ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 47 ไม่พบ

เฉิงสวี่เดินทอดน่องบนทางเดินใต้ร่มไม้อย่างไร้จุดหมาย  

 

 

ฮวนสี่ทนไม่ได้จึงกล่าวขึ้นว่า “คุณชายใหญ่ขอรับ พวกเราจะไปที่ไหนกันหรือ”  

 

 

เฉิงสวี่คิดแล้ว กล่าวอย่างเศร้าสร้อยว่า “กลับห้องตัวจย้ากันเถอะ! กลับไปฝึกคัดลายมือสักสองสามหน้า เมื่อถึงเวลานั้นจะได้เอาไปให้ท่านอาสี่ช่วยชี้แนะ”  

 

 

การเขียนพู่กันของเฉิงฉือค่อนข้างเลื่องลือในหมู่บัณฑิตของเมืองจินหลิง  

 

 

ถึงเวลานั้นจะมีโอกาสไปเยี่ยมท่านอาสี่อีกครั้ง  

 

 

ฮวนสี่รู้สึกโล่งใจ  

 

 

ถ้าหากคุณชายใหญ่ไม่ตั้งใจเรียน ฮูหยินจะต้องคิดว่าตนเป็นผู้ที่ยุยงคุณชายใหญ่ให้ไปเที่ยวเล่นเป็นแน่  

 

 

เขากล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “ได้ยินมาว่าผลยิงเถากับลูกไหนมีขายอยู่ในตลาดแล้ว บ่าวไปซื้อกลับมาให้คุณชายใหญ่ได้ลองชิมลูกสดๆ ดีหรือไม่ขอรับ”  

 

 

คำพูดของฮวนสี่สะกิดใจของเฉิงสวี่  

 

 

เขาชอบทานผลยิงเถามาก คนในจวนมักจะนึกถึงเขาอยู่เสมอ พวกบ่าวจะคิดหาวิธีซื้อกลับมาให้เขาจากข้างนอก มารดาเองก็จะกำชับพ่อบ้านฉินเป็นพิเศษให้ไปเก็บลูกที่สดใหม่ที่สุดจากชาวสวน แม้แต่ท่านย่า ยามถึงฤดูที่ผลยิงเถาวางขายในตลาด ก็จะตั้งใจไปหาซื้อให้เขาโดยเฉพาะ  

 

 

จัดหาสิ่งของที่ถูกใจมาให้ผู้อื่น จึงจะประจบเอาใจผู้นั้นได้  

 

 

“ฮวนสี่” เฉิงสวี่พึมพำกล่าว “เจ้าบอกว่า หากข้าช่วยนางกำจัดคนที่นางเกลียดที่สุด นางจะหายโกรธข้าแล้วมองข้าในมุมมองใหม่ใช่หรือไม่”  

 

 

ฮวนสี่คิดวนไปมาหลายตลบจึงตระหนักได้ว่า ‘นาง’ ผู้นั้นที่เฉิงสวี่หมายถึงคือโจวเสาจิ่นนั่นเอง  

 

 

เขายิ้มและกล่าวขึ้นว่า “แน่นอนขอรับ ในหนังสือกล่าวเอาไว้ไม่ใช่หรือว่า ‘การส่งถ่านให้ท่ามกลางหิมะนั้นเป็นเรื่องยาก แต่การปักดอกไม้เพิ่มบนผ้าดิ้นลายสวยงามกลับเป็นเรื่องง่าย’ สิ่งที่ท่านกระทำนี้ ก็นับว่าเป็นการส่งถ่านให้ท่ามกลางหิมะขอรับ!”  

 

 

เฉิงสวี่พอใจกับคำพูดนี้มาก เขาตบบ่าของฮวนสี่ กล่าวขึ้นว่า “ครั้งก่อนเจ้าถูกใจกำไลทองคู่หนึ่งจากร้านหย่งฝูเซิ่งมิใช่หรือ เมื่อข้าไปพบปี้อวี้จะมอบเงินยี่สิบเหลี่ยงให้เจ้า ถือว่าเป็นรางวัลที่ข้ามอบให้แก่เจ้า”   

 

 

“จริงหรือขอรับ!” ฮวนสี่ดีใจจนหยุดไม่อยู่ กล่าวขอบคุณไม่หยุด  

 

 

บนยอดภูเขาขนาดเล็กที่ตั้งซ้อนกันขึ้นจากก้อนหินทะเลสาบไท่หูภายในเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย ไหวซานผู้มีรูปร่างราวไม้ไผ่บางลีบกำลังยืนข้างเก้าอี้เหม่ยเหรินที่มีลักษณะเป็นที่นั่งเคลือบสีแดงที่ยาวไปตามโถงทางเดิน เขาเห็นเงาร่างของเฉิงสวี่กับฮวนสี่ค่อยๆ หายเข้าไปในหมู่แมกไม้อันเขียวชอุ่ม จึงหันตัวกลับไป เดินเข้าสู่โถงนั่งเล่นที่ปิดแผ่นป้ายเหนือประตูว่า ‘โถงชิงอิน’ แล้วกระซิบรายงานว่า “นายท่านขอรับ คุณชายใหญ่สวี่ไปแล้วขอรับ”  

 

 

ห้องโถงนั่งเล่นขนาดสามห้องกั้นนั้นมีหน้าต่างหกเหลี่ยมลายดอกเหมยติดกระจกใส ภายในห้องกว้างและสว่าง แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาโดยตรงและตกอยู่บนร่างของชายหนุ่มที่สวมชุดนักพรตเต้าเผาผ้าฝ้ายสีน้ำเงินครามที่ยืนอยู่ข้างหน้าโต๊ะเขียนหนังสือขนาดใหญ่ ผิวขาวเนียนละเอียดดุจหยกน้ำงามชั้นยอดไร้ตำหนิ สุกใสและแวววาว เผยให้เห็นความสง่างามและดูสูงส่ง ทว่ากลับเผยให้เห็นความเย็นชาและเหินห่างด้วยเช่นเดียวกัน  

 

 

“อย่างนั้นหรือ?” เขาวางพู่กันในมือลง มองสำรวจกระดาษเซวียนจื่อ [1] ที่กางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วจึงกล่าวอย่างเฉยชาว่า “กล่าวกันว่าคราวนี้ร้านเหวินเต๋อผลิตแท่งหมึกออกมาได้ดีอยู่ชุดหนึ่งมิใช่หรือ? ขอให้เจ้าของร้านของพวกเขาช่วยส่งแท่งหมึกสักสองสามแท่งมาให้ลองใช้ดู”  

 

 

ไหวซานขานตอบว่า “ขอรับ” อยากจะเอ่ยบางอย่างแต่ก็หยุดไป  

 

 

เฉิงฉือยืนอยู่ข้างหน้าโต๊ะเขียนหนังสืออย่างเงียบๆ ยกแขนขึ้นแล้วตวัดพู่กัน  

 

 

ภายในห้องโถงชิงอินได้ยินแต่เสียงครืดคราดของพู่กันที่กระทบลงบนกระดาษเซวียนจื่อกับเสียงซ่าๆ ของลมที่พัดผ่านใบไม้  

 

 

ไหวซานยืนนิ่งอยู่พักใหญ่ แล้วจึงถอยออกไปอย่างเงียบๆ  

 

 

ภายในเรือนเจียซู่ โจวซูจิ่นกำลังเล่าเรื่องในศาลาซานจือให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนฟัง “…ยังดีที่ได้พบกับท่านน้าฉือของจวนหลัก ไม่เช่นนั้นเกรงว่าเรื่องนี้ก็ยากที่จะจบลงเจ้าค่ะ”  

 

 

“คุณชายใหญ่ผู้นี้ นึกไม่ถึงเลยว่าจะหุนหันพลันแล่นได้ขนาดนี้” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่เชื่ออยู่เล็กน้อย ขมวดคิ้วมุ่น แล้วกล่าวขึ้นว่า “อย่างไรก็ตาม แม้ว่านายท่านสี่ของจวนหลักนั้นจะเป็นคนที่เย็นชา แต่ในด้านการบริหารจัดการกลับทำให้ผู้คนรู้สึกไว้วางใจ… เขาไม่สนใจเรื่องใดก็จะไม่สนใจเรื่องนั้นเลย แต่ถ้าหากเขาสนใจขึ้นมา ย่อมไม่มีเรื่องใดที่จัดการแล้วไม่สำเร็จ โดยเฉพาะในช่วงหลายปีมานี้ เขาดูแลกิจการภายในจวน สั่งสมประสบการณ์และความสามารถมากมายยิ่งขึ้น เมื่อใดที่เขาแทรกมือเข้าช่วย เจ้าก็วางใจได้เลยว่า เขาจะไม่กล่าวอะไรออกไปเป็นอันขาด ส่วนเรื่องจะกล่าวขอบคุณนั้น ถ้าหากได้เจอเขา ก็ลองดูสักประโยคหนึ่ง หากเขาดูเหมือนไม่อยากกล่าวอะไรมาก พวกเจ้าก็ไม่ต้องกล่าวถึงอีกเลย แต่ถ้าหากไม่ได้เจอ ก็ไม่ต้องไปขอบคุณเป็นการเฉพาะ เขาผู้นี้ กล่าวให้ฟังดูดีสักหน่อยก็เป็นคนที่ถือตัว มีท่าทีเฉกเช่นบัณฑิตในสมัยเว่ยกับจิ้น [2]  กล่าวให้ฟังดูไม่ดีสักหน่อยก็เป็นคนที่นิสัยใจคอแปลกประหลาด ดื้อรั้นและหัวแข็ง ไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตาเลยสักนิด ยามที่เขาพูดคุยกับเจ้าสักสองประโยค นั่นก็หมายความว่ายอมรับเจ้าแล้ว ยามที่เขาไม่ยอมรับ ต่อให้เจ้าไปหาเขาอย่างเป็นมิตรเขาก็ไม่แยแสเจ้าอยู่ดี แต่ว่าเขายังดูแลกิจการภายในจวนอยู่ จะเพิกเฉยไม่สนใจเลยก็ไม่ได้ เจ้าดูอย่างนายท่านใหญ่เวิ่นก็เข้าใจแล้ว คนในจวนยังเคารพนับถือเขาอยู่ห่างๆ เจ้าไม่ต้องติดต่อเขาไปหรอก รอจนถึงวันไหนที่ต้องติดต่อกันก็จะรู้เอง”  

 

 

เป็นครั้งแรกที่ท่านยายกล่าววิจารณ์คนเช่นนี้  

 

 

โจวชูจิ่นก็ค่อนข้างประหลาดใจใจเล็กน้อย แต่นางเชื่อในความคิดเห็นของท่านยายมาตลอด จึงยิ้มพลางขานตอบว่า “เจ้าค่ะ” แล้วกล่าวถามด้วยความฉงนว่า “จวนหลักกับจวนรอง และจวนสามต่างก็แยกจวนออกมาแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ ต่อให้จำต้องติดต่อกับท่านน้าฉือ นั่นก็เป็นเรื่องของจวนหลัก เกี่ยวอะไรกับจวนห้าหรือเจ้าคะ”   

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มและกล่าวว่า “เจ้านั้นไม่รู้อะไร นายท่านสี่ฉือยังเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภผู้หนึ่งอีกด้วย หลายปีก่อนหลังจากที่จวนสามแยกจวนออกจากจวนหลักกับจวนรอง จวนสามก็ก่อตั้งจวนของตนเอง แต่จวนหลักกับจวนรองยังคงรวมอยู่ด้วยกัน ก่อนหน้านี้นายท่านผู้เฒ่าลี่ของจวนรองเป็นผู้ดูแลกิจการของทั้งสองจวน ภายหลังที่นายท่านผู้เฒ่าลี่เสียชีวิตจากการเจ็บป่วย ตอนนั้นท่านลุงอี๋ของเจ้าก็ยังเด็กอยู่ กิจการของพวกเขาสองจวนนี้จึงมอบให้นายท่านผู้เฒ่าซวินของจวนหลักรับไปดูแล แต่ทว่านายท่านผู้เฒ่าซวินรับราชการอยู่ที่เมืองหลวง ไหนเลยจะดูแลกิจการภายในจวนได้ จึงผลักให้จวนรองดูแลแทน ในตอนนั้นหน้าที่การงานในราชสำนักของท่านผู้นำตระกูลของจวนรองกำลังรุ่งเรือง จึงไม่ยินยอมที่จะรับช่วงต่อ การดูแลกิจการของทั้งสองจวนจึงกลายเป็นภาระที่เจ้าผลักมา ข้าก็ผลักกลับไป ภายหลังเมื่อหมดหนทางแล้วจริงๆ จึงให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูแลอยู่หลายปี…  

 

 

…ถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะเป็นสตรีที่ความสามารถไม่เป็นรองบุรุษเลยผู้หนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วนางก็ยังคงเป็นสตรี งานบางอย่างจึงถูกจำกัด แต่ช่วงสามถึงห้าปีนั้น จวนสามเป็นเพียงจวนเดียวที่ใหญ่โตขึ้น ส่วนจวนหลักกับจวนรองนับได้ว่าปกป้องมรดกของบรรพบุรุษมาได้อย่างยากลำบาก จนกระทั่งนายท่านฉือมารับช่วงต่อ วันเวลาของจวนหลักกับจวนรองถึงได้กลับมามีความโชคดีหลังจากผ่านพ้นความโชคร้ายอีกครั้ง และกลับมารุ่งโรจน์กว่าเดิมมากราวกองไฟที่ราดด้วยน้ำมัน ไม่เพียงสามารถขยายที่ดินสำหรับประกอบพิธีเซ่นไหว้ได้หลายฉิ่ง [3]  แต่ยังก่อตั้งธุรกิจร้านตั๋วแลกเงินกับทางด้านมณฑลอันฮุย ที่เรียกว่า ‘ทางตอนเหนือมีหลี่เว่ย ทางตอนใต้มีอวี้ไท่’ หลี่เว่ยนี้ ก็หมายถึงร้านตั๋วแลกเงิน ‘เว่ยจื้อเฮ่า’ ของตระกูลหลี่ในอำเภอเซ่อเซี่ยน ส่วน ‘อวี้ไท่’ นั้น ก็หมายถึงร้านตั๋วแลกเงิน ‘อวี้ไท่’ ของตระกูลเฉิงของพวกเรานั่นเอง…  

 

 

…เนื่องจากร้านตั๋วแลกเงิน ‘เว่ยจื้อเฮ่า’ เป็นการรวมหุ้นกันระหว่างพี่น้องหลายคนของตระกูลหลี่ในอำเภอเซ่อเซี่ยน นายท่านสี่ฉือก็เสนอให้พวกเราสองสามจวนรวมหุ้นด้วยเช่นกัน สำนักศึกษาของตระกูลเฉิงจึงไม่ต้องพะวงเรื่องเงินทอง และทุ่มเทให้กับการศึกษาเล่าเรียน นายท่านหลายท่านสามารถเลื่อนตำแหน่งในราชสำนักอย่างไร้กังวล วันเวลาของพวกเราสองสามจวนจึงยิ่งเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น ทั้งหมดเป็นเพราะมีส่วนแบ่งมาจากร้านตั๋วแลกเงิน ‘อวี้ไท่’ ต่อให้นิสัยใจคอของนายท่านสี่ฉือนั้นจะแปลกประหลาด แต่มีใครบ้างที่กล้าจะไม่ยอมลงให้เขา?” เมื่อกล่าวเสร็จแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็หัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา  

 

 

เรื่องราวเหล่านี้โจวชูจิ่นไม่เคยได้ยินมาก่อน อดไม่ได้ที่จะทำหน้าแปลกใจออกมา  

 

 

“เรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องกิจการงานของตระกูลเฉิงของพวกเรา” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มและกล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าเป็นรุ่นเล็ก ในยามสงบที่ไม่มีปัญหาเช่นนี้ ใครจะเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้พวกเจ้าฟังกันหรือ”  

 

 

ด้วยเหตุนี้ สิทธิ์ในการออกเสียงต่างๆ จึงตกเป็นของตระกูลเฉิงจวนหลัก  

 

 

โจวชูจิ่นนึกถึงบรรยากาศตึงเครียดของจวนสามในช่วงไม่กี่ปีมานี้ จึงเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “จวนสามก็เข้าร่วมหุ้นด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”  

 

 

“ใครจะต้านทานความหอมหวานของเงินได้หรือ” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มและกล่าวว่า “ในตอนแรก จวนหลักกับจวนรองถือครองหุ้นส่วนใหญ่ ส่วนจวนสาม พวกเราและจวนห้าถือครองหุ้นส่วนน้อย ผลสุดท้ายจวนสามกล่าวว่า เดิมทีก็เป็นญาติพี่น้องกัน ยังมาทำธุรกิจร่วมกัน เกรงว่าจะเกิดความแตกร้าวขึ้นมาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เข้าร่วมด้วย” ขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวอยู่นั้น รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางลง และทอดถอนใจขึ้นมา “ตอนนั้นท่านลุงใหญ่เหมี่ยนของเจ้ายังตั้งใจคิดเรื่องการเตรียมตัวสอบเข้าราชสำนัก ข้าก็คาดหวังว่าเขาจะนำความรุ่งโรจน์มาสู่ตระกูล ส่วนท่านลุงรองหยวนของเจ้าเป็นคนเบาปัญญา ไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก เรื่องภายในจวนทั้งหมดจึงตกมาอยู่ที่ข้า ข้าคิดเอาไว้ว่าท่านลุงใหญ่เหมี่ยนของเจ้าจะต้องเข้าเมืองหลวงเพื่อสอบเข้าราชสำนัก ส่วนท่านลุงรองหยวนของเจ้ายังจะได้รับแต่งตั้งเป็นอาจารย์ผู้หนึ่ง จะอยู่หรือตาย ก็ขึ้นอยู่กับครั้งนี้แล้ว ดังนั้นจึงนำเงินออกมาซื้อหุ้นส่วนนั้นของจวนสาม นึกไม่ถึงว่า จวนสี่ก็รุ่งเรืองขึ้นมาได้โดยประการฉะนี้…ต่อมาจวนสามรู้สึกเสียใจขึ้นมาในภายหลัง บากหน้าไปขอร้องฮูหยินผู้เฒ่ากัว และนายท่านใหญ่จิง ประจวบเหมาะกับที่นายท่านใหญ่เวิ่นของจวนห้าประสบปัญหาทางการเงิน อยากเปลี่ยนหุ้นส่วนของร้านตั๋วแลกเงินเป็นเงินสด จวนสามถึงได้มีโอกาสเข้าร่วมหุ้นด้วย ก็เป็นเช่นนี้ แต่จวนหลักก็ให้เขาซื้อหุ้นเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น”  

 

 

โจวซูจิ่นคิดไม่ถึงว่าเฉิงฉือจะมีความสามารถมากขนาดนี้  

 

 

ที่ไม่มีใครในตระกูลเฉิงภาคภูมิใจในตัวเขา เป็นไปได้หรือไม่ว่าเพราะสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นเรื่องของพ่อค้า?  

 

 

โจวซูจิ่นรู้สึกเสียดายแทนเขาเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “หากว่าท่านน้าฉือไปรับราชการ จะต้องได้เป็นจี้เซียง [4] ผู้หนึ่งเป็นแน่!”  

 

 

ในหมู่ข้าราชการที่คิดคำนวณเก่งนั้นมีอยู่ไม่มาก มีเพียงหนึ่งคนก็ล้วนถูกกรมการคลังเชิดชูให้เป็นดังสมบัติล้ำค่า อย่างอื่นไม่กล้ากล่าวถึง เพียงแค่ตำแหน่งรองเจ้ากรมสักตำแหน่งก็ต้องใช้ความตรากตรำอย่างหนักกว่าจะได้มา  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มและกล่าวว่า “ใครว่าไม่ใช่กัน! แต่นายท่านสี่ฉือกล่าวว่า กรมการคลังมีซ่งจิ่งหรานผู้หนึ่งแล้ว เขาจะไม่ไปประสมโรงด้วยอีก กลับจวนมาดูแลบัญชีการเงินของจวนตนยังจะดีเสียกว่า”  

 

 

ซ่งจิ่งหรัน ซ่งซวี่ ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมการคลัง เป็นข้าราชการระดับสูง เป็นซื่อตู๋เสวียซื่อแห่งสำนักฮั่นหลิน เป็นจี้เซียงผู้เลื่องชื่อในใต้หล้า  

 

 

โจวชูจิ่นอึ้ง กล่าวขึ้นว่า “ท่าทางการพูดจาของเขาช่างจองหองยิ่งนักนะเจ้าคะ!”  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหัวเราะฮ่าๆ สองครั้ง และกล่าวว่า “คนหนุ่ม ทั้งยังมีความสามารถ น้ำเสียงจะไม่จองหองได้อย่างไร…”  

 

 

ยังไม่ทันที่ท่านยายจะได้กล่าวจนจบ ก็มีสาวใช้มารายงานว่า หวังมามากลับมาแล้ว หัวข้อสนทนาจึงเปลี่ยนจากเรื่องของเฉิงฉือมาเป็นเรือนหานปี้ซานแทน “…คุณชายใหญ่สวี่นั่งคุกเข่าไปตลอดทั้งมื้อเช้าเจ้าค่ะ ตอนที่เดินออกมาขาทั้งสองข้างกะโผลกกะเผลก ฮูหยินหยวนที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่กล้าเอ่ยอะไรสักคำ อีกทั้งยังยกเลิกการมาคารวะยามเย็นของคุณชายใหญ่สวี่ด้วยเจ้าค่ะ”  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนถอนหายใจยาวอย่างอดไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “สุดท้ายแล้วนางเป็นผู้ที่ผ่านโลกมามาก ทำอะไรก็จัดการได้อย่างเด็ดขาด ชูจิ่น เจ้าไปกระซิบบอกเรื่องนี้ให้เสาจิ่นที นางจะได้เลิกเป็นกังวล ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นเปรียบเสมือนกระจกที่สว่างใส คุณชายใหญ่สวี่ไม่กล้าทำเป็นเล่นหรอก กล่าวได้ว่า… เรื่องคุณชายใหญ่สวี่ในครั้งนี้…นางจัดการได้ดีมาก…ทางด้านฮูหยินหยวน เกรงว่านางได้วางแผนเรื่องแต่งงานให้คุณชายใหญ่สวี่เอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว เพราะปีนี้คุณชายใหญ่สวี่ก็อายุสิบเจ็ดปีแล้ว…สำหรับเรื่องแต่งงานของนาง เจ้าก็อย่ารีบร้อน ข้าย่อมช่วยนางดูเป็นอย่างดี!”  

 

 

โจวชูจิ่นเข้าใจความหมายของท่านยาย จึงใช้โอกาสขึ้นนี้พูดเรื่องของเฉิงลู่ด้วย  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนโกรธจนแทบจะหายใจไม่ออก สั่งให้หวังมามาไปเชิญเฉิงเหมี่ยนมาพบด้วยใบหน้าซีดเผือด “…จวนของพวกเราเลี้ยงหมาป่าตาขาวตัวหนึ่งออกมาอย่างนั้นหรือ นี่ต้องรีบใช้โอกาสที่ค้นพบเสียแต่เนิ่นๆ นี้จัดการออกไป และต้องไม่รอให้ถูกแว้งกัดเอาได้!”   

 

 

หวังมามาก็ตระหนักได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ รีบเร่งออกนอกจวนไป  

 

 

ใครจะรู้ว่าเฉิงเหมี่ยนถูกท่านผู้นำตระกูลของจวนรองเรียกให้ไปรับรองแขกที่สวนเหวินมู่ซีเซียง  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจำต้องปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน กล่าวกับโจวชูจิ่นว่า “อย่างไรก็ตาม ย่อมไม่ปล่อยให้พวกเจ้าสองพี่น้องถูกเอาเปรียบอย่างแน่นอน”  

 

 

โจวชูจิ่นเข้าใจดี กล่าวขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่ากวน รอจนกระทั่งโจวเสาจิ่นมาคาระวะฮูหยินผู้เฒ่ากวนแล้ว โจวชูจิ่นจึงไปส่งโจวเสาจิ่นเข้าเรียน  

 

 

ระหว่างทาง นางกระซิบเล่าเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนสั่งกำชับมาให้โจวเสาจิ่นฟัง  

 

 

นับว่าก้อนหินก้อนใหญ่ที่อยู่ในใจของโจวเสาจิ่นได้หลุดร่วงลงสู่พื้นดินเสียที  

 

 

ในเมื่อเรื่องราวถูกเปิดเผยออกมาแล้ว ภายหลังหากเฉิงลู่จะเล่นแง่อะไรอีกก็คงไม่มีใครเชื่อเขาอีกแล้วกระมัง?  

 

 

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ขึ้นมา นางก็ต้องขอบคุณเฉิงสวี่ด้วย  

 

 

หากไม่ใช่ว่าได้เฉิงสวี่บอกนาง เกรงว่านางก็คงจะถูกหลอกให้อยู่แต่ในโข่งอย่างไม่รู้อะไรต่อไป  

 

 

ตาต่อตา ฟันต่อฟัน  

 

 

เรื่องราวเหล่านั้นในชาติก่อนก็ยังไม่ได้เกิดขึ้น นางกับเฉิงสวี่ตอนนี้ ก็นับว่าทั้งสองไม่ติดค้างอะไรกันอีก!  

 

 

โจวเสาจิ่นแยกกับพี่สาวที่หน้าประตูห้องศึกษาจิ้งอันด้วยรอยยิ้ม  

 

 

เมื่อหันตัวไปกลับถูกเฉิงเจียคว้าไหล่เอาไว้ “ทำไมเจ้าถึงมาสายเยี่ยงนี้ เมื่อวานเจ้ากับพานชิงคุยอะไรกันหรือ? ทำไมพานชิงถึงวิ่งไปพบท่านยายแต่เช้า พูดอะไรทำนองว่าพวกเราพี่น้องไม่ได้เจอกันมานาน อยากเป็นเหมือนกับสมัยที่ยังเป็นเด็ก มาเรียนกับพวกเราที่ห้องศึกษาจิ้งอันด้วย…”  

 

 

………………………………………………………………….  

 

 

   

 

 

 

 

 

[1]   กระดาษเซวียนจื่อ  (宣纸) คือกระดาษสำหรับวาดภาพและเขียนพู่กัน เป็นกระดาษที่มีคุณภาพสูง  

 

 

[2]   บัณฑิตในสมัยเว่ยกับจิ้น  (พ.ศ. 763 – 963) มีท่าทีเพิกเฉยต่อหลักจริยธรรมของขงจื่อ แต่ทุ่มเทความสนใจไปที่หลักปรัชญาแทน   

 

 

[3]   ฉิ่ง  (顷) 1 ฉิ่ง เท่ากับ 10,000 ตารางเมตร  

 

 

[4]   จี้เซียง  (计相) ฉายาของจางซางในสมัยราชวงศ์ถึง ผู้เก่งกาจในด้านการคิดคำนวณ และเป็นฉายาเรียกที่ปรึกษาผู้ที่ได้รับการเชิดชูยกย่อง  

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset