว่ามีสายตาที่มองเห็นได้ไกลพันหลี่เล่า
ในอดีตนางนึกถึงแต่ช่องโหว่ของจวนห้า แต่หากว่าเรื่องที่สวนดอกไม้มีจวนรองกับจวนสามคอยกระพือคลื่นลมให้โหมกระหน่ำอยู่ในเงามืดล่ะก็ เช่นนั้นหอซื่ออี๋ก็เป็นช่องโหว่หนึ่งด้วยเหมือนกันมิใช่หรือ
โจวเสาจิ่นตัดสินใจว่าเมื่อกลับไปแล้วจะไปพูดเรื่องนี้กับเฉิงฉือสักหน่อย
นางเห็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวอารมณ์ไม่ค่อยร่าเริงนัก จึงประคองนางนั่งลงบนตั่งหลัวฮั่นในห้องโถงใหญ่
ไม่นานนัก ฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็มาถึง
สีหน้าของนางดูอิดโรยเล็กน้อยอย่างชัดเจน
โจวเสาจิ่นรีบก้าวออกไปประคองฮูหยินผู้เฒ่ากวน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่ให้นางช่วยประคอง แต่จับมือของนางแทนพลางคลี่ยิ้มเดินไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ครั้นต่างฝ่ายต่างทำความเคารพกันเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งลงไปตามลำดับความอาวุโส หมาเหน่านำรายการอาหารมาให้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “นายหญิงผู้เฒ่าเจ้าคะ นี่คืออาหารที่พวกข้าสั่งไปเมื่อครู่ ส่วนนี่คืออาหารที่โรงครัวตระเตรียมเอาไว้ ท่านดูว่าอยากจะเพิ่มเติมอะไรอีกหรือไม่” ทั้งอธิบายอีกว่า “วันนี้พวกบ่าวมาถึงเร็วไปสักหน่อย ตอนที่ได้รับแจ้งว่าท่านจะมานั้นก็ได้จัดเตรียมอาหารไปเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเหลือบดูรายการอาหารอย่างลวกๆ ยิ้มพลางกล่าวว่า “ดีมากแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นอาหารที่ข้าชอบกินทั้งนั้น ข้าไม่สั่งอะไรเพิ่มอีกแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว” เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องอาหารสักเท่าใด
เช่นนั้นก็มาเพื่อพูดคุยธุระจริงๆ แล้ว!
โจวเสาจิ่นขบคิดถึงถ้อยคำของฮูหยินผู้เฒ่ากัว พลางเงี่ยหูฟังอยู่ข้างๆ
ใครจะรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลับเอ่ยถึงเรื่องแต่งงานของเฉิงนั่วขึ้นมาก่อน “เมื่อเย็นวานนี้สะใภ้ของหลานเวิ่นยกหีบของขวัญไปหาข้า กล่าวว่าได้หารือกับตระกูลอู๋เป็นที่เรียบร้อยและกำหนดให้วันที่สองเดือนห้าเป็นวันหมั้นเล็ก เรื่องนี้ความจริงแล้วควรจะปรึกษากับท่านให้เร็วกว่านี้สักหน่อย แต่เมื่อหลายวันก่อนนางถูกผีสิงจนสติเลอะเลือน ไม่รู้ว่าตนไปก่อความวุ่นวายให้ท่านได้อย่างไร ตอนนี้พอขบคิดได้แล้วก็รู้สึกกระดากอายไม่มีหน้าไปพบท่าน จึงไหว้วานให้ข้ามาคุยกับท่านสักหน่อย ทั้งไม่กล้าเชิญท่านไปร่วมงานเลี้ยงฉลองด้วย เพียงขอให้ท่านช่วยไว้หน้านั่วเกอเอ๋อร์ยามที่สะใภ้ใหม่แต่งเข้ามา ให้นางกับนั่วเกอเอ๋อร์ไปยกน้ำชาให้ท่านที่เรือนหานปี้ซานเท่านั้นเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเลิกคิ้วขึ้น พลางกล่าว “นางเป็นรุ่นลูก อีกทั้งพ่อแม่สามีก็ไม่อยู่แล้ว ข้ายังจะคิดเล็กคิดน้อยกับนางได้อย่างไร!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนอดรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่งไม่ได้
ฟังจากน้ำเสียงแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวคงจะยกโทษให้ฮูหยินใหญ่เวิ่นแล้ว
ทว่าโจวเสาจิ่นได้ยินแล้วกลับลอบรู้สึกประหลาดใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยกย่องบุคคลที่รักษากิริยามารยาทเป็นที่สุด หากว่าเจ้าพลาดพลั้งทำให้นางกรุ่นโกรธ เพียงมาขอขมาลาโทษนางด้วยตนเอง โดยมากนางก็ให้อภัยแล้ว แต่ถ้าหากเจ้าหลีกเลี่ยงไม่เอ่ยกล่าวอะไร นางก็จะจดจำไปตลอด โดยเฉพาะเรื่องของฮูหยินใหญ่เวิ่นนี้ เห็นได้ชัดว่าสามารถฉวยโอกาสใช้เรื่องงานหมั้นของนั่วเกอเอ๋อร์มากล่าวขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่ากัวสักครั้งก็ได้ แต่กลับไหว้วานให้ท่านยายมาออกหน้าแทน…ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะอภัยให้นางในทันทีได้อย่างไรกัน
เป็นไปตามคาด ไม่นานฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม เนื่องจากนางถึงขั้นมาโวยวายต่อหน้าข้า ต่อไปเจ้าให้นางปรากฏตัวต่อหน้าข้าให้น้อยลงก็แล้วกัน นั่วเกอเอ๋อร์เป็นเด็กอีกรุ่นหนึ่ง ข้าก็ยังไม่ได้แก่หงำเหงือกถึงเพียงนั้น สะใภ้ใหม่ของเขาแต่งเข้ามาแล้วเห็นว่าข้าเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง จะมายกน้ำชาให้ข้าสักจอก ข้าก็จะไม่ให้พวกเขาต้องขาดตกสิ่งใดเช่นกัน ไม่ปล่อยให้พวกเขาต้องกลับไปมือเปล่าหรอก”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย กล่าวยิ้มๆ ว่า “นิสัยนี้ของท่าน ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้วก็ยังไม่เปลี่ยน งานเลี้ยงตระกูลที่ศาลาทิงอวี่เมื่อหลายวันก่อน เหตุใดพอบอกว่าจะไม่ไปก็ไม่ไปเสียอย่างนั้น ทำให้สะใภ้รองรู้สึกอับอาย จนแทบจะนั่งไม่ติดที่เลยทีเดียวเจ้าค่ะ…”