เฉิงฉือชายตามองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้าว่างมากหรือ”
โจวเสาจิ่นยิ้มหน้าแดง
นางเองก็เคยคิดอยากจะทำอะไรให้เฉิงฉือบ้างเป็นครั้งคราวเหมือนกัน แต่เมื่อคิดถึงว่าข้างกายเฉิงฉือมีหนานผิงอยู่ ความคิดนี้ก็จะมลายหายไปในทันที ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้นางยังต้องทำชุดให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอีกหลายตัว เวลาค่อนข้างกระชั้นชิดอยู่บ้างจริงๆ แต่อย่างไรก็ตาม ก็มิใช่ว่านางจะหาเวลามาทำให้ไม่ได้…
เฉิงฉือราวกับมองความคิดของนางได้ทะลุปรุโปร่ง กล่าวขึ้นว่า “เรื่องพวกนี้ทำเป็นครั้งคราวก็พอ อย่าทำตัวเสมือนกับเป็นช่างเย็บปักผู้หนึ่ง ตัวเองต้องรู้จักรักและถนอมตัวเอง เข้าใจหรือไม่ อย่าเอาแต่คิดถึงผู้อื่น”
โจวเสาจิ่นรู้สึกมีความอบอุ่นไหลผ่านหัวใจ
ท่านน้าฉือ ไม่ว่าเวลาใดก็มักจะคิดถึงนางก่อนเสมอ…ต่อให้เป็นการอบรมสั่งสอน ทุกประโยคล้วนพูดเพื่อประโยชน์ของนางทั้งนั้น!
ขอบตาของนางรื้นชื้นขึ้นเล็กน้อย ก้มหน้าลงพร้อมกับขานรับอย่างเกรงใจว่า “เจ้าค่ะ”
เฉิงฉือเห็นนางเชื่อฟัง จึงอารมณ์ดียิ่งนัก ตะโกนเรียกหลังเย่ว์ที่เฝ้าเวรยามอยู่หน้าประตูเข้ามา สั่งให้เขาไปหยิบเสื้อคลุมผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีขาวพระจันทร์ที่แขวนอยู่บนราวแขวนผ้าของตนมา “…ตัวที่หนานผิงเพิ่งทำเสร็จ เตรียมให้ข้าใส่ออกไปในวันพรุ่งนี้ตัวนั้น”
หลั่งเย่ว์ไปหยิบเสื้อคลุมเข้ามาในทันที
โจวเสาจิ่นเห็นเฉิงฉือสวมชุดจื๋อตัวผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีน้ำเงินไพลินเพียงตัวเดียวเท่านั้น ขณะที่กำลังสงสัยอยู่ในใจว่าเหตุใดเขาถึงอยากจะเปลี่ยนชุดในเวลานี้ แล้วตัวเองต้องหลบออกไปก่อนหรือไม่อยู่นั้น ก็เห็นเฉิงฉือตวัดชุดที่อยู่ในมือชุดนั้นลงบนร่างของนาง กล่าวขึ้นว่า “คลุมทับเอาไว้! ลมกลางคืนเย็นขนาดนี้ คนรับใช้ข้างกายเจ้าเหล่านั้นเป็นคนอย่างไรกัน เหตุใดถึงไม่เตือนให้เจ้าสวมเสื้อเพิ่มอีกสักตัว ปล่อยให้เจ้าออกมาเช่นนี้ได้อย่างไร”
นางกะพริบตาปริบๆ ถึงได้สติคืนกลับมา แต่เมื่อได้สติคืนกลับมาแล้วก็กระโดดตัวโหยงพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่อยากสวมเสื้อตัวนี้เจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือขึงตามองมาครั้งหนึ่ง
โจวเสาจิ่นพลันนิ่งเงียบไปในทันที ทว่าในใจกลับคิดว่า พรุ่งนี้เป็นวันอะไรนะ เหตุใดท่านน้าฉือต้องสวมชุดสีขาวพระจันทร์ออกไปข้างนอกด้วย หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่เนิ่นๆ นางคงจะไม่สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีชมพูผลซิ่งตัวนี้หรอก! นางสวมเสื้อคลุมตัวนี้ทับเอาไว้แต่สีเสื้อด้านในเข้มกว่าตัวด้านนอก บังเอาไว้ไม่มิด…ต้องดูน่าเกลียดมากเป็นแน่
แต่ท่านน้าฉือพูดแล้ว นางจึงไม่กล้าขัดคำสั่ง
โจวเสาจิ่นกระวนกระวายประหนึ่งนั่งอยู่บนเบาะเข็ม
เฉิงฉือได้แต่กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าจะให้หลั่งเย่ว์ไปหยิบเสื้อของหนานผิงมาให้เจ้าสวมทับแทน!”
เช่นนั้นนางยอมสวมเสื้อของท่านน้าฉือดีกว่า
อย่างไรเสียเขาก็ได้เห็นสภาพอันน่าเกลียดของนางไปแล้ว
โจวเสาจิ่นได้แต่กล่าวปลอบใจตัวเองว่า “ไม่ต้องเจ้าค่ะๆ ตัวนี้ก็ดีมากแล้ว”
เสื้อสีขาวพระจันทร์ดูเสมือนกับกรงสีขาวที่ห่อหุ้มตัวเด็กน้อยเอาไว้ด้านใน เฉิงฉือรู้สึกว่าดียิ่ง จึงเลือกที่จะทำเป็นมองไม่เห็นอาการกระเง้ากระงอดปากไม่ตรงกับใจของโจวเสาจิ่นเสีย ชี้ไปที่ตำราเล่นหมากล้อมที่นำไปเก็บไว้ข้างๆ เมื่อครู่นี้พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “มา มาเดินหมากเป็นเพื่อนข้า!”
เอ๋!
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโต ในใจบังเกิดความยินดีอยากจะเล่นขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น ยิ้มร่าพร้อมกับพยักหน้าหงึกๆ
ช่างเป็นเด็กโง่ผู้หนึ่งจริงๆ!
ก็เพียงแค่เล่นหมากล้อมเท่านั้น
ต้องดีใจมากขนาดนั้นเชียว
ถึงเวลาเล่นแพ้แล้วก็อย่าพาลตีโพยตีพายก็แล้วกัน
แต่ก็รู้สึกว่าตีโพยตีพายไปก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียก็เป็นการฆ่าเวลา ใช่ว่าเขาจะคาดหวังให้เด็กผู้นี้มาเดินหมากเป็นเพื่อนเขาได้จริงๆ เสียหน่อย
มุมปากของเฉิงฉือยกยิ้มน้อยๆ คนหนึ่งถือหมากสีดำ อีกคนหนึ่งถือหมากสีขาว ค่อยๆ เดินหมากกันไปอย่างไม่รีบร้อน
หลั่งเย่ว์ชงชาอยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง
ทุกครั้งที่ถึงคราวต้องลงหมากโจวเสาจิ่นล้วนยกศอกขึ้นและมองก่อนกว่าครึ่งค่อนวัน
ข้อมือขาวเนียนประหนึ่งหยกมันแพะโผล่ออกมาจากแขนเสื้อกว้าง
เฉิงฉือคิด น่าจะส่งกำไลข้อมือหยกโมราไปให้นางสักคู่หนึ่ง
ต้องซื้อแบบที่เรียวและเล็กประเภทนั้น
หรือจะเป็นหยกมรกตก็ไม่เลวเหมือนกัน
หากว่าใหญ่ไป ก็สวมเป็นกำไลรัดต้นแขนก็น่าจะดูดีไม่น้อย
แต่ไม่ควรสวมพวกเครื่องเงินหรือทอง
โดยเฉพาะทอง
เพราะดูธรรมดาสามัญเกินไป
เขาคิดไปเรื่อยเปื่อย วางหมากตัวหนึ่งลงไปอย่างส่งๆ
โจวเสาจิ่นเห็นเขาใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว จึงลอบค่อนแคะอยู่ในใจ
ท่านน้าฉือทำเกินไปแล้วจริงๆ!
มีเรื่องให้ต้องคิดก็ยังจะลากนางมาเล่นหมากด้วยอีก
เห็นๆ อยู่ว่าใช้นางเป็นตัวฆ่าเวลา
ต้องไม่ปล่อยให้เขาละเลยตนเช่นนี้…
นางกลอกตาไปมา รีบหยุดมือของเฉิงฉือเอาไว้ บุ้ยปากกล่าวขึ้นว่า “ประเดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะๆ ข้ายังคิดไม่เสร็จเจ้าค่ะ”
บัณฑิตผู้ทรงภูมิวางหมากแล้วไม่มีเสียใจภายหลัง
เฉิงฉือมองท่าทางของนางที่ประหนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็เก็บมือกลับไปยิ้มๆ
โจวเสาจิ่นรู้แล้วว่าตาถัดไปเฉิงฉือเตรียมจะวางหมากลงตรงไหน จึงลอบยิ้ม จากนั้นหยิบหมากที่เพิ่งวางลงไปเมื่อครู่ขึ้นมาแล้ววางลงไปยังอีกตำแหน่งหนึ่ง
เช่นนี้ ท่านน้าฉือก็ไม่อาจวางหมากลงไปในตำแหน่งที่หมายจะวางเมื่อครู่นั้นได้แล้ว
จากนั้นเฉิงฉือก็วางหมากลงไป
ตำแหน่งหมากที่วางลงไปในครั้งนี้ไม่ได้ยอดเยี่ยมเท่ากับตำแหน่งก่อนหน้านี้
โจวเสาจิ่นรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
จากนั้นภายในห้องก็มีเสียงที่ทั้งอ่อนหวานและหยดย้อยของโจวเสาจิ่นดังขึ้นมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะๆ “ท่านน้าฉือ เหตุใดท่านถึงต้องวางหมากเร็วถึงเพียงนี้ด้วย ข้ายังคิดไม่เสร็จเลยเจ้าค่ะ!”
“ไม่ใช่ๆ ข้าตั้งใจจะวางตรงนี้ต่างหากเจ้าค่ะ!”
“ท่านน้าฉือ ถึงแม้ฝีมือการเล่นหมากของข้าจะไม่ได้ยอดเยี่ยม แต่ท่านก็ทำเช่นนี้ไม่ได้ เห็นๆ อยู่ว่าข้าวางมันลงตรงนี้!”
เฉิงฉือรู้สึกสนุกสนานยิ่งนัก
มีคนที่เล่นหมากล้อมแล้วพาลได้ถึงระดับนี้ และยังพาลแบบเอาความคิดตนเป็นที่ตั้งเช่นนี้อยู่ด้วย
เขาหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
ทว่าหลั่งเย่ว์กลับปากอ้าตาค้าง
นี่ยังนับว่าเป็นการเล่นหมากล้อมอยู่หรือ
คุณหนูรองวางหมากแล้วก็ดึงกลับไปเพื่อวางใหม่ ทำเช่นนี้จนจบ
แต่นายท่านสี่ก็ยังมีแก่ใจเล่นเป็นเพื่อนคุณหนูรองที่โวยวายเช่นนี้อยู่อีก!
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งแล้ว เขาก็ยิ่งนับถือโจวเสาจิ่น
แม้แต่ซื่อจื่อของจวนเหลียงกั๋วกงก็ยังไม่กล้าโวยวายต่อหน้านายท่านสี่เช่นนี้เลย
คุณหนูรองช่างกล้าหาญยิ่งนัก!
เขาลอบหวาดหวั่นแทนโจวเสาจิ่น!
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับเบิกดวงตาโตอย่างโง่งม
ขนาดว่าเป็นเช่นนี้แล้ว เฉิงฉือก็ยังทำให้หมากที่เรียงกันเป็นพื้นที่แผ่นใหญ่ของนางแตกออกเป็นสามส่วนย่อยจนได้
นางโกรธจนไม่รู้จะโกรธอย่างไรแล้ว!
นี่เห็นได้ชัดว่าท่านน้าฉือใช้ฝีมือเป็นอาวุธในการรังแกผู้อื่น
ใช่ เป็นการใช้ฝีมือเล่นหมากอันสูงส่งของตัวเองมารังแกนาง
นางรวบหมากสีขาวทั้งหมดของเฉิงฉือขึ้นมา บุ้ยปากกล่าวขึ้นว่า “หมากกระดานนี้ไม่นับ เอาใหม่อีกครั้งเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือปล่อยให้นางโวยวาย เล่นหมากกระดานที่สองกับนางต่อ
แต่สิ่งที่ต่างไปจากหมากกระดานก่อนหน้านี้ก็คือ ครั้งนี้เขาเล่นอย่างตั้งใจ ท่วงท่าการวางหมากก็ละมุนอ่อนโยน
โจวเสาจิ่นดูมีความสุขมาก ค่อยๆ เดินหมากกับเฉิงฉือไปอย่างช้าๆ
เฉิงฉือมองโจวเสาจิ่นที่เอนกายพาดอยู่ข้างๆ กระดานหมากราวกับแมวน้อยนั้นแล้ว ในใจก็อ่อนยวบ
หากเด็กน้อยผู้นี้แต่งงานออกไปแล้ว ไหนเลยจะได้เห็นภาพเช่นนี้อีก
บ้านหลังนี้คงขาดชีวิตชีวาไปไม่น้อย!
หรือว่าจะเก็บเด็กน้อยผู้นี้ไว้ที่บ้านอีกสักสองปีดี…แต่งงานให้ช้าลงสักหน่อย จะได้เป็นผลดีต่อการมีบุตรด้วย โอกาสที่จะต้องเจอกับภาวะคลอดบุตรยากก็จะมีน้อยลงไปด้วย
เฉิงฉือครุ่นคิดไปด้วย เล่นหมากอย่างส่งๆ ไปด้วย
ตอนที่ไปรับประทานมื้อเช้ากับฮูหยินผู้เฒ่ากัวในเช้าวันถัดมานั้น โจวเสาจิ่นหาวออกมาครั้งหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “เมื่อวานไปทำอะไรมาหรือ”
โจวเสาจิ่นตกใจไปครั้งใหญ่ กล่าวออกมาตามตรงว่า “ไปเล่นหมากเป็นเพื่อนท่านน้าฉือมาเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวคิดไม่ถึงว่าหลังจากกลับออกไปจากที่นี่แล้วทั้งสองคนยังจะไปเล่นหมากด้วยกันอีก ถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “แล้วพวกเจ้าเล่นกันถึงกี่ยาม”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงกล่าวขึ้นว่า “เล่นกันจนถึงยามสามเจ้าค่ะ”
เวลาที่ได้อยู่กับท่านน้าฉือมักจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วมากเป็นพิเศษ ทั้งๆ ที่เล่นหมากไปเพียงสามกระดานเท่านั้น ทว่ากลับเล่นจนเวลาล่วงเลยไปถึงยามสาม หากมิใช่เพราะหลั่งเย่ว์ยืนสัปหงกอยู่ตรงนั้นแล้วชนเข้ากับตะเกียงที่อยู่ข้างๆ จนเกิดไฟลุกขึ้นมา แล้วพวกไหวซานเข้ามาดับไฟแล้วล่ะก็ ไม่แน่ว่าพวกเขาคงจะเล่นต่อไปอีกสองกระดานก็เป็นได้
“ดึกเพียงนั้นเชียว!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวประหลาดใจเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นพยักหน้า ไม่ได้ระแวดระวังตัวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว กล่าวขึ้นว่า “ข้าแพ้ตลอดเลยเจ้าค่ะ!”
ท่าทางเป็นทุกข์ยิ่งนัก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “คนที่เอาชนะน้าฉือของเจ้าได้ก็มีไม่กี่คนนักหรอก”
ท่านน้าฉือช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก!
โจวเสาจิ่นพยักหน้าด้วยความชื่นชมเต็มใบหน้า กล่าวขึ้นด้วยความภูมิใจเล็กๆ อย่างห้ามไม่อยู่ว่า “แต่ว่าภายหลังมายิ่งอยู่ก็แพ้น้อยลงแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า
เจ้าสี่มักจะมีความสามารถนี้ ถึงแม้จะชนะแต่ก็ทำให้คนที่พ่ายแพ้รู้สึกมีความสุขได้
นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ช่วงบ่ายพวกเราไปเล่นหมากกับเจ้าสี่กันเถิด!”
โจวเสาจิ่นหน้าร้อนผะผ่าว พึมพำกล่าวว่า “ข้า…ข้าไม่ไปได้หรือไม่เจ้าคะ”
หากฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นอาการแพ้แล้วพาลตีโพยตีพายนั้นของนาง นางมิต้องมุดศีรษะหนีลงดินหรอกหรือ!
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามอย่างแปลกใจว่า “เหตุใดถึงไม่ไปเล่า”
โจวเสาจิ่นได้แต่กล่าวว่า “ข้ามักจะแพ้ตลอด…”
สาวน้อยอายเป็นแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวแผ่รอยยิ้มออกมาจากดวงตาอย่างห้ามไม่อยู่ “ได้ๆๆ พวกเจ้าเล่นของพวกเจ้า ข้าจะทำเป็นไม่รู้ก็แล้วกัน”
“เปล่าเจ้าค่ะ!” เสียงของโจวเสาจิ่นงึมงำประหนึ่งเสียงยุงบิน กลัวฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะเข้าใจผิดว่านางไม่รู้จักยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างไรดี ขณะที่กำลังลำบากใจอยู่นั้น เฉิงฉือก็เดินเข้ามา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ได้ยินเสียงหัวเราะของท่านแม่มาตั้งแต่หน้าประตู! มีเรื่องอะไรให้ดีใจหรือขอรับ”
เรื่องนี้หากพูดออกไปต้องถูกท่านน้าฉือหัวเราะเยาะเป็นแน่!
โจวเสาจิ่นมองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างขอความช่วยเหลือ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะดังลั่น ขยิบตาให้โจวเสาจิ่น แล้วกล่าวกับเฉิงฉือยิ้มๆ ว่า “นี่เป็นเรื่องของข้ากับเสาจิ่น เจ้าอย่ามายุ่งเลย!”
สีหน้าเผยความซุกซนแก่นแก้วที่ยากนักจะได้เห็นออกมา
ไม่ต้องพูดถึงเฉิงฉือ แม้แต่ปี้อวี้และคนอื่นๆ ที่ให้การรับใช้อยู่ภายในห้องต่างก็ประหลาดใจกันเป็นอย่างมาก
เฉิงฉือนึกถึงตอนที่ตนยังเป็นเด็ก มีบางครั้งที่มารดากำลังคุยอะไรบางอย่างกับบิดาอยู่ แล้วเขาก็วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปอย่างกะทันหัน มีบางครั้งที่มารดาก็ส่งสายตาให้บิดาเช่นนี้เหมือนกัน
สายตาของเขาเคลื่อนไปตกลงบนร่างของโจวเสาจิ่นอย่างช่วยไม่ได้
โจวเสาจิ่นกำลังมองมารดาของเขาด้วยอาการแน่นิ่ง ดูราวกับว่าถูกฮูหยินผู้เฒ่ากัวทำให้ตกใจจนเป็นเช่นนั้นไปแล้ว
เฉิงฉือหลุดหัวเราะ
เจ้าเด็กโง่ผู้นี้!
ถ้าหากเป็นผู้อื่น เกรงว่าคงจะกระโจนตัวเข้าไปหาตั้งนานแล้ว หากมิใช่เข้าไปเอาอกเอาใจมารดา ก็คงจะเข้าไปร่วมวงด้วยเพื่อหลอกล่อให้มารดาดีใจไปแล้ว แต่นางก็ดี กลับรู้จักแค่ยืนอย่างโง่งมอยู่ตรงนั้น…แต่อย่างไรก็ตาม ก็เพราะเป็นเช่นนี้ คนที่ผ่านประสบการณ์มามากมายอย่างมารดาถึงได้ชื่นชอบนางกระมัง
พวกเด็กรับใช้นำถ้วยและตะเกียบมาวางให้เฉิงฉือ
ทั้งสามคนรับประทานมื้อเที่ยงกันไปอย่างเงียบๆ
ทว่าเฉิงฉือกลับไม่ได้กลับไปทำธุระของเขาต่อเหมือนปรกติอย่างที่เคยทำ แต่นั่งดื่มชาและพูดคุยเป็นเพื่อนพวกนางอยู่ที่ห้องนั่งเล่น
“ท่านแม่” เขายิ้มขณะถามฮูหยินผู้เฒ่ากัว “เทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างวันนั้นท่านมีแผนการอะไรหรือยังขอรับ” จากนั้นไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยปากก็กล่าวขึ้นอีกว่า “เทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างวันนั้นทางการจะจัดงานแข่งเรือมังกรที่ทะเลสาบโม่โฉว ข้าจองห้องส่วนตัวขนาดสามห้องกั้นสองห้องติดกันที่หอชิงเยียนเอาไว้ ถึงเวลานั้นข้าจะไปดูการแข่งเรือมังกรเป็นเพื่อนท่านกับเสาจิ่นก็แล้วกัน!”
“ไอ้โหยว!” แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพอได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างยิ้มแย้มว่า “คิดไม่ถึงว่าปีนี้ทางการจะจัดงานแข่งเรือมังกรด้วย เช่นนั้นต้องไปดูให้ได้เสียแล้ว!”
งานแข่งเรือมังกรที่ทางการจัดขึ้นครั้งล่าสุดก่อนหน้านี้ ก็เป็นงานที่จัดขึ้นตั้งแต่สมัยเจ้าเมืองคนก่อนโน้นแล้ว
เฉิงฉือมองไปที่โจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นดีใจจนไม่รู้จะดีใจอย่างไรดีแล้ว ไล่ถามเฉิงฉือว่า “ข้าจะได้ไปด้วยจริงๆ หรือเจ้าคะ”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ท่านแม่ของข้าไปดูแข่งเรือมังกร เจ้าย่อมต้องตามไปเป็นเพื่อนด้วยอยู่แล้ว!”
โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยีจนดวงตาและคิ้วโก่งโค้ง พยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุด
เฉิงฉือเห็นนางดีใจมากเพียงนั้น จึงกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “หากเจ้ามีสหายสนิท จะส่งเทียบเชิญไปชวนพวกนางไปดูแข่งเรือมังกรด้วยกันก็ได้ ห้องส่วนตัวที่หอชิงเยียนนั้นกว้างขวางมาก”
“ชวนสหายไปด้วยก็ได้หรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นทั้งประหลาดใจและดีใจ
เฉิงฉือพยักหน้ายิ้มๆ
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับมองบุตรชายอย่างประหลาดใจครั้งหนึ่ง
เขามิใช่คนที่จะสนใจเรื่องทุกอย่างประเภทนั้น
เฉิงฉือรู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมาเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ได้
เขากระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่ของจวนเหลียงกั๋วกงใกล้จะแต่งงานไปอยู่ที่เป่าติ้งแล้ว”