ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ – บทที่ 319 ตำหนักเอกอนันต์ ผู้ทรงพลังมาชุมนุม

บทที่ 319 ตำหนักเอกอนันต์ ผู้ทรงพลังมาชุมนุม

ตลอดการเดินทางขึ้นมา โดยไม่ทันได้รู้เนื้อรู้ตัว หานเจวี๋ยก็มาถึงชั้นฟ้าที่ยี่สิบเจ็ดแล้ว

ชั้นฟ้าที่ยี่สิบเจ็ด สายพิรุณพร่างพรม สิ่งที่โปรยปรายลงมาคือฝนกร่อนเวทที่สามารถกัดกร่อนพลังเวทได้ ต่อให้เป็นจักรพรรดิสวรรค์ ก็ไม่สามารถต้านทานได้นาน

ยามที่หานเจวี๋ยได้ฟังจักรพรรดิสวรรค์อธิบายนั้น ก็อดไม่ได้ที่ตระหนกตกใจขึ้นมา

แค่ชั้นฟ้าที่ยี่สิบเจ็ดก็น่ากลัวถึงเพียงนี้แล้ว แล้วสภาพแวดล้อมของชั้นฟ้าที่สามสิบสามจะเป็นอย่างไรกัน

ขณะเดียวกันนั้น เขาก็บังเกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา

หากบำเพ็ญอยู่ที่นี่ คงไม่มีผู้ใดมารบกวนกระมัง!

มิน่าเล่าผู้ทรงพลังเหล่านั้นถึงได้ซ่อนตัวอยู่นอกชั้นฟ้า

‘รอกระทั่งข้าสำเร็จเป็นต้าหลัว ข้าก็จะย้ายมาอยู่ที่นี่ หลีกให้ห่างจากการแย่งชิงของปวงสวรรค์’

หานเจวี๋ยคิดอย่างเงียบๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งหวัง

เพียงไม่นาน พวกเขาก็ทะลุผ่านมาถึงชั้นที่สามสิบแล้ว มาถึงตรงนี้ หานเจวี๋ยก็สัมผัสได้ถึงพลังแห่งมรรคาสวรรค์ แรงกดดันมหาศาล ทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวน

เมื่อทอดสายตามองออกไปก็มองไม่เห็นสิ่งใดเลย คล้ายกับห้วงอวกาศ ทว่าในความว่างเปล่ามีอำนาจบีบคั้นกดดันอันแปลกประหลาดอย่างยิ่งแผ่เข้าแทรกซึม ทำให้หานเจวี๋ยรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก

ชั้นฟ้าที่สามสิบเอ็ด!

ขอบฟ้าดั่งยามอัสดง ไร้ซึ่งดวงตะวัน งดงามดุจภาพวาด ส่วนแรงกดดันนั้นก็หายไปแล้ว

ชั้นฟ้าที่สามสิบสอง!

หานเจวี๋ยไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้ เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เสียงของจักรพรรดิสวรรค์แว่วอยู่ข้างหู “ถึงนอกชั้นฟ้าที่สามสิบสามแล้ว”

ถึงแล้วหรือ

หานเจวี๋ยฉงน เขายังไม่หันได้เห็นสภาพแวดล้อมของชั้นฟ้าที่สามสิบสองเลย

เขาเพ่งสายตามองออกไป ชั้นฟ้าที่สามสิบสามไม่มีสิ่งใดอยู่เลย มีเพียงเมฆหมอกไหลเลื่อนเอื่อยริน แสงสลัวเลือนราง พอมองเห็นได้บ้าง

อยู่ที่นี่ หานเจวี๋ยสัมผัสถึงพลังวิญญาณไม่ได้เลยสักนิด

เขาขมวดคิ้ว

ที่นี่ฝึกบำเพ็ญอย่างไรกัน

หรือจะฝึกบำเพ็ญมหามรรคโดยเฉพาะ?

หานเจวี๋ยใช้จิตสัมผัส ทว่าไม่สามารถสัมผัสรับรู้สิ่งใดได้เลย

จักรพรรดิสวรรค์ไม่ได้มุ่งขึ้นด้านบนอีกต่อไปแล้ว ทว่ากลับเหาะไปยังทิศทางหนึ่ง

ผ่านไปไม่นานเท่าไรนัก หานเจวี๋ยก็มองเห็นพระราชวังหลังหนึ่ง

วังหนี่ว์วา!

หานเจวี๋ยลอบตระหนก ไท่ซู่เทียนแห่งวังหนี่ว์วามีความสนใจในตัวเขา ในครานั้นเคยโยนหินซ่อมฟ้าลงมา วางแผนส่งหินซ่อมฟ้าให้ไปถึงมือหานเจวี๋ย เจตนานี้น่ากลัวเกินไป แม้ว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่มีเจตนาร้าย แต่เขาก็จำเป็นต้องระวังไว้

“วังหนี่ว์วาเคยปรากฏอริยบุคคล ประวัติศาสตร์ยาวนาน รากฐานมั่นคง” จักรพรรดิสวรรค์อธิบายคร่าวๆ เพียงประโยคหนึ่ง

เห็นได้ชัดว่ายอดแม่ทัพเทพและหลงจวินก็เพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก สายตาที่มองวังหนี่ว์วานั้นเปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

วังหนี่ว์วาใหญ่โตมาก เพียงบานประตูก็สูงนับพันจั้งแล้ว ยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม ได้ยินเสียงน้ำไหลแว่วอยู่รางๆ

เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านพ้นไป หานเจวี๋ยมองเห็นพระราชวังอีกหลังหนึ่ง ตำหนักเลิศพิสุทธิ์

เมื่อเทียบกับวังหนี่ว์วา ตำหนักเลิศพิสุทธิ์มีขนาดไม่เล็กเลย มีกลิ่นไม้จันทน์อ่อนจางหอมอบอวล

หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าความเร็วในการเคลื่อนที่ของจักรพรรดิสวรรค์ไม่เร็วนัก คล้ายกับว่าตั้งใจพาพวกเขาเที่ยวชม

ดูเหมือนจักรพรรดิสวรรค์จะมีข้อห้ามจำเพาะกับตำหนักเลิศพิสุทธิ์ จึงไม่ได้อธิบายมากนัก

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หานเจวี๋ยก็มองเห็นพระราชวังไม่ต่ำกว่าสิบหลังแล้ว

จู่ๆ เขาก็พลันรู้สึกว่าตนช่างเล็กจ้อยนัก

กล่าวอีกอย่างคือ ทั่วทั้งแดนเซียนต่างเล็กจ้อยยิ่ง

ขนาดสี่กลุ่มอิทธิพลใหญ่ที่เอาแต่ต่อสู้กันอยู่ตลอด กลืนกินปวงสวรรค์หมื่นโลกา แต่พอมาถึงที่นี่ แต่ละคนกลับไม่กล้าพูดเสียงดังเลย

ในที่สุด หานเจวี๋ยก็มองเห็นตำหนักเอกอนันต์แล้ว

ที่หน้าตำหนักมีเงาร่างหลายร้อยเงารวมตัวกันอยู่ ผู้คนมากหน้าหลายตาทำให้หานเจวี๋ยรู้สึกอันตรายยิ่งนัก

จักรพรรดิสวรรค์พาหานเจวี๋ยร่อนลงบนแท่นหน้าตำหนัก เขากล่าวคำพูดทิ้งไว้ประโยคหนึ่งแล้วเดินเข้าไป “พวกเจ้ายืนคอยเราอยู่ที่นี่ก่อน”

ชั่วพริบตานั้นเอง กระแสจิตมากมายพลันโฉบผ่านร่างของหานเจวี๋ยไป

ก่อนหน้าที่หานเจวี๋ยจะมา เขาก็ได้กดตบะไว้ในระดับจักรพรรดิเซียนหนึ่งวัฏ อย่างไรเสียหากมีตบะต่ำเกินไปจะแปลกแยกอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อจักรพรรดิเซียนหนึ่งวัฏมาอยู่ที่นี่ ก็ไม่นับว่าต่ำต้อยที่สุด หานเจวี๋ยมองเห็นแม้กระทั่งเซียนทองไท่อี่ด้วยซ้ำ

‘หวังว่าจะไม่มีผู้ใดโผล่ออกมาสร้างปัญหาให้ข้าหรอกนะ’ หานเจวี๋ยคิดอย่างเงียบๆ เขาถึงขั้นที่ไม่กล้ามองผู้ทรงพลังเหล่านั้นเลย

บรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์และจักรพรรดิปีศาจต้องอยู่ที่นี่แน่นอน ตนเองตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ดึงดูดความสนใจของพวกเขาเด็ดขาด

“เจ้ามาแล้ว”

เสียงหนึ่งแว่วเข้าสู่โสตประสาทของหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยหันไปมอง เป็นชายหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งที่กำลังจ้องมองเขาอยู่

กลิ่นอายแห่งมรรคนี้…

คุณสมบัติกายฟ้าบุพกาล เต้าจื้อจุน!

หานเจวี๋ยจดจำกลิ่นอายของเต้าจื้อจุนได้ เขาพยักหน้าให้เต้าจื้อจุนเล็กน้อย ไม่คิดเอ่ยวาจา

‘อย่าเดินเข้ามาเด็ดขาด อย่าแนะนำข้าต่อผู้อื่น!’

หานเจวี๋ยลนลานอยู่ในใจจนถึงขีดสุด

เต้าจื้อจุนมีคุณสมบัติกายฟ้าบุพกาล เป็นยอดบุตรแห่งสวรรค์ ถึงขั้นที่เหนือกว่าหลงเฮ่าเสียด้วยซ้ำ หากมีความข้องเกี่ยวกับเขา หานเจวี๋ยจะต้องถูกเพ่งเล็งอย่างแน่นอน

เต้าจื้อจุนอุปนิสัยเย็นชา เมื่อเห็นว่าหานเจวี๋ยไม่มีทีท่าจะพูดคุย จึงคร้านที่จะถ่ายทอดเสียงหาเขาอีก

หลงจวินเอ่ยขึ้นยิ้มๆ ว่า “มาถึงที่นี่แล้ว จะต้องปลอดภัยแน่ อย่าได้วิตกไปเลย”

หานเจวี๋ยฟังแล้วก็คิดว่าจริง

ต่อหน้าผู้ทรงพลัง ยังมีผู้ที่กล้าสร้างเรื่องได้อีกหรือ

ยิ่งเขาวิตกมากเท่าไร ก็ยิ่งดูผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด

หานเจวี๋ยผ่อนคลายลงในทันที สีหน้าสงบราบเรียบ ทว่าในใจยังคงตึงเครียด

จักรพรรดิสวรรค์เป็นประมุขแห่งวังสวรรค์ ย่อมมีกลุ่มผู้ทรงพลังหลั่งไหลเข้ามาหา หานเจวี๋ยได้ยินบทสนทนาของพวกเขา สิ่งที่พูดคุยกันนั้นล้วนเป็นสถานการณ์ของมหาเคราะห์ไร้ขอบเขต

มีคนผู้หนึ่งตีสนิทชิดวงในกับจักรพรรดิสวรรค์ คาดว่าจะเป็นจักรพรรดิปีศาจ กลิ่นอายแห่งจักรพรรดิบนร่างของเขาก็เข้มข้นเกินไปแล้วจริงๆ

“ศิษย์น้อง นี่ก็คือผู้เยาว์ผู้นั้นที่ข้าถูกชะตา”

เสียงของหลี่เต้าคงแว่วเข้ามา เห็นเพียงเขาเดินเข้ามาหาหานเจวี๋ยพร้อมกับหลี่เสวียนเอ้า

หานเจวี๋ยหัวใจเต้นแรง

แย่แล้ว!

หลี่เสวียนเอ้าหยุดลงตรงหน้าพวกหานเจวี๋ยทั้งสามคน พินิจดูหานเจวี๋ย ก่อนแค่นเสียงเอ่ยว่า “มองไม่ออกเลยว่ามีดีอะไร”

“มองไม่ออกก็ถูกแล้ว แสดงว่าแม้แต่เจ้าก็ยังมองระดับฝีมือไม่ออก”

คำตอบของหลี่เต้าคงทำเอาหานเจวี๋ยหมดคำพูดยิ่งนัก

พี่ชาย ท่านคงไม่ได้ล้มป่วยหนักอันใดกระมัง

จะต้องลากความเกลียดชังเคียดแค้นมาหาข้าด้วยอย่างนั้นหรือ

หลี่เสวียนเอ้าแค่นเสียงเย็น สะบัดแขนเสื้อจากไปทันที

หลี่เต้าคงขยิบตาให้หานเจวี๋ย เอ่ยว่า “หากคิดได้แล้ว มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”

หานเจวี๋ยได้แต่พยักหน้ารับตามมารยาท

หลังจากสองศิษย์พี่น้องจากไปไกล ยอดแม่ทัพเทพจึงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “เจ้ารู้จักพวกเขาหรือ”

หานเจวี๋ยกล่าวตอบ “ไม่นับว่ารู้จัก ผู้อาวุโสหลี่ก็เป็นผู้ทรงพลัง หาใช่ผู้ที่ชนรุ่นหลังอย่างข้าจะสามารถอาจเอื้อมได้”

ยอดแม่ทัพเทพแย้มยิ้ม ไม่ได้ไล่ถามต่อ

หลงจวินกวาดมองไปทั่วบริเวณ ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใด

ช่วงเวลาแห่งการรอคอยด้วยความประหม่าของหานเจวี๋ยผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด ประตูใหญ่ของตำหนักเอกอนันต์ก็เปิดออกเสียงดังครืน มีเสียงระฆังแว่วกังวานขึ้น

“ทุกท่าน เชิญเข้าสู่ตำหนักเถิด”

น้ำเสียงกึกก้องทรงพลังสายหนึ่งแว่วขึ้นข้างหูหานเจวี๋ย หานเจวี๋ยหันหน้าไปมอง พบว่าเหล่าผู้ทรงพลังที่อยู่หน้าประตูใหญ่ต่างเข้าตำหนักไปก่อนแล้ว ด้านในประตูมีแสงเจิดจ้าพร่าตา มองไม่เห็นสถานการณ์โดยรวมของด้านใน

หานเจวี๋ยพึมพำขึ้น “จักรพรรดิสวรรค์ไม่ได้เป็นผู้พาพวกเราเข้าไปหรือ”

หลงจวินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร พวกเราก็ไม่อาจนั่งข้างกายเสด็จพ่อได้อยู่แล้ว พวกเราก็แค่ตามหลังคนส่วนใหญ่ไปก็พอ”

เมื่อกล่าวจบ เขาก็สาวเท้าก้าวไปด้านหน้า

หานเจวี๋ยและยอดแม่ทัพเทพรีบตามหลังไป

เดินไปได้ไม่กี่ก้าว มีเงาร่างสายหนึ่งไล่ตามมาจากด้านหลัง ชนกระทบถูกหานเจวี๋ยเล็กน้อย

หานเจวี๋ยเหลือบมองเขาคราหนึ่ง อีกฝ่ายก็เหลือบมองเขาคราหนึ่งเช่นกัน

อีกฝ่ายพยักหน้าให้เล็กน้อย ก่อนเร่งฝีเท้าก้าวนำไป

[ซวีหวงเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 2 ดาว]

หานเจวี๋ยมองอักขระแถวหนึ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ในสมองเกิดเป็นเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่

‘มารดาเจ้าสิ! เจ้าชนข้า เจ้ายังมาเกลียดข้าอีกหรือ’

ข้าจะต้องรู้ประวัติความเป็นมาของเจ้าให้ได้ เหตุใดจึงโอหังได้เช่นนี้!

หานเจวี๋ยก้าวเดินไปพลางเรียกดูค่าความสัมพันธ์ ในไม่ช้าก็หารูปประจำตัวของซวีหวงพบ

[ซวีหวง: จักรพรรดิเซียนเก้าวัฏ บุตรแห่งจักรพรรดิปีศาจ บากบั่นบำเพ็ญเพียรมาห้าล้านปี มรรคจิตมั่นคง พร้อมบรรลุระดับเทพได้ตลอดเวลา เนื่องด้วยท่านเหลือบมองเขาคราหนึ่ง จึงเกิดความไม่พอใจในตัวท่าน คิดว่ามดปลวกอย่างท่านบังอาจเหลือบมองเขาได้อย่างไร ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 2 ดาว]

………………………………………………………………

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
Score 9.8
Status: Ongoing
อ่านระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะเนื่องจากชาติก่อนเป็นโรครักษาไม่หาย ตายก่อนวัยอันควร เมื่อได้กลับมาเกิดใหม่ในแดนบำเพ็ญเซียน เขาจึงมีเป้าหมายเดียว... ชีวิตอมตะ! หานเจวี๋ยพบว่าตนเองมีระบบของเกมวิถีชีวิตอยู่กับตัว หลังจากใช้เวลากว่าสิบเอ็ดปี ในที่สุดก็สุ่มได้ดวงชะตาและรากวิญญาณชั้นเลิศจากระบบ ทำให้เขาสามารถเข้าสู่วิถีแห่งการบำเพ็ญเซียนได้อย่างมั่นใจ เพื่อเป้าหมายการมีชีวิตเป็นอมตะ เขาตัดสินใจฝึกฝนเงียบๆ เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ให้เป็นจุดสนใจ กระทั่งพันปีต่อมา แดนบำเพ็ญเซียนเปลี่ยนไปยุคแล้วยุคเล่า เมื่อเทพเซียนจะชำระล้างโลกมนุษย์ หานเจวี๋ยไม่อาจไม่ลงมือ ยามนั้นเขาจึงเพิ่งค้นพบว่า... เทพเซียนมันก็แค่นี้เอง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset