โจวชูจิ่นในวัยสิบแปดปีลมแทบจับเมื่อได้ฟังเรื่องที่เล่ามา
ถึงแม้ว่าท่านบรรพบุรุษ เฉิงซวี่แห่งตระกูลเฉิงจะลาออกจากราชสำนักแล้วเนื่องด้วยอาการเจ็บป่วยเมื่อสิบปีที่ก่อน ทว่าลูกศิษย์ ผู้ติดตาม หรือสหายเก่าแก่ก็ยังมีอยู่ทั่วทุกหนแห่งทั้งในและนอกราชสำนัก ยังคงมีอิทธิพลหลงเหลืออยู่ นายท่านผู้เฒ่าใหญ่เฉิงจิงแห่งตระกูลเฉิงจวนหลักดำรงตำแหน่งจิ่วชิง [1] อีกเพียงหนึ่งขั้นก็จะได้รับมอบตำแหน่งเป็นหัวหน้าในกรมวัง เฉิงสวี่จากตระกูลเฉิงจวนหลัก เฉิงสือจากตระกูลเฉิงจวนรอง เฉิงเจิ้งจากตระกูลเฉิงจวนสาม เฉิงเก้าจากตระกูลเฉิงจวนสี่ ล้วนแต่เป็นเมล็ดพันธ์แห่งผู้มีความรู้ สอบผ่านได้เป็น ซิ่วไฉ [2] แล้ว ทั้งยังมีชื่ออยู่ในกลุ่มผู้ที่ผ่านการคัดเลือก ผู้ใดบ้างที่ไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นในเวลานี้ จะทำเรื่องที่ทำให้ชื่อเสียงของตระกูลเสื่อมเสียได้อย่างไร?
นางตกใจอย่างมาก ด้วยกำลังต่อต้านความรู้สึกจนไม่ได้ปิดปากน้องสาวให้แน่น
หรือตอนหกล้มที่ข้างทะเลสาบเกิดเรื่องผิดปกติขึ้น?
ไม่เช่นนั้นแล้ว น้องสาวที่เชื่อฟังและน่ารักมาตลอดนั้นจะพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องขึ้นมาได้อย่างไร
โจวชูจิ่นตกใจจนหัวใจเต้นตึกตัก ไม่กล้าแสดงอะไรออกมาทางสีหน้า ไม่เพียงเท่านั้น ยังต้องพูดปลอบโยนน้องสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เจ้าเพียงฝันร้ายเท่านั้น!”
โจวเสาจิ่นงงงัน
พี่สาวผู้ซึ่งเป็นที่พึ่งและใกล้ชิดนางที่สุดไม่เชื่อนาง ทั้งยังมาบอกนางอย่างสดใสว่า นางเพียงฝันร้ายไปเท่านั้น!
ความฝันจะเสมือนจริงขนาดนี้ได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นไม่เชื่อ
นางรีบเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตในตอนนั้นให้พี่สาวฟัง ทว่าพี่สาวกลับดวงตาแดงก่ำและจับมือของนางไว้ กล่าวอย่างเจ็บปวดว่า “ข้ารู้ ข้ารู้ ที่เจ้าพูดมานั้นถูกต้องทุกอย่าง เพียงแต่ว่าตอนนี้ดึกแล้ว เจ้าต้องพักผ่อนแล้ว รอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าก่อน พี่สาวค่อยมาฟังเจ้าเล่า ดีหรือไม่”
เป็นเพียงคำพูดที่ต้องการเอาใจ ปลอบโยนและทำให้สงบลงเท่านั้น
หัวใจของโจวเสาจิ่นหนักอึ้ง
นางไม่รู้จะรับมือกับพี่สาวแบบนี้อย่างไร จึงเลี่ยงมองไปทางหน้าต่าง
เวลานี้เป็นช่วงพลบค่ำพอดี แสงยามโพล้เพล้ย้อมชานเรือนจนกลายเป็นสีเหลืองส้มอบอุ่น บ่าวเด็กในจวนหลายคนกำลังเล่นเตะลูกขนไก่ เสียงหัวเราะของพวกนางเสมือนกับเสียงระฆังเงินที่ดังก้องกังวานอย่างมีชีวิตชีวาอยู่ในลาน ป้าตู้ที่เป็นบ่าวในครัวนั้นยิ้มกว้างขณะกำลังยกสำรับข้าวข้ามมาจากตรงกลางลาน บ่าวเด็กๆ เหล่านั้นเกือบจะชนนางเข้า ป้าเจ้าที่เป็นบ่าวทำความสะอาดเรือนนั้น ไม่รู้ว่าพุ่งออกมาจากที่ใด ทั้งดึงแขนเสื้อทั้งเอ็ดเสียงดังใส่บ่าวเด็กเหล่านั้น บ่าวเด็กเหล่านั้นหวาดกลัวได้แต่ก้มหัวโค้งตัวลง รีบกล่าวขอความเมตตาไม่หยุด ป้าตู้ผู้ใจดี ยืนขวางอยู่ที่ด้านหน้าของเด็กๆ ออกหน้าพูดแทนให้
ต้นองุ่นกำลังผลิใบอ่อน ดอกกุหลาบเลื้อยตรงมุมกำแพงกำลังเบ่งบานราวกับเพลิงราวกับดอกถูอย่างมีชีวิตชีวา ดอกอวี้หลานดอกใหญ่ขาวเนียนราวหยก ห้อยกระจัดกระจายบนต้นอวี้หลานต้นสูง
หากว่านี่คือดินแดนแห่งความฝัน แล้วตนเองเล่าจะนับเป็นตัวอะไร
ในใจของโจวเสาจิ่นเย็นยะเยือก
หรือจะเป็นตนเองที่เข้าใจผิด?
ขณะที่มองไปยังพี่สาวที่ถึงแม้จะดูเป็นกังวล แต่ก็ยังเป็นคนที่รอบคอบรัดกุมเฉกเช่นเมื่อก่อน ทันใดนั้นโจวเสาจิ่นไม่อาจมั่นใจได้ว่า แท้จริงแล้วตนเองเพียงแค่ฝันร้ายไปอย่างที่พี่สาวพูด หรือจะเป็นอย่างที่ตนเองคิดว่าเป็นการกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง
โจวชูจิ่นช่วยจัดหมอนให้น้องสาวด้วยตัวเอง ประคองโจวเสาจิ่นให้นอนลง กล่าวขึ้นว่า “เด็กดี พี่สาวจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเจ้า เจ้าหลับตาลงแล้วนอนสักตื่น ตื่นขึ้นมาอะไรๆ ก็จะดีขึ้น”
สุดท้ายแล้ว ก็ยังไม่เชื่อนาง
อารมณ์ของโจวเสาจิ่นสับสนว้าวุ่น
คำพูดของพี่สาวอาจจะถูกต้องแล้วก็ได้!
นางปลอบใจตัวเอง หลับตาลง
กลางดึก นางถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยฝันร้าย
พี่สาวที่นอนหลับอยู่ข้างกายนางคลานขึ้นมาในทันที กอดนางเอาไว้ในอ้อมกอดแน่น ตบหลังนางเบาๆ กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “เด็กดี ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว พี่สาวอยู่ข้างๆ เจ้า!”
ร่างกายของโจวเสาจิ่นเต็มไปด้วยเหงื่อ อยากจะพูดอะไรกับพี่สาวสักหน่อย พอเหลือบตาขึ้น กลับพบว่าในดวงตาของพี่สาวนั้นมีความกลัวพาดผ่านอยู่เล็กน้อย
อย่างไรแล้วพี่สาวก็เป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบแปดปีผู้หนึ่ง นางเพียงผู้เดียวกลับต้องพาน้องสาวที่ยังเด็กนักไปอาศัยอยู่ที่จวนของผู้อื่น ก็ย่อมต้องมีช่วงเวลาที่ตื่นตระหนก เป็นกังวลและตกใจกลัว!
โจวเสาจิ่นนิ่งงัน เป็นครั้งแรกที่ตระหนักได้ว่า พี่สาวในสายตาของตัวเองผู้ซึ่งเข้มแข็งและทำได้ทุกอย่างนั้น อย่างไรแล้วก็เป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาผู้หนึ่ง แล้วก็มีช่วงเวลาที่จำเป็นต้องมีคนมาปกป้องและให้พึ่งพิง
มุมปากของนางสั่นเทา สุดท้ายก็เม้มปากแน่น และไม่พูดอะไร
ตอนเช้าของวันถัดมา โจวชูจิ่นปล่อยให้โจวเสาจิ่นอยู่ภายในห้อง ส่วนตนเองนั้นไปที่เรือนของท่านยาย ฮูหยินผู้เฒ่ากวน
ไม่นานนัก ข่าวอาการป่วยของโจวเสาจิ่นก็มาถึงบนเรือน โจวเหนียงจื่อผู้ซึ่งให้การรักษาบรรดาผู้หญิงในตระกูลเฉิงก็ถูกเชิญมาที่จวน เรือนสวนดอกไม้หอมจึงเริ่มตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นสมุนไพร ภรรยาของหม่าฟู่ซานผู้ซึ่งมีหน้าที่ดูแลเรื่องต่างๆ ภายในจวนของตระกูลโจวก็รุดหน้ามาเข้าเยี่ยมเช่นเดียวกัน หลังจากที่ได้กระซิบคุยกับโจวชูจิ่นแล้ว นางก็เดินทางอย่างเงียบเชียบเพื่อไปจุดธูปขอพรตามวัดที่อยู่ใจกลางเมืองจินหลิง ทั้งวัดพุทธและเต๋า ไม่เพียงไปขอน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำมาให้โจวเสาจิ่น ยังมีกำยานและยันต์กระดาษมาด้วย
โจวชูจิ่นให้ภรรยาของหม่าฟู่ซานค้างคืนที่เรือน
กลางดึก พวกนางลุกขึ้นมาเผายันต์กระดาษ
โจวเสาจิ่นที่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยฝันร้ายยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง มองไปที่เปลวไฟตั้งแต่ที่ไฟกำลังลุกโชนจนกระทั่งมันมอดดับเงียบไปอย่างสงบนิ่ง จากนั้นหมุนตัวกลับขึ้นเตียงแล้วหลับตาลง
เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน?
ทำไมต้องโต้เถียงกับพี่สาวเพราะเรื่องนี้ แล้วทำให้นางต้องหวาดกลัวและเป็นกังวล ทำลายความความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง
ทว่าทุกครั้งที่ถูกทำให้กลัวเพราะฝันร้ายยามดึกสงัดนั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่า หากว่าเรื่องราวที่นางประสบมานั้นเป็นเรื่องจริง ตระกูลเฉิงก็อาจจะโดนตรวจสอบ ยึดทรัพย์ และถูกลงโทษ ท่านยาย ท่านลุง พี่ชาย หรือแม้แต่บ่าวรับใช้หญิงชายเหล่านั้นที่เคยให้การรับใช้นาง ทุกคนที่นางรู้จักในตระกูลเฉิง อาจต้องตายทั้งหมด!
เช่นนี้แล้วก็ยังจะให้นางแกล้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลยอย่างนั้นหรือ
ความเมตตาของท่านยาย ความรักระหว่างสายเลือดของพี่สาว ความเอื้ออารีย์ของท่านลุงใหญ่ ทั้งยังท่านป้าใหญ่ พี่ชายเก้า พี่ชายอี้ที่ล้วนดีต่อนาง นางก็จะปล่อยไป ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นคิดๆ แล้วก็รู้สึกตื่นตระหนกและหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ผวาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่อาจข่มตาให้หลับลงอีกครั้งได้อีก
นางตัดสินใจจะพิสูจน์ความจริงให้กระจ่าง จะหาโอกาสแอบพี่สาวตรวจสอบทุกรายละเอียดของเรื่องนี้
เพียงคิดไม่ถึงว่าการเงียบขรึมของตนเองนั้นไม่อาจทำให้พี่สาวเบาใจลงได้ เพื่อนางแล้วพี่สาวยังแอบท่านยายไปที่วัดด้วยตัวเองเพื่อไหว้พระสวดมนต์ขอพรให้นาง หลังจากที่นางผ่านความรู้สึกซาบซึ้งใจและเสียใจไปแล้ว ที่ท่วมท้นมากกว่านั้นกลับเป็นความปิติยินดี
ยังดีที่นางไม่ได้กล่าวยืนกรานต่อหน้าพี่สาวเรื่องการกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เช่นนั้นแล้วไม่รู้ว่า พี่สาวที่เข้าใจไปแล้วว่านางถูกผีร้ายเข้าสิงนั้น จะเจ็บปวดใจ เสียใจ เศร้าโศกและสิ้นหวังเพียงใด
นางอดไม่ได้ถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง ทันใดก็คิดแผนได้แผนหนึ่ง
ในเมื่อนางไม่อยากให้เกิดการโต้แย้งกับพี่สาว และยังกลัวว่าจะเสียโอกาสที่จะช่วยเหลือตระกูลเฉิง ทำไมไม่แอบพิสูจน์ให้กระจ่างอยู่เงียบๆ ว่าแท้จริงแล้วตนเองนั้นเพียงฝันร้ายไปหรือว่ากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง
หากว่าสิ่งที่นางรู้มาทั้งหมดนั้นล้วนเกิดขึ้นตามนั้นจริง ก็พิสูจน์ได้ว่านางกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ในทางตรงกันข้าม หากว่าสิ่งที่นางรู้มาทั้งหมดนั้นล้วนไม่เกิดขึ้น ก็เป็นการพิสูจน์ได้แล้วว่านางเพียงฝันร้ายไปเท่านั้นไม่ใช่หรือ
ทันใดนั้นดวงตาของโจวเสาจิ่นก็สว่างวาบขึ้น
นางในขณะนี้อายุสิบสองปี แล้วนางตอนอายุสิบสองปีนั้นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้างนะ?
โจวเสาจิ่นจมดิ่งเข้าสู่ห้วงความคิด
ช่วงเวลาของเดือนหกนั้น เหมือนกับว่าเฉิงลู่ผ่านการสอบระดับ ย่วนซื่อ [3] เป็นลำดับที่หก ได้รับคุณวุฒิ ปิ่งเซิง…เดือนแปด ท่านพ่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองของเป่าติ้ง ถึงแม้จะอยู่ขั้นสี่ ดำรงตำแหน่งเจ้าเมือง ทว่าเมืองเป่าติ้งนั้นเป็นส่วนหนึ่งของราชสำนักทางเหนือ เป็นทางผ่านเส้นเดียวจากเมืองหลวงมาทางตอนใต้ หากไม่มีข้อผิดพลาดใดเกิดขึ้น ย่อมจะได้รับการเลื่อนขั้นในไม่ช้า ท่านลุงใหญ่เหมี่ยนและท่านยายล้วนดีใจเป็นอย่างมาก…ต่อมาเป็นงานวันเกิดครบรอบห้าสิบหกปีของท่านยาย มารดาของเฉิงลู่มาคำนับแสดงความยินดี ขณะอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลเฉิงหลายคนนั้น ก็จับมือของนางไว้แล้วกล่าวชมว่านางเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนและสุภาพเรียบร้อย เป็นเด็กสาวที่ประพฤติตนดียิ่ง เฉิงเจียยังล้อเลียนตัวเองว่า ตนเองนั้นอายุน้อยกว่านาง ทว่ากลับใจร้อนกว่านาง ตั้งแต่ยังเล็กๆ ก็คิดถึงเรื่องแต่งงานแล้ว
คิดมาถึงเฉิงเจียแล้ว ใบหน้าหนึ่งก็วาบผ่านเข้ามาในหัวของนาง โจวเสาจิ่นตกใจลุกขึ้นมานั่งในทันที
นางหลงลืมคนคนนี้ และเรื่องนี้ไปได้อย่างไร
วันที่สิบสองเดือนสี่ปีนี้ เป็นวันครบรอบวันมหาวันเกิดปีที่แปดสิบ ของท่านบรรพบุรุษ เฉิงซวี่แห่งตระกูลเฉิงจวนรอง ตระกูลเฉิงถือโอกาสนี้จัดงานอย่างยิ่งใหญ่ ไม่เพียงเชิญญาติและมิตรสหายของตระกูลเฉิงเท่านั้น ยังเชิญสานุศิษย์ ผู้นับถือต่างๆ อีกด้วย แม้แต่ผู้นำขุนนางที่อยู่ในราชสำนักที่เมืองหลวง สำนักศึกษาเหวินยวนเตี้ยน ราชเลขากรมขุนนางหยวนเหวยชางยังมอบหมายให้บุตรชายคนโตส่งของขวัญมามอบให้ด้วย
ครั้งแรกที่อู๋เป่าจางปรากฎตัวที่จวนตระกูลเฉิง ก็คือคืนก่อนวันเกิดของ ท่านบรรพบุรุษ !
โจวเสาจิ่นสีหน้าเคร่งเครียด บีบมือเข้าด้วยกันแน่นอย่างอดไม่ได้
อู๋ซิ่ว บิดาของอู๋เป่าจาง เข้าดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองจินหลิง เมื่อเดือนเก้า ปีที่สิบเจ็ด ในรัชศกจื้อเต๋อ จินหลิงนั้นได้รับการขนานนามว่าว่าเป็น ‘เจียงหนานดินแดนแห่งความงดงาม จินหลิงทวีปแห่งทวยเทพ’ มีตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่สำคัญอย่างมาก อู๋ซิ่วมีพื้นเพมาจากครอบครัวธรรมดา นอกจากพี่ชายของภรรยาที่รับราชการตำแหน่งเก่ยซื่อจง [4] สังกัดกรมโยธาธิการแล้ว ในราชสำนักล้วนไม่มีผู้มีอำนาจหนุนหลัง ทว่านับเป็นความโชคดีทำให้ได้รับตำแหน่งเจ้าเมืองแห่งจินหลิงโดยบังเอิญ การดำรงตำแหน่งเป็นผู้ปกครองแห่งจินหลิงนั้น เหนือหัวเขามีผู้ปกครองที่สืบทอดอำนาจต่อกันมาอย่างไม่เสื่อมคลาย เบื้องล่างเขาก็มีตระกูลขุนนางหรือมหาบัณฑิต ทั้งยังตระกูลผู้มีชื่อเสียงต่างๆ ไหนจะประสบการณ์ไม่ค่อยดีที่ผ่านมาล้วนไม่ง่ายนัก นึกไปถึงผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาในตำแหน่งเจ้าเมือง นายอำเภอแห่งเจียงหนิง หลิวหมิงจวี่
ไม่ว่าใครเขาก็ไม่กล้าขัดใจ ไม่ว่าผู้ใดเขาก็ไม่กล้าปฏิเสธ
สถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยช่างยากลำบากนัก
เพื่อคงตำแหน่งเจ้าเมืองไว้ หลังผ่านพ้นวันตรุษจีนแล้ว สองสามีภรรยาตระกูลอู๋เริ่มเข้าออกจวนตระกูลใหญ่ต่างๆ ของจินหลิงบ่อยครั้งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว มารดาเลี้ยงของอู๋เป่าจางซึ่งเป็นหญิงจากตระกูลกวน ด้วยอยากเข้าถึงตระกูลเฉิง หลังจากที่ถามไถ่จนทราบว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนแซ่เดียวกับนางแล้ว ก็สร้างทางเชื่อมให้ตัวเองโดยการเรียกฮูหยินผู้เฒ่ากวนว่า ‘ท่านป้า’ แล้วก็เริ่มไปมาหาสู่กับจวนตระกูลเฉิงสายสี่
ตอนที่ฮูหยินอู๋พาอู๋เป่าจางมาเป็นแขกที่จวนนั้น ท่านยายยังให้นางและพี่สาวออกมาต้อนรับแขก
คำนวณเวลาแล้ว น่าจะเป็นช่วงเวลานี้
โจวเสาจิ่นกัดริมฝีปาก ตะโกนเสียงสูง “ซือเซียง”
เมื่อคืนเป็นอีกครึ่งค่อนคืนที่ไม่ได้นอน ซือเซียงที่พิงหลับอยู่ที่เสาประตูห้องโถงนั้น พอได้ยินเสียงร้องเรียกก็รีบวิ่งเข้ามาในทันที
“คุณหนูรอง ท่านตื่นแล้ว!” นางดึงผ้าม่านเตียงขึ้นอย่างอ่อนโยนพลางกล่าว “ข้าช่วยท่านล้างหน้าแต่งตัวนะเจ้าคะ? วันนี้ในครัวทำสุ่ยจิงเกา [5] กับสือจิ่นโต้วฝูเลา [6] ที่ท่านชอบที่สุดด้วยเจ้าค่ะ ข้าให้พวกบ่าวนำอาหารเช้าขึ้นโต๊ะเลยนะเจ้าคะ?”
โจวเสาจิ่นทำหูทวนลม กล่าวขึ้น “วันนี้เป็นวันที่เท่าใด”
ซือเซียงงุนงงเล็กน้อย รีบกล่าว “วันนี้เป็นวันที่ยี่สิบสี่เดือนสามเจ้าค่ะ”
กล่าวได้ว่า ห่างจากวัน เกิดของท่านบรรพบุรุษ อีกยี่สิบวัน
ทว่าวันที่อู๋เป่าจางมาเป็นแขกของจวนวันที่เท่าไหร่นั้น โจวเสาจิ่นกลับจำไม่ได้เลยสักนิด
นางจำได้เพียงว่าอู๋เป่าจางนั้นมีรูปร่างสูงปานกลาง ใบหน้ากลม ผิวขาวเนียนละเอียด ดวงตาโต คิ้วโก่ง ตรงหว่างคิ้วมีปานแดงขนาดใหญ่เท่าเมล็ดข้าว ยามหัวเราะมีความสงวนท่าทีค่อนข้างมาก ทว่ายามที่มองผู้คนนั้นสายตากลับหรี่ลงเล็กน้อย ทำให้แค่มองก็รู้สึกได้ว่านางไม่ใช่คนประเภทที่รู้จักแต่เชื่อฟังคำสั่งแต่เป็นคนไม่รู้จักปรับตัวและยืดหยุ่น
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่โจวเสาจิ่นได้พบเจอคนที่มีปานแดงอยู่ตรงระหว่างคิ้ว ให้ความรู้สึกประหลาดใจยิ่ง ยามที่ผู้ใหญ่พูดคุยกันนั้น นางเบิกตาโต พินิจไปทางอู๋เป่าจางอยู่เนืองๆ
เป็นไปได้ว่าเพราะรู้สึกได้ถึงสายตาของนาง อู๋เป่าจางจึงหันหน้ามาทางนางและยิ้มบางๆ ให้ พูดกับนางด้วยน้ำเสียงอบอุ่น กระทั่งถึงเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง ยังส่งบ๊ะจ่างที่ห่อด้วยตัวเองมาให้ ปักถุงหอมอู่ตู๋ [7] ให้นางกับพี่สาวเป็นของขวัญด้วย
ในไม่ช้า พวกนางก็เริ่มไปมาหาสู่กัน
นางรู้สึกว่าอู๋เป่าจางเป็นคนที่ไม่เลวทีเดียว จึงแนะนำอู๋เป่าจางให้รู้จักกับเฉิงเจีย
หลังจากนั้นอู๋เป่าจางก็เริ่มเข้าออกจวนสาม และยิ่งได้รับความโปรดปรานจากท่านย่าใหญ่เจิ้งของจวนสอง มีชื่อเสียงว่าเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อมด้วยความสามารถและคุณธรรม มีที่ยืนที่มั่นคงท่ามกลางหญิงสาวในวงสังคม
——
[1] จิ่วชิง (九卿) คือ ระบบยศตำแหน่งขุนนางข้าราชการฝ่ายการเมือง มีทั้งหมดเก้าระดับ โดยลำดับที่เก้าเป็นลำดับต่ำที่สุด
[2] ซิ่วไฉ (秀才) แปลตรงตัวได้ว่า เป็นผู้มีพรสวรรค์ คือผู้ที่สอบผ่านระดับต้นหรือระดับท้องถิ่น
[3] ย่วนซื่อ (院试) เป็นการสอบในระดับที่สามของการสอบระดับต้น ที่จัดสอบโดยขุนนางที่ราชสำนักมอบหมายหน้าที่มาโดยตรง ซึ่งการสอบในระดับต้นแบ่งออกเป็นสามระดับคือ เซี่ยนซื่อ (县试) ฝู่ซื่อ (府试) และ ย่วนซื่อ (院试) ตามลำดับ
[4] เก่ยซื่อจง (给事中) ขุนนางขั้นเจ็ดในระบบชั้นยศขุนนางแบบ 9 ขั้นเป็นขุนนางที่มีหน้าที่รับผิดชอบงานด้านระเบียบกฏเกณฑ์ในส่วนราชการ งานอาคารสถานที่ งานรับส่งหนังสือและสิ่งของทางราชการ และงานตรวจสอบความเรียบร้อยของงานในกระทรวงของฝ่ายบริหาร
[5] สุ่ยจิงเกา (水晶糕) เค้กวุ้นใส ทานเป็นของว่าง
[6] สือจิ่นโต้วฝูเลา (什锦豆腐涝) เต้าฮวยที่โรยหน้าด้วยผักและเครื่องปรุงต่างๆ ทานเป็นของว่าง
[7] ถุงหอมอู่ตู๋ (五毒香囊) ถุงหอมที่ช่วยไล่สัตว์ห้าชนิด คือ แมลงป่อง งูพิษ ตะขาบ จิ้งจก และคางคก