รวยชั่วข้ามคืน?! – ตอนที่ 335 ทุกคนมารวมตัวกันที่เย็นจีน

บทที่ 335 ทุกคนมารวมตัวกันที่เย็นจีน
ผ่านมาทั้งหมดสิบวัน นี่ก็เป็นสุดท้ายของปี 2019แล้ว สำนักทุกสำนักของจีน และลูกหลานคนรุ่นหลังที่บรรพชนเคยเข้าร่วมเป็นหนึ่งจอมยุทธ์ที่ฆ่ายกครัวหูหรูหลี่ ก็มายังเย็นจีน
พวกเขาต่างกลัวว่าถ้าตนเองไม่มา แล้วลี่ไห่ซาจะไปหาถึงที นั่นช่างน่าเวทนามากกว่า และมีคนที่โกรธแค้นแทนผู้อาวุโสจ้าวไห่โย่วและจอมยุทธ์อาวุโสต่างๆ ที่ถูกฆ่าไปอย่างทารุณ แถมมีคนที่ต้องการจะฆ่าและสับลี่ไห่ซาให้เละเป็นหมื่นๆ ชิ้น
แต่ว่าเป้าหมายของทุกคน นั่นก็มีเพียงข้อเดียวที่เหมือนกัน นั่นก็คือการปกป้องศักดิ์ศรีวงการต่อสู้ของจีน!
บรรดาโรงแรมใหญ่ๆ ในเย็นจีน เต็มไปด้วยจอมยุทธ์อาวุโสที่มีชื่อเสียงมากมาย
พรั่งพรูเต็มโรงแรม
หลังจากที่เจ้าอาวาสหลวงพ่อเมี่ยวเฟิงแห่งวัดเส้าหลินได้นั่งวิปัสสนากรรมฐานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งอยู่ที่โต๊ะดื่มชา แววตาดำดิ่ง เพื่อครุ่นคิดถึงการประลองที่ทะเลสาบจีนไห่ในวันพรุ่งนี้
“ท่านอาจารย์ พรุ่งนี้พวกเราสามารถทำให้ไอ้ปีศาจร้ายที่ลับหูลับตาฆ่าคนไม่หยุดยั้งพ่ายแพ้หรือไม่?” เณรน้อยที่คอยเฝ้าติดตามเป็นคนเอ่ยปากถาม
“พูดได้ไม่เต็มปาก เขาฆ่าเจ้าสำนักจ้าวไห่โย่วกับพวกรวมกันทั้งสี่เจ้าสำนัก อย่าดูถูกไปเชียว ทางสำนักเส้าหลินของฉันเองก็เป็นศูนย์กลางของวงการต่อสู้ อีกอย่างในปีนั้นที่หูหรูหลี่ถูกฆ่าตายยกสำนักนั่น อาจารย์ของฉันก็เข้าร่วมด้วย พวกเราเองก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงไปได้!”
เจ้าอาวาสเมี่ยวเฟิงครุ่นคิดจนกล่าวออกมา “เรื่องที่ว่าจะสามารถเอาชนะเขาได้นั้น ฉัน…”
เจ้าอาวาสเมี่ยวเฟิงถึงกลับพูดไม่ออก ความสามารถของคนในวัดเส้าหลินนั้นขาดหายไปมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ขนาดเขาที่เป็นถึงเจ้าอาวาส เมื่อเอาเรื่องวิทยายุทธ์มาเปรียบเทียบกับท่านเจ้าอาวาสองค์เก่าแล้ว ยังห่างไกลกันมากมายนัก ไม่เพียงแต่เส้าหลินยังตกอยู่ในสภาพนี้ ทว่าในสถานการณ์ปัจจุบันเทคโนโลยีได้ก้าวล้ำหน้าไปมากภายใต้สิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่ วงการการต่อสู้ยิ่งถดถอยลงไปเรื่อย การต่อสู้กันในวันพรุ่งนี้ มันจะดีหรือย่ำแย่ เขาเองยังไม่กล้าจะจินตนาการภาพตามเลย
“ไปแจ้งทางโรงแรมว่าให้ยกเอาชาดีๆ ขึ้นมาหน่อย” เจ้าอาวาสเมี่ยวเฟิงไม่ตอบคำถามของเณรน้อย ก็เพื่อต้องการที่จะหาเรื่องเบนหัวข้อ
ด้านในห้องหนึ่งภายในโรงแรมเย็นจีน
เย่นจื่อกุยเจ้าสำนักของสำนักคงทองก็นั่งอยู่บนเตียง และกำลังจินตนาการการต่อสู้กันในวันพรุ่งนี้ ยิ่งเมื่อคิดถึงความสามารถของลี่ไห่ซาแล้ว เย่นจื่อกุยเคร่งเครียดมาก
“ที่รัก รับปากฉันนะ อย่าไปสู้เอาเป็นเอาตายกับลี่ไห่ซา! แพ้ก็คือแพ้!” ภรรยาของเย่นจื่อกุยพูดเกลี้ยกล่อมเขา ในใจของเธอย่อมรู้ดี ด้วยการแสดงออกของลี่ไห่ซาก่อนหน้านี้นั้น ในวงการต่อสู้ของจีนยากมากที่จะหาคนที่สามารถต่อกรกับเขาได้
ถ้ายังดื้อดึงสู้ต่อ ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมคือการเสียชีวิต นี่เป็นความคิดในทางลบของผู้หญิงคนหนึ่ง
เมื่อได้ยินสิ่งที่ภรรยาคอยพูดเกลี้ยกล่อมตนเองแล้ว เย่นจื่อกุยยิ่งหนักใจ จนต้องถอนหายใจออกมา ขนาดภรรยาของเขาที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวทางด้านวิทยายุทธ์ เขารู้ว่าเขาหมดหนทางในการชนะ การต่อสู้ในวันพรุ่งนี้ เขายังมีความหวังอยู่อีกเหรอ? หรือจะพูดว่า วงการต่อสู้ของจีนยังมีความหวังอยู่อีกเหรอ?
ห้องพักห้องหนึ่ง ภายในโรงแรมฮิลตัน
นักพรตเต๋าวัยกลางคนคู่หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ เธอชื่อว่าเฟิงเฉินซือไท่ เป็นเจ้าสำนักสำนักเอ๋อร์เหมย
“การต่อสู้ในวันพรุ่งนี้ อาจจะเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่สำหรับสำนักเอ๋อร์เหมยของเราก็ได้! ตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้ ถึงแม้ว่าสำนักเอ๋อร์เหมยจะอยู่ในอันดับหนึ่งในหกสำนักใหญ่ในภาคกลางก็ตาม ทว่าวงการต่อสู้มักจะยกให้ความเคารพนับหน้าถือตาสำนักเส้าหลินอยู่เสมอ แต่สำนักเอ๋อร์เหมยของพวกเราไม่มีบทบาทอะไรสักเท่าไหร่ แทบไม่ได้การยอมรับจากวงการต่อสู้ด้วยซ้ำ! พวกแกรู้เหตุผลไหมว่าทำไม?” เฟิงเฉินซือไท่มองไปทางลูกศิษย์หลายคนพร้อมกับถามคำถามพวกเขา
หน้าตาของลูกศิษย์ทั้งหลาย คิดไม่ออกว่าเป็นเพราะเหตุผลใด
“ก็เพราะว่าเราเป็นผู้หญิง สำนักอื่นๆ ผู้ชายเป็นใหญ่ พวกเขาไม่เคยยอมรับ สำนักที่ให้ผู้หญิงอยู่เหนือกว่าผู้ชาย!” ลูกศิษย์ที่หน้าตาสะสวยฉลาดเฉลียวเป็นคนพูดออกมา
เธอมีชื่อว่าฮุ่ยหย่า เป็นลูกศิษย์คนแรกของเฟิงเฉินซือไท่ ก็คือศิษย์พี่ใหญ่นั่นเอง
“ไม่ผิดไปจากนั้น!” เฟิงเฉินซือไท่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของฮุ่ยหย่า ฮุ่ยหย่าดีใจเป็นอย่างมาก
“การที่ลี่ไห่ซาแสดงพฤติกรรมโหดร้ายทารุณ แถมยังแสดงความสามารถอันเก่งกาจออกมา ฉันว่า ท่านเจ้าอาวาสเมี่ยวเฟิงคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย!” เฟิงเฉินซือไท่แสดงความคิดเห็นของตนเอง
“ห๊า! อาจารย์ งั้นพวกเรา…..” ลูกศิษย์คนหนึ่งร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ เมี่ยวเฟิงไม่ใช่คู่ต่อสู้กับเขา งั้นเอ๋อร์เหมยของพวกเธอก็ไม่ต้องไปพูดถึงเลยงั้นสิ?
“พรุ่งนี้ตอนที่ต่อสู้กัน พวกเราตั้งท่ารอแต่ไม่ต้องลงมือใดๆ ให้ฝ่ายผู้ชายเป็นคนลงมือต่อสู้กับลี่ไห่ซาก่อน ถึงแม้ว่าลี่ไห่ซาจะเก่งมาก แต่ฉันไม่มีทางเชื่อว่า เขาจะสามารถผ่านด่านการต่อสู้นี้ไปได้ รอจนเวลาที่พละกำลังของเขาเริ่มถดถอยลง ฉันจะหาโอกาสในการสู้ให้ชนะเขาให้ได้ ถึงเวลานั้นฉันก็สามารถออกตัวได้ ว่าฉันเป็นคนปลิดชีวิตมัน!” เฟิงเฉินซือไท่กล่าวออกมา
“ถึงตอนนั้นพวกเราก็กลายเป็นคนที่ช่วยเหลือกอบกู้ชีวิตของคนในวงการต่อสู้ของจีน แม้ว่าสำนักอื่นๆ จะไม่ยินยอม แต่ไม่อาจสามารถปฏิเสธความสามารถของพวกเราได้ เอ๋อร์เหมยของเราก็สามารถเขยิบอันดับไปเป็นสำนักแรกของจีนได้ ใครหน้าไหนก็ไม่กล้าขัดขืน!” ฮุ่ยหย่าพูดคล้อยความหมายตามอาจารย์
เฟิงเฉินซือไท่พยักหน้าให้อย่างพอใจ
“อาจารย์ การที่พวกเรามาในครั้งนี้ก็เพื่อให้ศักดิ์ศรีของวงการต่อสู้ของจีน การที่พวกเราทำเช่นนี้ มันเป็นการทำไม่ถูกวิธีนี่!” เวลานั้น มีลูกศิษย์คนหนึ่งเสนอความคิดเห็นของตนเองออกมา
ความคิดเห็นเช่นนี้ แสดงอาการเสียดหูอย่างเห็นได้ชัด
“ฮุ่ยจิ้ง แกพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง? แกกำลังพูดถากถางอาจารย์ใช่ไหม?” ฮุ่ยหย่าตำหนิลูกศิษย์ที่เป็นคนพูดออกมา
“ฉันเปล่านี่” ฮุ่ยจิ้งรีบปฏิเสธทันควัน
“พอแล้ว หยุดทะเลาะกันสักที!”
เฟิงเฉินซือไท่พยายามหยุดที่ทั้งสองคนกำลังถกเถียงกันอยู่ พลันหันมามองฮุ่ยจิ้ง พลางกล่าวว่า “ฮุ่ยจิ้ง แกมองความหมายอาจารย์ผิดไปแล้ว อาจารย์ย่อมเอาคุณธรรมของวงการศิลปะการต่อสู้มาเป็นอันดับแรก ดังนั้นอาจารย์เลยเอาพวกแกมาที่เย็นจีนด้วย! เพราะว่าเรื่องที่เอ๋อร์เหมยต้องการเป็นสำนักอันดับหนึ่งนั้น มันเป็นเรื่องภายภาคหน้า แกเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของอาจารย์หรือยัง?”
“อืม ศิษย์เข้าใจ” ในที่สุดฮุ่ยจิ้งก็ผงกหัวให้อย่างเข้าใจ
……
สถานการณ์ในเย็นจีนเช่นนี้ ยังคงเกิดขึ้นกับโรงแรมต่างๆ มากมายในเย็นจีน เรื่องการต่อสู้กันในวันพรุ่งนี้ ทุกคนต่างตั้งตารอคอยพร้อมทั้งเคร่งเครียดไปพร้อมๆ กัน
แน่นอนว่า นอกจากคนในวงการศิลปะการต่อสู้แล้ว พวกชาวบ้านร้านตลาด ไม่มีใครรับรู้สักคน ว่าเย็นจีนในเวลานี้กำลังเกิดเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เรื่องศักดิ์ศรี ความอยู่รอดของวงการต่อสู้ของจีน
พวกเขายังคงใช้ชีวิตของตนเองอย่างมีความสุข
วันสุดท้ายของปีคริสต์ศักราช พวกเขาเริ่มจุดพลุ เพื่อส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันในเวลานั้น
บนภูเขาเทียนซานที่อยู่ไกลแสนไกล ด้านในของยาวเย่วกงก็จัดงานรื่นเริงในเวลานั้นเช่นเดียวกัน
บริเวณด้านในของยาวเย่วกงถูกพวกสาวๆ ตกแต่งเฉกเช่นเหมือนเป็นพระราชวังเช่นนั้น
ยาวเย่วกงมีการจัดเลี้ยงงานฉลองปีใหม่ ฉินหลั่งกับจงยู่ เป็นเจ้านายและยายหญิงของยาวเย่วกง กล่าวเปิดพิธีในงาน
การได้เข้ามาพักในยาวเย่วกงมาเป็นเวลาหนึ่งเดือน ฉินหลั่งได้รับการสนับสนุนจากลูกศิษย์ของยาวเย่วกงทุกคน
“วันนี้ฉันกับจงยู่อยู่ในงานฉลองปีใหม่กับทุกคน การที่ได้อยู่กับทุกคนมาครบหนึ่งเดือนนั้น ฉันรู้สึกสบายใจมาก…ขออวยพรให้ทุกคนในยาวเย่วกงในค่ำคืนนี้ มีความสนุกตลอดทั้งคืน!” ฉินหลั่งดึงมือจูงมือให้ลุกขึ้นบนเวที เพื่อจะได้พูดกับลูกศิษย์ยาวเย่วกงทุกคนที่อยู่ด้านล่าง
“ขอบคุณเจ้านาย”
“เจ้านายหล่อมาก”
“เจ้านายดีจริงๆ!”
……
ด้านล่างต่างปรบมือกันอย่างครื้นเครง ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนแห่งความยินดี เลยไม่ต้องมากเรื่องกฎเกณฑ์ ทุกคนต่างตะโกนโหวกเหวกกันไปทั่ว
“เจ้านายหยุดก่อน!” ลมที่เป็นพิธีกรเรียกฉินหลั่งเอาไว้ จากนั้นก็หันไปถามกลุ่มลูกศิษย์ที่อยู่ด้านล่าง “ให้เจ้านายจูบกับนายหญิงก่อน เหล่าสาวๆ อยากเห็นไหม?”
ข้อเสนอแนะของลมต่างได้ยินเสียงผิวปากวี๊ดวิ้วของกลุ่มลูกศิษย์ที่อยู่ด้านล่างกันระงม ไม่นาน ทุกคนต่างตะโกนกลับมาพร้อมกัน!
“จูบเลย”
“จูบเลย”
“จูบเลย”
……
จนใบหน้าของจงยู่แดงแจ๋ ฉินหลั่งยิ้มอ่อนๆ ให้จงยู่ แล้วหันมากระซิบถาม “จงยู่ เอามั้ย?”
จงยู่หลบตา ท่าทางเขินอาย ราวกับเหมือนว่าทั้งสองคนเพิ่งจะรู้จักกัน ความรู้สึกรักแรกพบมันปกคลุมไปทั่วตัวฉินหลั่ง
ฉินหลั่งค่อยๆ เขยิบเข้าหาจงยู่ ริมฝีปากบางของจงยู่ถูกประกบ ลิ้นของจงยู่หวานฉ่ำ อ่อนโยน อบอุ่น
ฉินหลั่งกอดจงยู่เอาไว้ พร้อมทั้งจูบเธออย่างดูดดื่ม การแสดง “ถลำลึก” ของฉินหลั่งทำให้จงยู่ตกใจ แต่ว่าเธอยังคงปิดตาอยู่เพื่อซึมซับความรู้สึกนั้นเอาไว้…

รวยชั่วข้ามคืน?!

รวยชั่วข้ามคืน?!

ในระยะเวลา7ปีนี้ ฉินหลั่งถูกคนอื่นเยาะเย้ยและดูถูกเหยียดหยาม แต่ฉินหลั่งก็อดทนใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบๆมาโดยตลอดถ้าหากไม่ใช่ได้รับข้อความนั้น ฉินหลั่งคงจะลืมว่าตัวเองเป็นคนรวย7ปีมันเป็นระยะเวลาทดสอบที่ตระกูลให้กับฉินหลั่ง ตอนนี้ฉินหลั่งผ่านการทดสอบแล้ว ก็มีสิทธิ์ไปใช้ทรัพย์สินของตระกูลได้แล้วฉินหลั่งจะเลือกที่จะอ่อนน้อมถ่อมตนต่อไปหรือจะเริ่มเปิดโหมดอวดรวยกันแน่!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset