บทที่ 318 จักรพรรดิสวรรค์ก็ยังต้องยอมข้า!
หลิวเป้ยมองดูหลี่เสวียนเอ้า รู้สึกว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งยิ่งนัก จึงเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ไม่ใช่ข้า ข้าเพียงช่วยดูแลเท่านั้น”
สู้ไม่ได้ก็นอบน้อมสักหน่อยแล้วกัน ป้องกันไม่ให้ถูกสังหาร
หลี่เสวียนเอ้าถามว่า “ผู้ใดเป็นเจ้าของ เรียกเขาออกมา”
หลิวเป้ยถาม “เจ้ามีธุระใดหรือ”
“ข้าต้องการแม่น้ำมรรคกระบี่ ให้เขามาเจรจาเงื่อนไขกับข้า หากเจรจาไม่ได้ ข้าจะยึดมาตรงๆ”
หลี่เสวียนเอ้าพูดจาตามอำเภอใจยิ่งนัก ไม่เห็นหลิวเป้ยอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
หลิวเป้ยมีสีหน้าหวาดหวั่น กล่าวด้วยความประหม่า “เช่นนี้ไม่ดีกระมัง นายท่านของข้าคือเทพเซียนแห่งวังสวรรค์ เจ้าทำเช่นนี้จะเป็นการล่วงเกินจักรพรรดิสวรรค์!”
หลี่เสวียนเอ้าหยามหยัน “ล่วงเกินจักรพรรดิสวรรค์? จักรพรรดิสวรรค์ก็ยังต้องยอมข้าเลย!”
หลิวเป้ยส่ายหน้ากล่าวตอบ “ข้าไม่เชื่อ หากจักรพรรดิสวรรค์ทรงอนุญาต ข้าจะตอบตกลงแทนนายท่านของข้าเอง”
“อย่างนั้นหรือ”
หลี่เสวียนเอ้ายกมือขึ้น ในมือปรากฏป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ขึ้นมา
ในไม่ช้า สุรเสียงของจักรพรรดิสวรรค์ก็แว่วออกมาจากป้ายคำสั่งมรรคาสวรรค์ “มีเรื่องอันใด”
“ได้ยินว่านายท่านแห่งแม่น้ำมรรคกระบี่คือเทพเซียนของวังสวรรค์ ข้าต้องการแม่น้ำมรรคกระบี่ ให้ข้าได้หรือไม่” หลี่เสวียนเอ้าเอ่ยถาม สีหน้าจองหอง
เขาก็คือผู้ที่จักรพรรดิสวรรค์ให้ความสำคัญเชื้อเชิญเข้าสู่วังสวรรค์เชียวนะ!
คำตอบของจักรพรรดิเซียนคือ “ไม่ได้ เจ้าเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเถิด”
สีหน้าของหลี่เสวียนเอ้าแข็งค้าง
หลิวเป้ยถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ผานซินที่อยู่ไกลออกไปอดไม่ได้ที่จะหันมองมา
หลี่เสวียนเอ้าเอ่ยเสียงขรึมว่า “ไม่ใช่กล่าวไว้ว่ายินดีจัดหาทรัพยากรทุกอย่างที่พวกเราต้องการให้หรอกหรือ”
“อย่างอื่นล้วนคุยกันได้ แต่หากเกี่ยวข้องกับเทพเซียนผู้นั้นทำไม่ได้”
“เขาเก่งกาจกว่าข้าหรืออย่างไร”
“อืม”
หลี่เสวียนเอ้าเงียบเสียงลงไปแล้ว
ถึงแม้เขาจะจองหอง ทว่าไม่ได้โง่เขลา
ต่อให้เขาแข็งแกร่งมากกว่านี้เพียงใด ก็ไม่ใช่การดำรงอยู่ที่ไร้พ่ายในวังสวรรค์แน่นอน
“พรืด…ฮ่าๆ”
ผานซินพลันทนไม่ไหว หลุดขำออกมาเสียงดังลั่น
สีหน้าของหลี่เสวียนเอ้าพลันเขียวครึ้มขึ้นมาในทันที
หลิวเป้ยเป็นกังวลขึ้นมาแล้ว กลัวว่าจู่ๆ หลี่เสวียนเอ้าจะอาละวาดขึ้นมา
หลี่เสวียนเอ้าแค่นเสียงออกมาคราหนึ่ง สุดท้ายแล้วก็เลือกที่จะจากไป
ผานซินมองไปทางหลิวเป้ย เอ่ยยิ้มๆ ว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าเด็กนั่นจะมีคนหนุนหลังระดับนี้ ช่างน่าสนใจเสียจริงๆ!”
หลิวเป้ยผงกหัวนิดๆ ไม่ได้เอ่ยรับวาจา
ผานซินรู้สึกเบื่อหน่าย จึงคร้านที่จะพูดต่ออีก หันกลับไปยุ่งเรื่องของตนต่อ
ส่วนหลิวเป้ยก็บำเพ็ญตบะต่อไป
….
ภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน
หานเจวี๋ยรับรู้ทุกอย่างผ่านทางหลิวเป้ย เขายิ่งไม่สบอารมณ์กับหลี่เสวียนเอ้ามากขึ้นไปอีก
ควักลูกตาสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นไปแล้ว ยังคิดจะมาช่วงชิงอาณาเขตของเขาอีกหรือ
รนหาที่ตาย!
หลังจากนี้จะต้องจัดการเจ้าแน่!
หานเจวี๋ยคิดอย่างเงียบๆ
เขาไม่สามารถสาปแช่งหลี่เสวียนเอ้าในทันทีทันใดได้ เช่นนี้จะโจ่งแจ้งเกินไป
สิบปีผ่านไป
อู้เต้าเจี้ยนหยัดกายลุกขึ้นจากไปอย่างรู้ความ โดยที่หานเจวี๋ยไม่ต้องเอ่ยปาก
เขาหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เริ่มสาปแช่งหลี่เสวียนเอ้า
ผ่านไปเจ็ดวัน เขาถึงหยุดการสาปแช่ง
สูญเสียอายุขัยไปทั้งหมดห้าร้อยล้านปี!
เขาปรับสภาวะพลางตรวจดูจดหมายไปด้วย
[จี้เซียนเสินสหายของท่านสังหารบุตรแห่งฟ้าดิน ดวงชะตาเพิ่มพูน]
[หวงจี๋เฮ่าสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญนิกายเจี๋ย] x10769
[หลี่เสวียนเอ้าศัตรูคู่แค้นของท่าน เนื่องด้วยการสาปแช่งของท่าน มารในใจปั่นป่วน จิตกระบี่ผันสู่มาร]
[หลี่เต้าคงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังแห่งวังเทพ] x8
[หลงเฮ่าศิษย์ของท่านตระหนักรู้มหามรรค เรียนรู้พลังวิเศษ ได้รับดวงชะตามรรคาสวรรค์ชี้ทางเบิกปัญญา]
[หวงจุนเทียนสหายของท่านเข้าใจพลังวิเศษ พลังมรรคเพิ่มพูน]
[มารสวรรค์เบิกฟ้าสหายของท่านยึดร่างสำเร็จ กลายเป็นพระพุทธองค์]
….
เมื่อเห็นว่าหลี่เสวียนเอ้าถูกสาปจนเกิดปัญหา หานเจวี๋ยก็สบายใจ
เขาสังเกตเห็นว่าจี้เซียนเสินสังหารบุตรแห่งฟ้าดินได้ พอมีดีอยู่บ้าง
ถึงอย่างไรบุตรแห่งฟ้าดินก็ไม่นับว่าเหนือความเป็นจริง บางทีอาจจะเป็นบุตรแห่งฟ้าดินจากโลกมนุษย์สามัญกระมัง
มิเสียทีที่เป็นผู้ฝ่าเคราะห์ หานเจวี๋ยตั้งตารอยิ่งนักว่าเขาจะแข็งแกร่งขึ้นมากเพียงใดภายในมหาเคราะห์
‘หวังว่าเจ้าจะรอดชีวิตไปได้’
หานเจวี๋ยคิดเช่นนี้
เขาก็ไม่ต้องการให้เหล่าสหายของเขาล้วนสิ้นชีพจนหมดหลังจากมหาเคราะห์ครั้งนี้สิ้นสุดลง
หานเจวี๋ยสาปแช่งบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์และจักรพรรดิปีศาจต่อไป
ก่อนไปสดับมรรคต้องพยายามทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นอีกสักหน่อย!
….
เวลาผ่านไปอีกราวๆ ยี่สิบปี
ในที่สุดจักรพรรดิสวรรค์ก็ติดต่อมาหาหานเจวี๋ย ให้หานเจวี๋ยมุ่งหน้าไปที่ห้วงอวกาศอันเป็นที่ตั้งของโลกเขย่าพิภพ เขาจะไปรับหานเจวี๋ยที่นั่น
หานเจวี๋ยเรียกศิษย์ทั้งหลายมารวมตัวกัน บอกกล่าวเรื่องที่ตนจะออกไปสดับมรรค
“จึ๊ๆ สดับมรรคนอกชั้นฟ้าที่สามสิบสาม ท่านเจ้าสำนัก นี่ก็เป็นโชควาสนาอันยิ่งใหญ่ ก่อนหน้านี้ยามที่ข้าอยู่ในวังปีศาจ ล้วนไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับโอกาสเช่นนี้เลย” จอมปีศาจคุกรัตติกาลเอ่ยด้วยความริษยา
ต้วนหงเฉินเองก็เผยสีหน้าอิจฉาออกมาเช่นกัน ถึงแม้เขาจะเคยหลับใหลไประยะหนึ่ง แต่ในยุคสมัยของเขา ผู้ที่สามารถไปเยือนชั้นฟ้าที่สามสิบสามได้ล้วนเป็นผู้อาวุโสที่ทรงพลังทั้งสิ้น
ศิษย์ที่เหลือกลับอยากรู้ยิ่งนักว่านอกชั้นฟ้าที่สามสิบสามมีสภาพแวดล้อมเช่นใด
หานเจวี๋ยกล่าวว่า “หลังจากกลับมาจะเล่าให้พวกเจ้าฟัง ข้าไปก่อนแล้ว”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็ออกจากยมโลกทันที
เหล่าศิษย์ต่างล้อมวงอยู่รอบกายจอมปีศาจคุกรัตติกาล ฟังเขาเล่าขานตำนานแห่งชั้นฟ้าที่สามสิบสาม
หานเจวี๋ยทิ้งหุ่นเชิดแห่งสวรรค์ไว้ในถ้ำเทวาฟ้าประทาน เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นในเกาะสำนักซ่อนเร้น
ผ่านไปนาน
หานเจวี๋ยเร่งเดินทางมาตลอด ในที่สุดก็มาถึงห้วงอวกาศอันเป็นที่ตั้งของโลกเขย่าพิภพ
คอยอยู่ไม่นานนัก จักรพรรดิสวรรค์ก็ปรากฏกายขึ้น
ข้างกายจักรพรรดิสวรรค์ยังมีคนอยู่สองคน นั่นก็คือยอดแม่ทัพเทพและหลงจวิน
ยอดแม่ทัพเทพเลิศล้ำน่าเกรงขามเช่นเดียวกับในจินตนาการของหานเจวี๋ย
หลงจวินเองก็องอาจเช่นกัน รูปโฉมของเขาคล้ายคลึงกับหลงซั่นและหลงเฮ่าอย่างยิ่ง ทว่าสุขุมหนักแน่นมากกว่า
ทั้งสามคนเพิ่งเคยพบหน้ากันเป็นครั้งแรก จักรพรรดิสวรรค์จึงเอ่ยแนะนำเล็กน้อย แล้วกวาดม้วนคนทั้งสามเข้าสู่แขนเสื้อ
พวกเขาเข้าสู่มิติพิศวงและตระการตาแห่งหนึ่ง ถูกจักรพรรดิสวรรค์ห่อหุ้มด้วยพลังเวท ทุกอย่างที่อยู่รอบกายเคลื่อนถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว ราวกับข้ามผ่านอุโมงค์กาลเวลา
ยอดแม่ทัพเทพจ้องมองหานเจวี๋ย ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะยอมออกมา เรื่องราวของเจ้า ข้าได้ยินมามากนัก”
หลงจวินเองก็สนใจใคร่รู้เช่นกัน
เขาคือรัชทายาทแห่งวังสวรรค์ ย่อมได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดิสวรรค์ และเคยได้ยินเรื่องของหานเจวี๋ยจากจักรพรรดิสวรรค์มาบ้าง
หานเจวี๋ยแสร้งกระแอมไอคราหนึ่ง เอ่ยว่า “หลักๆ คือข้ากลัวตาย ครั้งนี้จำเป็นต้องไว้หน้าจักรพรรดิสวรรค์น่ะ”
จักรพรรดิสวรรค์แค่นเสียงเอ่ย “เจ้าเด็กคนนี้ก็ยังปฏิเสธเรา หากมิใช่เพราะเราบังคับเขามา ตอนนี้พวกเจ้าคงไม่ได้พบเขา”
หานเจวี๋ยรู้สึกกระดากอาย
ยอดแม่ทัพเทพและหลงจวินต่างยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
เจ้าหมอนี่ก็ช่างพิลึกคนจริงๆ!
การเดินทางหลังจากนั้น หานเจวี๋ยไม่พูดอะไรเลย เขารู้สึกประหม่ายิ่งนัก ด้วยเกรงว่าจะมีผู้ทรงพลังจู่โจมอย่างกะทันหัน
ยอดแม่ทัพเทพและหลงจวินรวมถึงจักพรรดิสวรรค์กลับพูดคุยกันอย่างสำราญ
หานเจวี๋ยกระวนกระวายอยู่กับตัวเอง รู้สึกเหมือนนั่งรถประจำทาง มองผู้โดยสารคนอื่นพูดคุยกับคนขับไปตลอดทาง
“เจ้ากำลังกลัวสิ่งใดกัน ถึงได้มีท่าทางตึงเครียดเพียงนี้!” จักรพรรดิสวรรค์เหลือบมองหานเจวี๋ยคราหนึ่ง แค่นเสียงเอ่ย
เขารับรู้ได้ถึงความไม่ไว้วางใจ
เราพาเจ้าไปด้วยตนเอง เจ้าก็ยังกลัวว่าจะถูกโจมตีอีกหรือ
ในใจของเจ้า เรามีอำนาจเพียงใดกันแน่
หานเจวี๋ยกล่าวตอบว่า “ตื่นตัวไว้บ้าง ไม่นับว่าผิด ไม่กลัวเรื่องที่แน่นอน ที่กลัวคือเรื่องไม่คาดฝัน”
หลงจวินส่ายหน้าหลุดขำออกมา
ยอดแม่ทัพเทพพยักหน้าอย่างชื่นชมยิ่งนัก
จักรพรรดิสวรรค์ก็ไม่ได้เอ่ยวาจามากความอีก
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม พวกเขามาถึงเหนือขอบฟ้าทะยานสู่ด้านบน
พวกเขาทะลุผ่านหมู่เมฆหลายต่อหลายชั้น หานเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นมอง ความสูงของฟากฟ้าดุจไร้ซึ่งขอบเขต
‘ฟากฟ้าของแดนเซียนสูงเพียงใดกันแน่’
หานเจวี๋ยนึกสงสัยอยู่ในใจ
เพียงไม่นาน หานเจวี๋ยสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันไร้ลักษณ์ได้เมื่อทะลุผ่านชั้นหนึ่งไป นภาพลันยืดสูง ไม่เป็นสีฟ้าครามเช่นนั้นอีกต่อไป
ยิ่งทะลุผ่านฟากฟ้าไปเท่าไร หานเจวี๋ยก็ยิ่งสัมผัสถึงแรงกดดัน
เวลานี้ เขามีความรู้สึกเหมือนยามที่มุ่งหน้าฝ่าแม่น้ำมรรคกระบี่ ยิ่งเคลื่อนไปด้านหน้าเท่าไร แรงกดดันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากผ่านแรงกดมาสิบแปดชั้น ขอบฟ้าก็เปลี่ยนเป็นมืดสลัว อัสนีวูบไหวร้องคำรณ หานเจวี๋ยมองเห็นมังกรอัสนี หลายตัวพลิกม้วนอยู่ในหมู่เมฆ ตระการตาอย่างยิ่ง
………………………………………………………………