ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 296 มีความสุข

เฉิงฉือชายตามองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้าว่างมากหรือ”

โจวเสาจิ่นยิ้มหน้าแดง

นางเองก็เคยคิดอยากจะทำอะไรให้เฉิงฉือบ้างเป็นครั้งคราวเหมือนกัน แต่เมื่อคิดถึงว่าข้างกายเฉิงฉือมีหนานผิงอยู่ ความคิดนี้ก็จะมลายหายไปในทันที ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้นางยังต้องทำชุดให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอีกหลายตัว เวลาค่อนข้างกระชั้นชิดอยู่บ้างจริงๆ แต่อย่างไรก็ตาม ก็มิใช่ว่านางจะหาเวลามาทำให้ไม่ได้…

เฉิงฉือราวกับมองความคิดของนางได้ทะลุปรุโปร่ง กล่าวขึ้นว่า “เรื่องพวกนี้ทำเป็นครั้งคราวก็พอ อย่าทำตัวเสมือนกับเป็นช่างเย็บปักผู้หนึ่ง ตัวเองต้องรู้จักรักและถนอมตัวเอง เข้าใจหรือไม่ อย่าเอาแต่คิดถึงผู้อื่น”

โจวเสาจิ่นรู้สึกมีความอบอุ่นไหลผ่านหัวใจ

ท่านน้าฉือ ไม่ว่าเวลาใดก็มักจะคิดถึงนางก่อนเสมอ…ต่อให้เป็นการอบรมสั่งสอน ทุกประโยคล้วนพูดเพื่อประโยชน์ของนางทั้งนั้น!

ขอบตาของนางรื้นชื้นขึ้นเล็กน้อย ก้มหน้าลงพร้อมกับขานรับอย่างเกรงใจว่า “เจ้าค่ะ”

เฉิงฉือเห็นนางเชื่อฟัง จึงอารมณ์ดียิ่งนัก ตะโกนเรียกหลังเย่ว์ที่เฝ้าเวรยามอยู่หน้าประตูเข้ามา สั่งให้เขาไปหยิบเสื้อคลุมผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีขาวพระจันทร์ที่แขวนอยู่บนราวแขวนผ้าของตนมา “…ตัวที่หนานผิงเพิ่งทำเสร็จ เตรียมให้ข้าใส่ออกไปในวันพรุ่งนี้ตัวนั้น”

หลั่งเย่ว์ไปหยิบเสื้อคลุมเข้ามาในทันที

โจวเสาจิ่นเห็นเฉิงฉือสวมชุดจื๋อตัวผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีน้ำเงินไพลินเพียงตัวเดียวเท่านั้น ขณะที่กำลังสงสัยอยู่ในใจว่าเหตุใดเขาถึงอยากจะเปลี่ยนชุดในเวลานี้ แล้วตัวเองต้องหลบออกไปก่อนหรือไม่อยู่นั้น ก็เห็นเฉิงฉือตวัดชุดที่อยู่ในมือชุดนั้นลงบนร่างของนาง กล่าวขึ้นว่า “คลุมทับเอาไว้! ลมกลางคืนเย็นขนาดนี้ คนรับใช้ข้างกายเจ้าเหล่านั้นเป็นคนอย่างไรกัน เหตุใดถึงไม่เตือนให้เจ้าสวมเสื้อเพิ่มอีกสักตัว ปล่อยให้เจ้าออกมาเช่นนี้ได้อย่างไร”

นางกะพริบตาปริบๆ ถึงได้สติคืนกลับมา แต่เมื่อได้สติคืนกลับมาแล้วก็กระโดดตัวโหยงพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่อยากสวมเสื้อตัวนี้เจ้าค่ะ!”

เฉิงฉือขึงตามองมาครั้งหนึ่ง

โจวเสาจิ่นพลันนิ่งเงียบไปในทันที ทว่าในใจกลับคิดว่า พรุ่งนี้เป็นวันอะไรนะ เหตุใดท่านน้าฉือต้องสวมชุดสีขาวพระจันทร์ออกไปข้างนอกด้วย หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่เนิ่นๆ นางคงจะไม่สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีชมพูผลซิ่งตัวนี้หรอก! นางสวมเสื้อคลุมตัวนี้ทับเอาไว้แต่สีเสื้อด้านในเข้มกว่าตัวด้านนอก บังเอาไว้ไม่มิด…ต้องดูน่าเกลียดมากเป็นแน่

แต่ท่านน้าฉือพูดแล้ว นางจึงไม่กล้าขัดคำสั่ง

โจวเสาจิ่นกระวนกระวายประหนึ่งนั่งอยู่บนเบาะเข็ม

เฉิงฉือได้แต่กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าจะให้หลั่งเย่ว์ไปหยิบเสื้อของหนานผิงมาให้เจ้าสวมทับแทน!”

เช่นนั้นนางยอมสวมเสื้อของท่านน้าฉือดีกว่า

อย่างไรเสียเขาก็ได้เห็นสภาพอันน่าเกลียดของนางไปแล้ว

โจวเสาจิ่นได้แต่กล่าวปลอบใจตัวเองว่า “ไม่ต้องเจ้าค่ะๆ ตัวนี้ก็ดีมากแล้ว”

เสื้อสีขาวพระจันทร์ดูเสมือนกับกรงสีขาวที่ห่อหุ้มตัวเด็กน้อยเอาไว้ด้านใน เฉิงฉือรู้สึกว่าดียิ่ง จึงเลือกที่จะทำเป็นมองไม่เห็นอาการกระเง้ากระงอดปากไม่ตรงกับใจของโจวเสาจิ่นเสีย ชี้ไปที่ตำราเล่นหมากล้อมที่นำไปเก็บไว้ข้างๆ เมื่อครู่นี้พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “มา มาเดินหมากเป็นเพื่อนข้า!”

เอ๋!

โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโต ในใจบังเกิดความยินดีอยากจะเล่นขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น ยิ้มร่าพร้อมกับพยักหน้าหงึกๆ

ช่างเป็นเด็กโง่ผู้หนึ่งจริงๆ!

ก็เพียงแค่เล่นหมากล้อมเท่านั้น

ต้องดีใจมากขนาดนั้นเชียว

ถึงเวลาเล่นแพ้แล้วก็อย่าพาลตีโพยตีพายก็แล้วกัน

แต่ก็รู้สึกว่าตีโพยตีพายไปก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียก็เป็นการฆ่าเวลา ใช่ว่าเขาจะคาดหวังให้เด็กผู้นี้มาเดินหมากเป็นเพื่อนเขาได้จริงๆ เสียหน่อย

มุมปากของเฉิงฉือยกยิ้มน้อยๆ คนหนึ่งถือหมากสีดำ อีกคนหนึ่งถือหมากสีขาว ค่อยๆ เดินหมากกันไปอย่างไม่รีบร้อน

หลั่งเย่ว์ชงชาอยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง

ทุกครั้งที่ถึงคราวต้องลงหมากโจวเสาจิ่นล้วนยกศอกขึ้นและมองก่อนกว่าครึ่งค่อนวัน

ข้อมือขาวเนียนประหนึ่งหยกมันแพะโผล่ออกมาจากแขนเสื้อกว้าง

เฉิงฉือคิด น่าจะส่งกำไลข้อมือหยกโมราไปให้นางสักคู่หนึ่ง

ต้องซื้อแบบที่เรียวและเล็กประเภทนั้น

หรือจะเป็นหยกมรกตก็ไม่เลวเหมือนกัน

หากว่าใหญ่ไป ก็สวมเป็นกำไลรัดต้นแขนก็น่าจะดูดีไม่น้อย

แต่ไม่ควรสวมพวกเครื่องเงินหรือทอง

โดยเฉพาะทอง

เพราะดูธรรมดาสามัญเกินไป

เขาคิดไปเรื่อยเปื่อย วางหมากตัวหนึ่งลงไปอย่างส่งๆ

โจวเสาจิ่นเห็นเขาใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว จึงลอบค่อนแคะอยู่ในใจ

ท่านน้าฉือทำเกินไปแล้วจริงๆ!

มีเรื่องให้ต้องคิดก็ยังจะลากนางมาเล่นหมากด้วยอีก

เห็นๆ อยู่ว่าใช้นางเป็นตัวฆ่าเวลา

ต้องไม่ปล่อยให้เขาละเลยตนเช่นนี้…

นางกลอกตาไปมา รีบหยุดมือของเฉิงฉือเอาไว้ บุ้ยปากกล่าวขึ้นว่า “ประเดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะๆ ข้ายังคิดไม่เสร็จเจ้าค่ะ”

บัณฑิตผู้ทรงภูมิวางหมากแล้วไม่มีเสียใจภายหลัง

เฉิงฉือมองท่าทางของนางที่ประหนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็เก็บมือกลับไปยิ้มๆ

โจวเสาจิ่นรู้แล้วว่าตาถัดไปเฉิงฉือเตรียมจะวางหมากลงตรงไหน จึงลอบยิ้ม จากนั้นหยิบหมากที่เพิ่งวางลงไปเมื่อครู่ขึ้นมาแล้ววางลงไปยังอีกตำแหน่งหนึ่ง

เช่นนี้ ท่านน้าฉือก็ไม่อาจวางหมากลงไปในตำแหน่งที่หมายจะวางเมื่อครู่นั้นได้แล้ว

จากนั้นเฉิงฉือก็วางหมากลงไป

ตำแหน่งหมากที่วางลงไปในครั้งนี้ไม่ได้ยอดเยี่ยมเท่ากับตำแหน่งก่อนหน้านี้

โจวเสาจิ่นรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

จากนั้นภายในห้องก็มีเสียงที่ทั้งอ่อนหวานและหยดย้อยของโจวเสาจิ่นดังขึ้นมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะๆ “ท่านน้าฉือ เหตุใดท่านถึงต้องวางหมากเร็วถึงเพียงนี้ด้วย ข้ายังคิดไม่เสร็จเลยเจ้าค่ะ!”

“ไม่ใช่ๆ ข้าตั้งใจจะวางตรงนี้ต่างหากเจ้าค่ะ!”

“ท่านน้าฉือ ถึงแม้ฝีมือการเล่นหมากของข้าจะไม่ได้ยอดเยี่ยม แต่ท่านก็ทำเช่นนี้ไม่ได้ เห็นๆ อยู่ว่าข้าวางมันลงตรงนี้!”

เฉิงฉือรู้สึกสนุกสนานยิ่งนัก

มีคนที่เล่นหมากล้อมแล้วพาลได้ถึงระดับนี้ และยังพาลแบบเอาความคิดตนเป็นที่ตั้งเช่นนี้อยู่ด้วย

เขาหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

ทว่าหลั่งเย่ว์กลับปากอ้าตาค้าง

นี่ยังนับว่าเป็นการเล่นหมากล้อมอยู่หรือ

คุณหนูรองวางหมากแล้วก็ดึงกลับไปเพื่อวางใหม่ ทำเช่นนี้จนจบ

แต่นายท่านสี่ก็ยังมีแก่ใจเล่นเป็นเพื่อนคุณหนูรองที่โวยวายเช่นนี้อยู่อีก!

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งแล้ว เขาก็ยิ่งนับถือโจวเสาจิ่น

แม้แต่ซื่อจื่อของจวนเหลียงกั๋วกงก็ยังไม่กล้าโวยวายต่อหน้านายท่านสี่เช่นนี้เลย

คุณหนูรองช่างกล้าหาญยิ่งนัก!

เขาลอบหวาดหวั่นแทนโจวเสาจิ่น!

ทว่าโจวเสาจิ่นกลับเบิกดวงตาโตอย่างโง่งม

ขนาดว่าเป็นเช่นนี้แล้ว เฉิงฉือก็ยังทำให้หมากที่เรียงกันเป็นพื้นที่แผ่นใหญ่ของนางแตกออกเป็นสามส่วนย่อยจนได้

นางโกรธจนไม่รู้จะโกรธอย่างไรแล้ว!

นี่เห็นได้ชัดว่าท่านน้าฉือใช้ฝีมือเป็นอาวุธในการรังแกผู้อื่น

ใช่ เป็นการใช้ฝีมือเล่นหมากอันสูงส่งของตัวเองมารังแกนาง

นางรวบหมากสีขาวทั้งหมดของเฉิงฉือขึ้นมา บุ้ยปากกล่าวขึ้นว่า “หมากกระดานนี้ไม่นับ เอาใหม่อีกครั้งเจ้าค่ะ!”

เฉิงฉือปล่อยให้นางโวยวาย เล่นหมากกระดานที่สองกับนางต่อ

แต่สิ่งที่ต่างไปจากหมากกระดานก่อนหน้านี้ก็คือ ครั้งนี้เขาเล่นอย่างตั้งใจ ท่วงท่าการวางหมากก็ละมุนอ่อนโยน

โจวเสาจิ่นดูมีความสุขมาก ค่อยๆ เดินหมากกับเฉิงฉือไปอย่างช้าๆ

เฉิงฉือมองโจวเสาจิ่นที่เอนกายพาดอยู่ข้างๆ กระดานหมากราวกับแมวน้อยนั้นแล้ว ในใจก็อ่อนยวบ

หากเด็กน้อยผู้นี้แต่งงานออกไปแล้ว ไหนเลยจะได้เห็นภาพเช่นนี้อีก

บ้านหลังนี้คงขาดชีวิตชีวาไปไม่น้อย!

หรือว่าจะเก็บเด็กน้อยผู้นี้ไว้ที่บ้านอีกสักสองปีดี…แต่งงานให้ช้าลงสักหน่อย จะได้เป็นผลดีต่อการมีบุตรด้วย โอกาสที่จะต้องเจอกับภาวะคลอดบุตรยากก็จะมีน้อยลงไปด้วย

เฉิงฉือครุ่นคิดไปด้วย เล่นหมากอย่างส่งๆ ไปด้วย

ตอนที่ไปรับประทานมื้อเช้ากับฮูหยินผู้เฒ่ากัวในเช้าวันถัดมานั้น โจวเสาจิ่นหาวออกมาครั้งหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “เมื่อวานไปทำอะไรมาหรือ”

โจวเสาจิ่นตกใจไปครั้งใหญ่ กล่าวออกมาตามตรงว่า “ไปเล่นหมากเป็นเพื่อนท่านน้าฉือมาเจ้าค่ะ!”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวคิดไม่ถึงว่าหลังจากกลับออกไปจากที่นี่แล้วทั้งสองคนยังจะไปเล่นหมากด้วยกันอีก ถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “แล้วพวกเจ้าเล่นกันถึงกี่ยาม”

โจวเสาจิ่นหน้าแดงกล่าวขึ้นว่า “เล่นกันจนถึงยามสามเจ้าค่ะ”

เวลาที่ได้อยู่กับท่านน้าฉือมักจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วมากเป็นพิเศษ ทั้งๆ ที่เล่นหมากไปเพียงสามกระดานเท่านั้น ทว่ากลับเล่นจนเวลาล่วงเลยไปถึงยามสาม หากมิใช่เพราะหลั่งเย่ว์ยืนสัปหงกอยู่ตรงนั้นแล้วชนเข้ากับตะเกียงที่อยู่ข้างๆ จนเกิดไฟลุกขึ้นมา แล้วพวกไหวซานเข้ามาดับไฟแล้วล่ะก็ ไม่แน่ว่าพวกเขาคงจะเล่นต่อไปอีกสองกระดานก็เป็นได้

“ดึกเพียงนั้นเชียว!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวประหลาดใจเล็กน้อย

โจวเสาจิ่นพยักหน้า ไม่ได้ระแวดระวังตัวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว กล่าวขึ้นว่า “ข้าแพ้ตลอดเลยเจ้าค่ะ!”

ท่าทางเป็นทุกข์ยิ่งนัก

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “คนที่เอาชนะน้าฉือของเจ้าได้ก็มีไม่กี่คนนักหรอก”

ท่านน้าฉือช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก!

โจวเสาจิ่นพยักหน้าด้วยความชื่นชมเต็มใบหน้า กล่าวขึ้นด้วยความภูมิใจเล็กๆ อย่างห้ามไม่อยู่ว่า “แต่ว่าภายหลังมายิ่งอยู่ก็แพ้น้อยลงแล้วเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า

เจ้าสี่มักจะมีความสามารถนี้ ถึงแม้จะชนะแต่ก็ทำให้คนที่พ่ายแพ้รู้สึกมีความสุขได้

นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ช่วงบ่ายพวกเราไปเล่นหมากกับเจ้าสี่กันเถิด!”

โจวเสาจิ่นหน้าร้อนผะผ่าว พึมพำกล่าวว่า “ข้า…ข้าไม่ไปได้หรือไม่เจ้าคะ”

หากฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นอาการแพ้แล้วพาลตีโพยตีพายนั้นของนาง นางมิต้องมุดศีรษะหนีลงดินหรอกหรือ!

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามอย่างแปลกใจว่า “เหตุใดถึงไม่ไปเล่า”

โจวเสาจิ่นได้แต่กล่าวว่า “ข้ามักจะแพ้ตลอด…”

สาวน้อยอายเป็นแล้ว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวแผ่รอยยิ้มออกมาจากดวงตาอย่างห้ามไม่อยู่ “ได้ๆๆ พวกเจ้าเล่นของพวกเจ้า ข้าจะทำเป็นไม่รู้ก็แล้วกัน”

“เปล่าเจ้าค่ะ!” เสียงของโจวเสาจิ่นงึมงำประหนึ่งเสียงยุงบิน กลัวฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะเข้าใจผิดว่านางไม่รู้จักยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างไรดี ขณะที่กำลังลำบากใจอยู่นั้น เฉิงฉือก็เดินเข้ามา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ได้ยินเสียงหัวเราะของท่านแม่มาตั้งแต่หน้าประตู! มีเรื่องอะไรให้ดีใจหรือขอรับ”

เรื่องนี้หากพูดออกไปต้องถูกท่านน้าฉือหัวเราะเยาะเป็นแน่!

โจวเสาจิ่นมองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างขอความช่วยเหลือ

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะดังลั่น ขยิบตาให้โจวเสาจิ่น แล้วกล่าวกับเฉิงฉือยิ้มๆ ว่า “นี่เป็นเรื่องของข้ากับเสาจิ่น เจ้าอย่ามายุ่งเลย!”

สีหน้าเผยความซุกซนแก่นแก้วที่ยากนักจะได้เห็นออกมา

ไม่ต้องพูดถึงเฉิงฉือ แม้แต่ปี้อวี้และคนอื่นๆ ที่ให้การรับใช้อยู่ภายในห้องต่างก็ประหลาดใจกันเป็นอย่างมาก

เฉิงฉือนึกถึงตอนที่ตนยังเป็นเด็ก มีบางครั้งที่มารดากำลังคุยอะไรบางอย่างกับบิดาอยู่ แล้วเขาก็วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปอย่างกะทันหัน มีบางครั้งที่มารดาก็ส่งสายตาให้บิดาเช่นนี้เหมือนกัน

สายตาของเขาเคลื่อนไปตกลงบนร่างของโจวเสาจิ่นอย่างช่วยไม่ได้

โจวเสาจิ่นกำลังมองมารดาของเขาด้วยอาการแน่นิ่ง ดูราวกับว่าถูกฮูหยินผู้เฒ่ากัวทำให้ตกใจจนเป็นเช่นนั้นไปแล้ว

เฉิงฉือหลุดหัวเราะ

เจ้าเด็กโง่ผู้นี้!

ถ้าหากเป็นผู้อื่น เกรงว่าคงจะกระโจนตัวเข้าไปหาตั้งนานแล้ว หากมิใช่เข้าไปเอาอกเอาใจมารดา ก็คงจะเข้าไปร่วมวงด้วยเพื่อหลอกล่อให้มารดาดีใจไปแล้ว แต่นางก็ดี กลับรู้จักแค่ยืนอย่างโง่งมอยู่ตรงนั้น…แต่อย่างไรก็ตาม ก็เพราะเป็นเช่นนี้ คนที่ผ่านประสบการณ์มามากมายอย่างมารดาถึงได้ชื่นชอบนางกระมัง

พวกเด็กรับใช้นำถ้วยและตะเกียบมาวางให้เฉิงฉือ

ทั้งสามคนรับประทานมื้อเที่ยงกันไปอย่างเงียบๆ

ทว่าเฉิงฉือกลับไม่ได้กลับไปทำธุระของเขาต่อเหมือนปรกติอย่างที่เคยทำ แต่นั่งดื่มชาและพูดคุยเป็นเพื่อนพวกนางอยู่ที่ห้องนั่งเล่น

“ท่านแม่” เขายิ้มขณะถามฮูหยินผู้เฒ่ากัว “เทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างวันนั้นท่านมีแผนการอะไรหรือยังขอรับ” จากนั้นไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยปากก็กล่าวขึ้นอีกว่า “เทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างวันนั้นทางการจะจัดงานแข่งเรือมังกรที่ทะเลสาบโม่โฉว ข้าจองห้องส่วนตัวขนาดสามห้องกั้นสองห้องติดกันที่หอชิงเยียนเอาไว้ ถึงเวลานั้นข้าจะไปดูการแข่งเรือมังกรเป็นเพื่อนท่านกับเสาจิ่นก็แล้วกัน!”

“ไอ้โหยว!” แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพอได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างยิ้มแย้มว่า “คิดไม่ถึงว่าปีนี้ทางการจะจัดงานแข่งเรือมังกรด้วย เช่นนั้นต้องไปดูให้ได้เสียแล้ว!”

งานแข่งเรือมังกรที่ทางการจัดขึ้นครั้งล่าสุดก่อนหน้านี้ ก็เป็นงานที่จัดขึ้นตั้งแต่สมัยเจ้าเมืองคนก่อนโน้นแล้ว

เฉิงฉือมองไปที่โจวเสาจิ่น

โจวเสาจิ่นดีใจจนไม่รู้จะดีใจอย่างไรดีแล้ว ไล่ถามเฉิงฉือว่า “ข้าจะได้ไปด้วยจริงๆ หรือเจ้าคะ”

“ย่อมเป็นเช่นนั้น” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ท่านแม่ของข้าไปดูแข่งเรือมังกร เจ้าย่อมต้องตามไปเป็นเพื่อนด้วยอยู่แล้ว!”

โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยีจนดวงตาและคิ้วโก่งโค้ง พยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุด

เฉิงฉือเห็นนางดีใจมากเพียงนั้น จึงกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “หากเจ้ามีสหายสนิท จะส่งเทียบเชิญไปชวนพวกนางไปดูแข่งเรือมังกรด้วยกันก็ได้ ห้องส่วนตัวที่หอชิงเยียนนั้นกว้างขวางมาก”

“ชวนสหายไปด้วยก็ได้หรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นทั้งประหลาดใจและดีใจ

เฉิงฉือพยักหน้ายิ้มๆ

ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับมองบุตรชายอย่างประหลาดใจครั้งหนึ่ง

เขามิใช่คนที่จะสนใจเรื่องทุกอย่างประเภทนั้น

เฉิงฉือรู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมาเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ได้

เขากระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่ของจวนเหลียงกั๋วกงใกล้จะแต่งงานไปอยู่ที่เป่าติ้งแล้ว”

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน
Status: Ongoing
ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset