พานซิง?!
โจวเสาจิ่งประหลาดใจ กล่าวขึ้นว่า “ข้าก็ไม่รู้อะไรเช่นกัน! นางมาแล้วหรือ”
เฉิงเจียเบ้ปากพลางชี้เข้าไปในห้อง
โจวเสาจิ่นนิ่งเงียบ
เกรงว่าพานชิงไม่ได้ตั้งใจจะมาเรียนหนังสือ แต่มาเพื่อไถ่ถามตนเองว่าได้ยินบทสนทนาระหว่างนางกับพานจ้าวหรือไม่เสียมากกว่ากระมัง
นางสูดลมหายใจเข้าลึก ยิ้มพลางเดินเข้าห้องศึกษาชิงอันไปพร้อมกับเฉิงเจีย
ข้างโต๊ะเขียนหนังสือของโจวเสาจิ่นมีโต๊ะเขียนหนังสือวางเพิ่มมาอีกหนึ่งโต๊ะ พานชิงสวมชุดเพ่ยจื่อดิ้นทองสีกุหลาบตัวหนึ่งกับเสื้อคลุมผ้าไหมหางโจวสีขาวเรียบๆ คอเสื้อตั้งตรงสำหรับใส่ในฤดูใบไม้ผลิ เส้นผมสีดำขลับเกล้าขึ้นเป็นมวยอย่างเรียบง่าย กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือโต๊ะนั้นที่วางเพิ่มเข้ามาใหม่อย่างเงียบๆ
เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวเบาๆ นางจึงเงยหน้าขึ้นมา ยิ้มหวานทักทายโจวเสาจิ่นกับเฉิงเจีย ไข่มุกขนาดเท่าเม็ดบัวสองเม็ดแกว่งไปมาอยู่ข้างหู ภายใต้ความสง่างามนั้นเผยให้เห็นความมีชีวิตชีวาร่าเริง
เป็นหญิงสาวที่งดงามผู้หนึ่งอย่างแท้จริง
น่าเสียดายที่นางเป็นสาวงามหน้าอย่างใจอย่าง สวมหน้ากากเอาไว้อันหนึ่ง!
โจวเสาจิ่นทอดถอนใจอยู่ในใจ เดินเข้าไปทำความเคารพพานชิง
เฉิงเจียกลับนั่งที่ของตนเองโดยไม่ชำเลืองหรือหันไปมอง
ฉะนั้น ข้างซ้ายของโจวเสาจิ่นจึงเป็นเฉิงเจีย และข้างขวากลายมาเป็นพานชิง ส่วนนางนั้นนั่งอยู่ตรงกลาง
ตนเองมีชีวิตมาสองชาติภพ ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่กลายเป็นที่สนใจและสำคัญขึ้นมามากขนาดนี้
ขณะที่โจวเสาจิ่นนึกขำตนเองอยู่ในใจ เฉินต้าเหนียงก็เดินเข้ามาในห้อง
เมื่อมองเห็นพานชิง นางไม่แปลกใจเลย ยิ้มพลางกล่าวทักทายพานชิงสองสามประโยค จากนั้นก็เริ่มสอนหนังสือ
เห็นได้ชัดว่ามีคนมาแจ้งกับนางเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
ทั้งสามคนฟังเฉินต้าเหนียงสอน ‘วิถีแห่งความดีงามของสตรี’ ไปหนึ่งบท
รอจนถึงช่วงพักระกว่างกลาง พานชิงรินน้ำชาถ้วยหนึ่งให้เฉินต้าเหนียง และสนทนากับเฉิงต้าเหนียงเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆ หลังจากที่แยกจากกันขึ้นมา
วิชาต่อไปคือการเขียนพู่กัน
โจวเสาจิ่นกางกระดาษเซวียนจื่อ เตรียมจะฝึกเขียนอักษร
เฉิงเจียวิ่งมาหา แล้วกระซิบกระซาบถามนางว่า “เลิกเรียนแล้ว เจ้าไปรับมื้อเที่ยงที่เรือนของข้าดีหรือไม่ ข้าให้บ่าวย่างไก่ฟ้าตัวหนึ่งเอาไว้”
โจวเสาจิ่นรู้สึกหมดแรง กล่าวว่า “ข้าสัญญากับท่านยายไปแล้วว่าจะรับมื้อเที่ยงกับท่าน”
เฉิงเจียยังไม่เลิกตอแย กล่าวอีกว่า “หรือไม่เจ้าไปรับมือเย็นที่เรือนของข้าดีหรือไม่?”
“ข้าต้องไปคัดลอกพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเวลาใด”
“เช่นนั้น ตอนที่เจ้ากลับมาก็ส่งสาวใช้มาเรียกข้าที่เรือน เดี๋ยวข้าจะไปเล่นกับเจ้า”
“ยามนั้นฟ้าคงเริ่มมืดแล้ว รอวันไหนที่ได้หยุดพักไม่ดีกว่าหรือ”
ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น พานชิงยิ้มพลางเดินเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “คุยอะไรกันอยู่หรือ สนิทสนมกันยิ่งนัก ทำให้คนอิจฉาแล้วจริงๆ”
ในชาติที่แล้วนางกับพานชิงสนิทสนมกันยิ่งกว่าชาตินี้ ก็ไม่เห็นพานชิงจะอิจฉานางเลย!
ทันทีที่พานชิงเริ่มกล่าวขึ้นมา โจวเสาจิ่นก็เพิ่มความระแวดระวังในใจยิ่งขึ้น
“พวกเรากำลังปรึกษากันอยู่ว่าในวันหยุดจะไปเที่ยวเล่นที่ไหนกันดี” เฉิงเจียมองไปยังพานชิงด้วยสายตายั่วยุเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่นบอกว่า วันนั้นพวกเราจะไปพายเรือกันในสวนดอกไม้”
พานจื๋อรับราชการอยู่ทางตอนเหนือเสียเป็นส่วนใหญ่ พานชิงจึงเป็นลูกเป็ดบกที่ว่ายน้ำไม่เป็น
“อย่างนั้นหรือ?” พานชิงยิ้มพลางแสดงท่าทางสนใจเป็นอย่างมาก “ข้าไม่ค่อยมีโอกาสพายเรือสักเท่าใด แต่ถึงเวลานั้นข้าจะไปร่วมด้วยก็แล้วกัน”
เฉิงเจียทำแก้มป่อง อยากจะกล่าวปฏิเสธตรงๆ แต่ทว่าอยู่ๆ ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ในทันใด กลอกตาไปมาสองสามครั้ง แล้วยิ้มกล่าวอย่างอ่อนหวานว่า “ดีเจ้าค่ะ! ถึงเวลานั้นจะไม่ลืมพี่ชิงเป็นอันขาด”
พานชิงยิ้มน้อยๆ ก้มหน้ามองสำรวจตัวอักษรที่โจวเสาจิ่นเขียน แล้วเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา กล่าวอย่างลังเลว่า “นี่ นี่คือตัวอักษรที่น้องเสาจิ่นเขียนหรือ”
ไม่รอให้โจวเสาจิ่นได้ตอบ เฉิงเจียก็ยืดอกกล่าวอย่างภูมิใจขึ้นว่า “แน่นอนว่าเป็นตัวอักษรที่เสาจิ่นเขียน! ไม่เช่นนั้นทำไมฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงวานเสาจิ่นให้ช่วยคัดลอกพระธรรมให้ล่ะ! ดังนั้นเสาจิ่นจึงไม่ค่อยว่างนักหรอก… เพราะต้องฝึกเขียนอักษร”
พานชิงเพียงแค่ขานเสียง “อืม” แล้วพินิจพิเคราะห์มองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง
เฉิงเจียกล่าวเจี๊ยวจ๊าวชมโจวเสาจิ่นอยู่ครู่หนึ่ง
ไม่นานนัก ก็ถึงเวลาฝึกเขียนอักษรแล้ว ภายในห้องศึกษาชิงอันจึงเงียบกริบลง
เฉินต้าเหนียงมองดูบนโต๊ะเขียนหนังสือของแต่ละคน และกล่าวชี้แนะไปคนละสองสามประโยค จากนั้นจึงไปห้องข้างห้องโถงเพื่ออ่านหนังสือและจิบชาโดยมีสาวใช้ไปเป็นเพื่อนด้วย
ภายในห้องศึกษาก็พลันเสียงดังคักคักขึ้นอีกครั้ง
เฉิงเจียถามโจวเสาจิ่นว่า “พี่ชายนำกิ่งดอกหลานกลับมาให้ข้าจากข้างนอกจำนวนหนึ่ง เจ้าอยากได้หรือไม่ หรือไม่ อีกประเดี๋ยวข้าให้บ่าวรับใช้นำไปส่งให้เจ้าสักสองสามกิ่ง ปลูกไว้ในกระถางใต้แสงแดดยามเช้า รอถึงวันตรุษจีนก็จะเบ่งบานพอดี”
พานชิงยิ้มพลางกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าน้องเสาจิ่นชื่นชอบการเขียนพู่กัน ข้ามีแท่งหมึกของร้านเหวินเต๋ออยู่หลายแท่ง ประเดี๋ยวจะฝากบ่าวเอาไปให้น้องสาวสักสองสามแท่ง เอาไปลองใช้ดูว่าจะคุ้นมือหรือไม่”
โจวสาวจิ่นไม่กล่าวอะไร
แต่ความรู้สึกนี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว!
นางครุ่นคิด ตอบเฉิงเจียไปว่า “ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอก เดี๋ยวข้าจะส่งชุนหว่านไปรับมาก็พอ” และตอบพานชิงอีกว่า “ขอบคุณท่านพี่ชิงเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ ข้ากำลังคร่ำเคร่งฝึกเขียนอักษรอยู่พอดี จะไม่เกรงใจท่านพี่ชิงแล้วนะเจ้าคะ”
ของจากทั้งสองฝ่ายก็รับมาแล้ว และก็ไม่ได้ทำให้ทั้งสองฝ่ายขุ่นเคืองใจ แต่จริงๆ แล้วก็มีความแตกต่างอยู่บ้างเล็กน้อย นั่นก็คือ นางพูดคุยกับเฉิงเจียอย่างเป็นกันเองมากกว่า
จากนั้นโจวเสาจิ่นวางพู่กันลงแล้วลุกขึ้นมา ยิ้มพลางกล่าว “ข้าต้องไปห้องสุขาสักหน่อย” นางไม่ได้ชวนผู้ใดไปด้วย เดินตรงออกไปจากห้องศึกษา
เฉิงเจียจ้องตาถลนไปที่พานชิงหนึ่งครั้ง
พานชิงแลซ้ายแลขวา เห็นสาวใช้ของเฉิงเจียนั่งปักลายดอกไม้อยู่ห่างๆ ใต้ชายคาห้องศึกษา สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมา ยิ้มเย็นและกล่าวว่า “เฉิงเจีย เจ้าอย่าสร้างปัญหาเพิ่มความวุ่นวายให้ข้ามากนัก ระวังข้าจะเลิกเกรงอกเกรงใจเจ้า ข้ามาเยือนเป็นแขกในเรือนของตระกูลเฉิงเพียงไม่กี่วันเท่านั้น แต่เจ้าอาจจะติดอยู่ในเมืองจินหลิงไปตลอดชีวิตเลยก็ได้ อะไรคือหนักอะไรคือเบา เจ้าอายุก็ไม่น้อยแล้ว ควรจะแยกแยะให้ออกถึงจะถูก!” กล่าวจบ ก็เหลือบมองเฉิงเจียอย่างดูหมิ่นเหยียดหยามหนึ่งครั้ง แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
เฉิงเจียโกรธจัดจนกระทืบเท้าดัง
พานชิงเดินออกจากห้องศึกษา แล้วมุ่งไปยังห้องสุขา
ทางเดินหินสีครามขนาดเล็กเลี้ยวลดคดเคี้ยว สองข้างทางไม้ไผ่พลิ้วไหว
โจวเสาจิ่นที่สวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหางโจวสีชมพูลวดลายเรียบๆ ยืนอย่างสงบเคร่งขรึมอยู่หน้ากอไม้ไผ่ที่เป็นจุดดวงด่างดำกอหนึ่ง ดูสง่างามราวกับดอกหลาน
พานชิงชะงักงัน
โจวเสาจิ่นยิ้มแล้วกล่าวทักทายนางว่า “ท่านมาแล้ว! ไม่ทราบว่าท่านมาหาข้าด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ?”
พานชิงถูกถามขัดขึ้นมาก่อน มองโจวเสาจิ่นด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนยากจะเข้าใจ
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางมองไปที่นาง ดวงตาสีดำและขาวราวกับน้ำพุใสจากธารน้ำบนภูเขา ใสสะอาดกระทั่งมองเห็นก้อนหินก้นลำธาร
พานชิงยิ้มอาย
อยู่ๆ ก็พลันบังเกิดความรู้สึกอับอายกับความอัปลักษณ์ของตนเองเมื่อมายืนอยู่ข้างๆ หญิงสาวที่งดงามยิ่งกว่า
ในเมื่อต่างก็เป็นคนที่เฉลียวฉลาด จะใช้เล่ห์อุบายเช่นนี้ก็ต่ำเกินไป
นางเดินไปอย่างช้าๆ แล้วหยุดยืนอยู่ข้างกอไม้ไผ่
“เจ้าคงจะรู้แล้วว่า ท่านพ่อของข้าได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอั้นฉาสื่ออยู่ที่ซานตงใช่หรือไม่” พานชิงกล่าวพลางดึงทึ้งใบไผ่ใบหนึ่งอย่างรุนแรง “แต่เกรงว่าพวกเจ้ายังไม่รู้ว่า สาเหตุที่ท่านพ่อของข้าได้เลื่อนตำแหน่งนั้น เป็นเพราะใช้เส้นสายของท่านลุงใหญ่จิงใช่หรือไม่?”
ก็พอจะเดาได้
เฉิงจิงเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับญาติพี่น้อง ขอเพียงแต่ไม่ใช่เรื่องที่ก่อกรรมทำชั่ว หากมาขอร้องถึงหน้าเขา เขาก็พร้อมจะช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง
โจวเสาจิ่นไม่ได้กล่าวอะไร นางเดาว่า พานชิงเองก็ไม่ต้องการให้นางพูดอะไรเช่นกัน
“หากไม่ใช่เพราะท่านลุงของข้า ท่านจะมีวันนี้ได้อย่างไร?” แสงเย็นหนึ่งสายวาบผ่านดวงตาของพานชิง “ทว่าแม้เป็นเช่นนี้ ท่านก็ยังไม่พอใจ ย้ำท่านแม่ของข้าให้เขียนจดหมายหาท่านลุงอยู่เรื่อยๆ ถ้าไม่พรรณนาถึงเรื่องที่ท่านทุ่มเทรับราชการอย่างสุดความสามารถอย่างไรบ้าง ก็จะเป็นการพรรณนาถึงเรื่องความลำบางตรากตรำในตำแหน่งหน้าที่ของท่านอย่างไรบ้าง หากว่าท่านลุงตอบจดหมายกลับมาแล้วไม่เป็นที่พอใจของท่าน ก็จะด่าทอท่านแม่ของข้า…”
นางกล่าวถึงตรงนี้ อยากจะเอ่ยบางอย่างแต่ก็หยุดไป
เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่พานจื๋อกระทำต่อเฉิงเสียนนั้นทำให้พานชิงรู้สึกกล่าวไม่ออกอยู่บ้าง
โจวเสาจิ่นประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ในชาติก่อน พานจื๋อกับเฉิงเสียนเป็นสามีภรรยาที่เคารพและให้เกียรติกันเหมือนเป็นแขกที่มาเยือนอยู่เสมอ พานจ้าวกับพานชิงก็เป็นบุตรชายบุตรสาวของตระกูลขุนนางที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกชื่นชม
“ครั้งนี้ ไม่รู้ว่าท่านพ่อไปฟังมาจากผู้ใด ว่าท่านลุงใหญ่จิงได้รับมอบหมายให้หาคนมาดำรงตำแหน่งจี้จิ่วของสำนักกั๋วจื่อเจี้ยน ท่านถึงกับให้ท่านแม่เขียนจดหมายถึงท่านลุงใหญ่จิง ขอให้ท่านลุงใหญ่จิงเสนอชื่อของท่านเข้ารับตำแหน่งนี้” ขณะที่พานชิงกล่าวอยู่นั้น บนใบหน้าก็เผยให้เห็นความเย้ยหยันเล็กน้อย “ท่านก็ไม่คิดบ้างเลยว่า ท่านเป็นเพียงเจ้าเมืองยศผิ่นขั้นสี่คนหนึ่ง จะสู้ผู้อาวุโสของสำนักฮั่นหลินเหล่านั้นที่อดทนทำงานในสำนักมาสิบกว่าปี ยี่สิบปีและถูกเสนอชื่อให้รับตำแหน่งจี้จิ่วของสำนักกั๋วจื่อเจี้ยนได้อย่างไร ท่านช่าง…” นางหยุดชะงักไป และกลืนประโยคที่จะกล่าว่า ‘มุทะลุไม่จักความเป็นความตาย’ กลับลงไป และกล่าวต่อไปว่า “เรื่องนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้! ท่านจึงโกรธและอารมณ์เสียอยู่ที่จวน กล่าวหาว่าท่านแม่ไม่ได้เรื่อง ไม่สามารถร้องขอความโปรดปรานจากท่านลุงใหญ่จิงได้ สุดท้ายก็แยกหัวหน้าจวนออกเป็นห้าสาย หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ในปีนั้นท่านน่าจะขอแต่งงานกับท่านน้าเฮ่อ อย่างน้อยก็มีพี่เขยเป็นถงจิ้นซื่อผู้หนึ่ง ไม่เหมือนกับท่านลุงหลู ที่เรียนหนังสือมาทั้งชีวิต แต่เป็นได้แค่ซิ่วไฉผู้หนึ่งเท่านั้น…”
เฉิงเฮ่อ?
โจวเสาจิ่นเบิกตากว้างขึ้น
“เจ้าคงนึกไม่ถึงสินะ” พานชิงยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวขึ้นว่า “ตอนนั้นท่านแม่กับท่านน้าเฮ่อต่างก็ยังไม่ได้ออกเรือน ท่านเห็นว่าจวนสามนั้นร่ำรวยและมั่งคั่ง จึงแต่งงานกับท่านแม่ของข้า…ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว พอท่านโมโหขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็จะยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวซ้ำอีก…”
จวนของผู้ใดบ้างที่ไม่มีหนังสือที่อ่านยากอยู่เล่มหนึ่งกัน?
ที่พานชิงมาหาตนก็ไม่ใช่เพื่อเล่าเรื่องราวภายในตระกูลเหล่านี้เป็นแน่
นางไม่อยากจะเสียเวลากับพานชิงด้วยเรื่องเหล่านี้
ทว่า คำพูดของพานชิงกลับทำให้ถ้อยคำเพียงไม่กี่คำเหล่านั้นที่นางได้ยินในตอนนั้นดังก้องขึ้นใหม่อีกครั้งในทันใด
โจวเสาจิ่นจึงเข้าใจ
นางกล่าวขึ้นว่า “ก็กล่าวได้ว่า ครั้งนี้ที่พวกท่านมาอวยพรวันเกิดแก่ท่านผู้นำตระกูลจวนรองเป็นเพียงแค่เรื่องรอง ปรารถนาจะดองกับพี่ชายสวี่ของจวนหลักต่างหากที่เป็นจุดประสงค์หลัก ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับข้าหรือเจ้าคะ ถึงทำให้ท่านเคร่งเครียดได้ขนาดนี้ แค่ในวันที่สองของงานเลี้ยงก็วิ่งมากล่าวตักเตือนข้าอย่างร้อนอกร้อนใจเช่นนี้แล้ว”
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว!” พานชิงรีบกล่าวอธิบาย “ข้าไม่ได้เจตนาจะกล่าวตักเตือนเจ้า ข้าเพียงแต่เป็นห่วงท่านแม่ของข้า…พี่ชายของข้าชื่นชมเจ้ายิ่งนัก ทว่าบิดาของข้าท่านนั้น เมื่อกระทำสิ่งใดก็มักจะชอบคิดคำนวณเสมอ พี่ชายของข้าถูกกำหนดชีวิตไว้แล้วไม่สามารถกระทำสิ่งใดสมดั่งใจหวัง…”
พานจ้าว?!
ชื่นชอบตนหรือ?!
โจวเสาจิ่นฟังแล้วก็โกรธจนมือเท้าเย็นยะเยือก
พานชิงหมายความว่าอย่างไร ตนกับพานจ้าวจะมีอะไรที่ไม่คู่ควรกันอย่างนั้นหรือ?
ช่างไร้สาระเสียจริง!
พี่น้องตระกูลพานมองดูแล้วหน้าตางดงามดั่งดวงจันทร์ที่สว่างสุกใส นึกไม่ถึงเลยว่าพฤติกรรมกลับไร้เหตุผลเช่นนี้
พานชิงมองว่านางเป็นคนเช่นไรกันหรือ?
ในใจของนางบันดาลเพลิงโทสะขึ้นมาฉับพลัน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็นอย่างห้ามไม่อยู่ “ตั้งแต่โบร่ำโบราณมา เรื่องแต่งงานนั้นเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับการจัดการของบิดามารดาและการเจรจาผ่านพ่อสื่อแม่สื่อ แต่ข้ากลับไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วพวกเจ้าบุตรชายบุตรสาวของตระกูลพานนั้นจะไม่ใส่ใจในเรื่องเหล่านี้เลย เจ้าอยากจะแต่งให้กับเฉิงสวี่ก็ดี หรือพี่ชายของเจ้าอยากจะรับเจ้าสาวจากตระกูลที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลก็ดี แต่เจ้ามาหาผิดคนแล้ว!” นางกล่าวพลางหันตัวจะเดินจากไป “เรื่องนี้ข้าก็จะทำเป็นว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน ต่อจากนี้ไปเจ้าก็อย่ากล่าวถึงอีกเลยเจ้าค่ะ!”
“เสาจิ่น!” พานชิงคว้ามือของโจวเสาจิ่นเอาไว้ กล่าวอย่างจริงใจว่า “ข้าไม่ได้มีเจตนาเป็นอย่างอื่น ก็อย่างที่ได้เจ้ากล่าวไป เรื่องของพี่ชายกับข้านั้น ท่านพ่อท่านแม่ย่อมเป็นผู้ตัดสินใจ ข้าเพียงแต่เป็นห่วงท่านแม่ของข้า หากไม่ได้สมดังใจหวังของท่านพ่อ ท่านจะยิ่งสร้างปัญหาให้ท่านแม่ของข้าเป็นเท่าตัว…ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าเลย ข้าก็ไม่ควรจะมาหาเจ้า แต่เจ้าก็รู้ว่า ไม่ว่าข้าจะกระทำอย่างไร ยามที่เฉิงเจียเห็นข้าก็จะขมวดคิ้วด้วยความโกรธ ข้าไม่มีแม้แต่คนที่จะพูดคุยด้วยสักคน…คนเช่นตระกูลเฉิงนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจจะ ‘ดองกันด้วยงานแต่ง’ ได้ ต่อให้เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน สุดท้ายแล้วเมื่อกล่าวออกไปก็ไม่น่าฟังอยู่ดี ข้าเป็นห่วงว่าพี่ชายจะก่อความวุ่นวายขึ้นมา แล้วทุกคนจะต้องเสียหน้า…”
โจวเสาจิ่นยิ้มเย็นอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้
กล่าวไปกล่าวมา ก็เพียงแค่กลัวว่านางจะชอบพอกับพานจ้าว แล้วไปกระทบกับการแต่งงานของนางกับเฉิงสวี่
นี่ต่างหากคือเหตุผลจริงๆ ที่พานชิงมาหานาง!
ไม่แปลกใจเลยที่ชาติก่อนเฉิงเสียนจะพาพานชิงกับพานจ้าวออกไปจากตระกูลเฉิงอย่างเศร้าหมอง ทั้งยังไม่เคยกลับมาเยือนเมืองจิงหลิงอีกเลยในช่วงสิบกว่าปีหลังจากนั้น!
แม้แต่สิ่งสำคัญก็ยังแยกแยะไม่ออก ทว่ากลับอยากจะแต่งให้กับจวนหลักของตระกูลเฉิง ช่าง…รนหาที่ตายเสียจริงๆ!
โจวเสาจิ่นผู้ที่รู้ผลลัพธ์ของเรื่องนี้อยู่แล้วนั้นเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา
………………………………………………………………….