บทที่ 418 เผ่ามนุษย์ไม่ยอมแพ้ สำนักซ่อนเร้นพุ่งทะยาน
หลังจากวังมังกรเข้าร่วมกับวังสวรรค์ วังสวรรค์ก็นับเป็นกลุ่มอิทธิพลอันดับหนึ่งแห่งแดนเซียน
และด้วยการสนับสนุนจากกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่อย่างลัทธิอันธการ เผ่าอสูร วังมังกร นิกายเหรินรวมถึงนิกายฉ่าน วังสวรรค์ถึงขั้นที่เรียกได้ว่ามาถึงยุครุ่งเรืองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ขนาดที่แข็งแกร่งกว่าวังปีศาจที่เคยสร้างหายนะให้แก่แดนเซียนเมื่อครั้งก่อนเสียด้วยซ้ำ
เวลาเพิ่งผ่านไปเท่าไรกัน
หานเจวี๋ยพลันตกตะลึงในพลังอำนาจของอริยะ
อย่างไรก็ตามหานเจวี๋ยกลับมีลางสังหรณ์ว่า ยิ่งวังสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นมากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสพ่ายแพ้มากขึ้นเท่านั้น
ศึกมหาเคราะห์ไม่มีชัยชนะอย่างถาวร อาจจะเสมอกัน บาดเจ็บ พ่ายแพ้ทั้งสองฝ่าย หรือไม่ก็ตรงกันข้าม
สิ่งที่มรรคาสวรรค์ต้องการคือให้สิ่งมีชีวิตจำนวนน้อยอยู่รอดต่อไป
‘ข้าขอรับบทผู้ชม เฝ้ามองความรุ่งโรจน์และตกต่ำของพวกเขาแล้วกัน’
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ จักรพรรดิสวรรค์ไม่อยู่แล้ว ยามนี้วังสวรรค์เริ่มพุ่งทะยานขึ้นมาอีกครั้ง บุญคุณที่เขาติดค้างอีกฝ่ายนับว่าได้ชำระคืนแล้ว
ถ้าหากไม่มีเขาคอยช่วยเหลืออยู่ในมุมมืดมาโดยตลอด วังสวรรค์และจักรพรรดิสวรรค์คงพินาศไปนานแล้ว
ตอนนี้ยังมีอีกหนึ่งเป้าหมาย นั่นก็คือการสังหารจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยน ช่วยเหลือจักรพรรดิสวรรค์
หานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาสาปแช่งจักรพรรดิหยกโจวเหยี่ยน
หลายวันผ่านไป เขาบำเพ็ญตบะต่อ
ระดับต้าหลัวบำเพ็ญตบะยากเย็นยิ่ง มรรคผลแห่งต้าหลัวของหานเจวี๋ยราวกับหลุมที่ไร้ก้นบึ้ง แรงกรรมจากบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรยังคงหลั่งไหลเข้าสู่มรรคผลแห่งต้าหลัวอย่างต่อเนื่อง ราวกับไม่มีวันเติมให้เต็มได้
หานเจวี๋ยเองก็ไม่สามารถคาดการณ์ได้เช่นกันว่าตนจะทะลวงระดับเป็นเซียนทองต้าหลัวระยะกลางได้เมื่อไร
เส้นทางแห่งมหามรรค อยู่ห่างไกลเหลือเกิน!
….
วันเวลาค่อยๆ ผันผ่านไป
ช่วงที่สำนักซ่อนเร้นเก็บตัวบำเพ็ญอยู่นั้น ในที่สุดสงครามใหญ่ระหว่างมนุษย์และเทพเซียนก็อุบัติขึ้นในแดนเซียนแล้ว
พลังในการขยายเผ่าพันธุ์ของเผ่ามนุษย์ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก แม้จะอยู่ในช่วงระหว่างสู้รบกันอย่างต่อเนื่อง แต่ภายในระยะเวลาไม่กี่สิบปีเผ่ามนุษย์กลับมีประชากรเพิ่มขึ้นมาหลายพันล้านคน
เผ่ามนุษย์ในแดนเซียน มีประชากรมหาศาลนัก นับประสาอะไรกับเผ่ามนุษย์ในปวงสวรรค์หมื่นโลกา นี่สินะตัวเอกแห่งมรรคาสวรรค์
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับวังสวรรค์ที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน แรกเริ่มเผ่ามนุษย์ก็ต้องประสบกับความยากลำบาก แพ้ศึกอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ด้วยเหตุนี้จุดเด่นที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวของเผ่ามนุษย์จึงปรากฏออกมาให้เห็น
ใจสู้ไม่ท้อถอย ไม่มีวันยอมแพ้!
ยิ่งเผ่ามนุษย์พ่ายแพ้มากเท่าไร เผ่ามนุษย์ก็ยิ่งกลมเกลียวขึ้นมากเท่านั้น สมัครสมานเป็นปึกแผ่น
ผู้บำเพ็ญจากโลกอื่นๆ ต่างรีบมุ่งมาให้การสนับสนุนที่แดนเซียน มหาศึกสะเทือนโลกากำลังอุบัติขึ้น
เวลาผ่านไปอีกประมาณสามสิบปี
หานเจวี๋ยออกจากถ้ำ เตรียมแสดงธรรมแก่เหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้น
หลี่ว์ฮว่าซวีพลันก้าวเข้ามาทำความเคารพอยู่ตรงหน้าหานเจวี๋ย เอ่ยถามว่า “อาจารย์ รายนามสถาปนาเทพกำลังเรียกตัวข้า ท่านคิดว่าข้าควรทำอย่างไรดีขอรับ”
หานเจวี๋ยกกล่าวตอบ “ห้ามไป มิฉะนั้นตายแน่”
เปลือกตาหลี่ว์ฮว่าซวีกระตุกอย่างรุนแรง
หลี่ว์ฮว่าซวีปลุกความทรงจำของมหาจักรพรรดิจื่อเวยได้แล้ว แต่ความเคารพยำเกรงที่เขามีต่อหานเจวี๋ยกลับลึกล้ำยิ่งขึ้น เนื่องจากเขาก็เป็นเช่นเดียวกับคนอื่นๆ คิดว่าหานเจวี๋ยอาจจะเป็นบรรพชนเต๋ากลับชาติมาเกิด
มองดูบรรดาศิษย์เหล่านี้ของสำนักซ่อนเร้นแล้ว ทั้งหมดล้วนสามารถรวมตัวกันกลายเป็นกลุ่มอิทธิพลที่ทรงพลังได้
ในอดีตวังสวรรค์ก็มีต้าหลัวเพียงห้าคนเท่านั้น ซึ่งสี่ยอดมหาจักรพรรดิไม่อยู่ที่วังสวรรค์มานานมากแล้ว แต่สำนักซ่อนเร้นกลับมีมหาจักรพรรดิถึงสามคน หลี่ว์ปู้และหม่าเชาต่างก็มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับจู่ถู
ต้องทราบก่อนว่าแค่จู่ถูคนเดียวก็สามารถต่อกรกับสี่ยอดมหาจักรพรรดิได้แล้ว
“ทุกคนจงนั่งลง เตรียมสดับธรรม!”
หานเจวี๋ยเดินอ้อมหลี่ว์ฮว่าซวี มานั่งลงด้านหน้าต้นฝูซัง
เมื่อทุกคนพร้อมกันแล้ว เขาจึงเริ่มแสดงธรรม
หานเจวี๋ยก็ไม่คิดจะอยู่ในแดนต้องห้ามอันธการไปตลอดเช่นกัน รอให้มหาเคราะห์สิ้นสุดลง เขาจะไปที่แดนเซียน
แต่ก่อนหน้านั้น เขาต้องทำให้สำนักซ่อนเร้นแข็งแกร่งขึ้นมาให้ได้ เช่นนี้เขาจึงจะบำเพ็ญได้อย่างสบายใจ ให้ลูกศิษย์คอยปกป้องสำนักซ่อนเร้น
นอกจากสำนักซ่อนเร้นแล้ว โลกเขย่าพิภพก็กำลังแกร่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
สักวันหนึ่ง โลกเขย่าพิภพจะอยู่เหนือกว่าโลกมนุษย์ พัฒนาเป็นโลกที่ยิ่งใหญ่ หานเจวี๋ยก็ตั้งตารอคอยให้วันนั้นมาถึงอยู่เช่นกัน
ตบะของพุทธะอาภรณ์ขาวก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บรรลุระดับจักรพรรดิเซียนสามวัฏแล้ว ต้องยกความดีความชอบให้โชคชะตาที่เพิ่มพูนขึ้นของโลกเขย่าพิภพ
เจ็ดปีผ่านไป
หานเจวี๋ยแสดงธรรมจบแล้ว
ครั้งนี้ เขาไม่ได้ตรงกลับไปที่ถ้ำทันที แต่รอคอยให้เหล่าศิษย์ได้สติกลับมา
หนึ่งปีผ่านไป
ศิษย์ทั้งหมดได้สติกลับมาแล้ว เมื่อเห็นหานเจวี๋ยยังคงอยู่ ก็เฝ้ารอให้เขาพูดต่อ
หานเจวี๋ยเอ่ยขึ้นว่า “ศึกใหญ่ที่แท้จริงของมหาเคราะห์ในครานี้เริ่มขึ้นแล้ว เป็นศึกระหว่างมนุษย์และวังสวรรค์”
เมื่อวาจานี้ถูกกล่าวออกมา ทุกคนล้วนตะลึงงัน
มู่หรงฉี่เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “วังเทพ สำนักพุทธและวังปีศาจล่ะขอรับ”
ถูหลิงเอ๋อร์ก็เอ่ยถามเช่นกัน “เผ่าเทพอีกาทองล่ะเจ้าคะ”
เมื่อเอ่ยถึงเผ่าเทพอีกาทอง สีหน้าท่าทางของเจียงอี้ดูไม่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
หรือว่าเผ่าเทพอีกาทองจะล่มสลายไปแล้ว
ฉู่ซื่อเหรินนับนิ้วทำนาย สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปอย่างมหันต์
สวินฉางอันสังเกตเห็นสีหน้าของเขา จึงเอ่ยปากถาม “เจ้าทำนายพบสิ่งใด”
สวินฉางอันยังมีนิสัยคงเดิมไม่แปรเปลี่ยน คอยสังเกตใส่ใจฉู่ซื่อเหรินอยู่เสมอ
ถึงอย่างไรเขาก็เคยถือกำเนิดในสำนักพุทธ ส่วนฉู่ซื่อเหรินก็เป็นบรรพชนพุทธ
“กลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่ในสรวงสวรรค์ต่างก็เข้าร่วมกับวังสวรรค์ ทำสงครามกับเผ่ามนุษย์ มีผู้ที่ต้องการล้มล้างฐานะตัวเอกแห่งมรรคาสวรรค์ของเผ่ามนุษย์ ฝีมือช่างทรงพลังนัก!”
ฉู่ซื่อเหรินสีหน้าเคร่งเครียด เขาคือบรรพชนพุทธภควัต แนวคิดในอดีตคือต้องการให้สรรพสัตว์มีสันติภาพ มรรคาพุทธมีหลักมาจากเผ่ามนุษย์ ย่อมไม่ต้องการให้เผ่ามนุษย์ถูกสังหาร
เมื่อศิษย์ทุกคนได้ฟัง ต่างตกตะลึงยิ่ง วังสวรรค์ทรงพลังขนาดนี้ได้อย่างไร
หานเจวี๋ยเปิดปากเอ่ย “เห็นหรือยัง นี่ก็คือมหาเคราะห์ นี่ก็คือโชคชะตา ตัวตนที่เคยยิ่งใหญ่อหังการยโสโอหังล้วนกลายเป็นหินรองเท้าได้ทั้งสิ้น สำนักซ่อนเร้นไม่แก่งแย่งโชควาสนา ไม่ฝักใฝ่อำนาจ สิ่งที่มุ่งหมายคือมหามรรค พวกเจ้าจงบำเพ็ญกันให้ดี อย่าได้คิดจะออกไปอีก รอจนมหาเคราะห์สิ้นสุดลง พวกเราจะหวนคืนแดนเซียนอีกครั้ง”
สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นตะโกนขึ้นมา “ยังต้องกลับไปที่แดนเซียนอีกหรือ เหตุใดไม่อยู่ที่นี่ตลอดไปเล่า!”
ไก่คุกรัตติกาลฟาดปีกใส่มันคราหนึ่ง ร้องด่า “ความประสงค์ของนายท่าน เจ้าก็กล้าโต้แย้งหรือ”
ส่วนคนอื่นๆ ตาลุกวาวขึ้นมาแล้ว
มิใช่ทุกคนที่ต้องการปลีกวิเวกจากทางโลกไปตลอด
ที่ฝึกฝนบำเพ็ญบางครั้งก็เพียงเพื่อให้เหนือกว่าผู้อื่นเท่านั้น
“ก่อนที่มหาเคราะห์ครั้งนี้จะสิ้นสุดลง ข้าหวังว่าพวกเจ้าทั้งหมดจะบรรลุระดับจักรพรรดิ ทำได้หรือไม่” หานเจวี๋ยเอ่ยถาม
จักรพรรดิเซียนทั้งสำนัก!
เป้าหมายเช่นนี้ทุกคนฟังแล้วใจเต้นแรงขึ้นมา
ต่อให้เป็นกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่ในแดนเซียน ก็ยังมีจักรพรรดิเซียนอยู่ไม่มาก
“ทำได้แน่นอน!”
หลี่ว์ฮว่าซวีกล่าวอย่างฮึกเหิม คนอื่นๆ ก็พากันตอบรับด้วย
จอมปีศาจคุกรัตติกาล จินกังนู่และเจียงอี้มองหน้ากัน ทุกคนล้วนตกตะลึงอยู่ในใจ
พวกเขารับรู้ถึงความทะเยอทะยานของหานเจวี๋ยได้
หรือหานเจวี๋ยกำลังวางแผนสำหรับมหาเคราะห์ครั้งต่อไป
เป็นไปได้สูง!
เช่นนี้มิใช่การเดินตามรอยวังเทพเมื่อครั้งอดีตหรอกหรือ
วังเทพก็ผงาดขึ้นมาหลังมหาเคราะห์สิ้นสุดลงเช่นกัน ฉวยโอกาสที่ใต้หล้าวุ่นวาย ยังไม่ได้จัดระเบียบวางลำดับ เผยตัวออกมาในทันใด เก็บเกี่ยวบุตรแห่งสวรรค์ไป รุ่งเรืองขึ้นมาทีละขั้นๆ
หานเจวี๋ยยิ้มด้วยความพอใจ จากนั้นหันหลังกลับเข้าสู่ถ้ำเทวาฟ้าประทาน
ดวงจิตประหลาดโผตามเขามา
หานเจวี๋ยโบกมือ สื่อว่าให้มันไสหัวไปไกลๆ หน่อย
ดวงจิตประหลาดคล้ายจะร้อนรนยิ่ง เกาะแกะหานเจวี๋ยไม่หยุด
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว ตรวจหาศัตรูทรงพลังรอบๆ อาณาเขตเต๋าทันที
ไม่มีศัตรูที่ทรงพลังคนใดเลย
เช่นนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ในเวลานี้ ดวงจิตประหลาดพลันมุดเข้าไปในร่างของหานเจวี๋ย ความทรงจำมหาศาลหลั่งไหลเข้าสู่สมองของหานเจวี๋ยทันที
ความทรงจำกว้างไกลไร้ขอบเขต ยาวนานอย่างยิ่ง
ที่นั่นว่างเปล่า อวลไอหมอก พายุโหมกระโชก ทั้งหมดมาจากทิศทางเดียวกัน ในมุมมองของหานเจวี๋ย เมฆหมอกแยกเปิด เขามองเห็นเงาร่างสูงใหญ่มหึมา ใหญ่โตกว่าไท่กู่หยวนเฟิ่งที่เขาเคยพบก่อนหน้านี้
ขนาดเซียนทองต้าหลัวอย่างหานเจวี๋ยเมื่อได้เห็นเงาร่างนี้ ก็สั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
สูงใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด!
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด หานเจวี๋ยนึกถึงผานกู่เบิกฟ้าในตำนานเทพของจีนขึ้นมาอย่างน่าประหลาด!
มหายักษ์ผานกู่งั้นหรือ
เหตุใดดวงจิตประหลาดถึงอยากให้เขาเห็นความทรงจำนี้
เวลานี้จู่ๆ หานเจวี๋ยก็สัมผัสได้ว่ามีสายตาที่น่าหวาดหวั่นมองมาที่ตน ถึงแม้เขาจะมองไม่เห็นสายตาคู่นั้น ทว่าก็รับรู้ถึงแรงกดดันได้ นั่นเป็นแรงกดดันขนาดที่ทำให้วิญญาณสั่นสะท้านได้
………………………………………………………………