บทที่ 49 ความกังวลของเจ้าลัทธิ
ณ ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ
ภายในตำหนักของเจ้าลัทธิ
ผู้อาวุโสหลายท่านยืนเรียงราย แต่ละคนมีท่วงท่าไม่ธรรมดา สวมอาภรณ์สีดำทั้งชุด ดูราวกับปีศาจร้าย
ด้านหน้าของพวกเขา คือชายผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทองคำ
ชายผู้นี้สวมอาภรณ์สีขาว ผมยาวสยาย ผิวขาวเกลี้ยงเกลา ทว่าใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา เฒ่าชราอย่างเห็นได้ชัด
เขาคือหวงจุนเทียน เจ้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ!
หวงจุนเทียนขมวดคิ้ว เอ่ยปากขึ้น “สำนักกระบี่วิหคชาดต้องการปะทะกับพวกเราจริงหรือ”
เหล่าผู้อาวุโสรีบเอ่ยตอบ
“ไม่ผิด! รนหาที่ตายยิ่งนัก!”
“เสนอให้ฆ่าหวงจี๋เฮ่าเสีย ทำให้พวกมันรู้สึกกลัวเสียบ้าง!”
“หวงจี๋เฮ่าปากเหม็นนั่น ข้าเองก็คิดว่าฆ่าเขาเสียก็ดี สำนักกระบี่วิหคชาดเพียงแค่ต้องการช่วยเขาเท่านั้น”
“สำนักกระบี่วิหคชาดก็มีระดับเปลี่ยนวิญญาณเพียงสองคน สำนักหยกพิสุทธิ์ก็มีเพียงสอง หนึ่งในนั้นมีผู้หนึ่งไม่กล้ามา กำลังเพียงเท่านี้ให้พวกเขาโจมตีสักร้อยปี ก็ไม่อาจโจมตีเข้ามาในพื้นที่ของเราได้!”
“ใช่ๆ!”
……
ฟังวาจาของผู้อาวุโสเหล่านี้ หัวคิ้วของหวงจุนเทียนกลับไม่ได้ผ่อนคลายลง
เขาเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ “พวกเขาไม่กลัวเกรงเช่นนี้ หรือจะมีอิทธิพลใดหนุนอยู่เบื้องหลัง?”
ผู้อาวุโสรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งกล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้ “ท่านเจ้าลัทธิ! ท่านคิดมากเกินไปแล้ว พวกเราคือลัทธิที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนบำเพ็ญพรตต้าเยี่ยน! อย่าได้เป็นกังวลจนเกินไป มีความเชื่อมั่นหน่อยได้หรือไม่?”
หลังจากศึกใหญ่เมื่อพันปีก่อน หวงจุนเทียนก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ว่าเรื่องใดเขาก็มักจะคิดถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเสมอ
เนื่องจากนิสัยของเขาแปรเปลี่ยน ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณถึงต้องซ่อนตัวถึงพันปี
ยามนี้ลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณกลับมาแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง เหล่าผู้อาวุโสจึงบีบให้หวงจุนเทียนมีคำสั่ง รวบรวมแดนบำเพ็ญพรตต้าเยี่ยนเป็นหนึ่ง
ทว่าหวงจุนเทียนระแวดระวังเกินไป พูดได้แม้กระทั่งว่าขลาดกลัว ทำให้แผนเอกภาพต้องยืดเยื้อออกไป
หากหวงจุนเทียนมีคำสั่ง ศิษย์สำนักฝ่ายต่างๆ ที่ถูกจับมาเป็นเชลยเหล่านั้นคงตายไปเสียนานแล้ว
“ข้าขอเสนอ ให้ผู้อาวุโสสองท่านจากแต่ละพรรคไปโจมตีสำนักกระบี่วิหคชาดและสำนักหยกพิสุทธิ์ สำนักของพวกเขาจะต้องขาดกำลังต่อสู้อย่างแน่แท้ นี่เป็นโอกาสที่ดี” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งเสนอขึ้น
วาจาของเขาได้รับความเห็นพ้องต้องกันจากผู้อาวุโสท่านอื่นๆ
นี่เป็นโอกาสที่ดีจริงๆ!
หวงจุนเทียนขมวดคิ้ว ไม่ได้เอ่ยวาจาใด
สุดท้าย บรรดาผู้อาวุโสต่างก็มองไปที่เขา รอเขาตัดสินใจ
หวงจุนเทียนเอ่ยถามอย่างลังเล “จำเป็นต้องรบหรือ”
“จำเป็นต้องรบ!”
“เอาเถิด ถ้าอเช่นนั้นข้าจะลงมือเอง ข้าไม่วางใจพวกเจ้า ข้าจะไปที่สำนักกระบี่วิหคชาดและสำนักหยกพิสุทธิ์เอง เช่นนี้เป็นอย่างไร”
“เจ้าลัทธิปรีชา!”
เหล่าผู้อาวุโสกล่าวด้วยรอยยิ้ม ทว่ารอยยิ้มของพวกเขาล้วนดูฝืดฝืน
หากเจ้าลัทธิไป คาดว่าคงต้องยืดเวลาออกไปอีก
……
หลายเดือนผ่านไป
หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญวิชาวัฏจักรหกวิถีขั้นห้าสำเร็จ เขาเข้าใจถึงพลังวิเศษอันใหม่แล้ว
หรือกล่าวให้ถูกต้องก็คือความก้าวหน้าของพลังดูดวิญญาณหกสาย
เขาสามารถดูดวิญญาณไว้ในส่วนลึกของจิตดั้งเดิม วิธีนี้ทั้งสามารถปกป้องวิญญาณ และยังสามารถกักขังวิญญาณได้
นอกจากนี้ เขายังสามารถสร้างตราประทับหกวิถีไว้บนวิญญาณได้
ตราประทับหกวิถีจะคงอยู่ตลอดไป ไม่ว่าฝ่ายอีกฝ่ายจะกลับชาติมาเกิดอีกกี่ครั้ง ตราประทับหกวิถีก็จะยังคงอยู่ เท่ากับว่าสามารถข้ามวัฏจักรไปหาอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำ
สิ่งนี้นับว่าไม่เลว
หากภายภาคหน้าคนที่เขาใส่ใจสิ้นชีวา เขาก็สามารถสร้างตราประทับหกวิถี พบพานกันใหม่ในภพหน้าได้
ระดับขั้นยิ่งสูง หานเจวี๋ยยิ่งค้นพบว่าพลังวิญญาณหกสายยิ่งร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆ
เขาหยิบโอสถออกมาแล้วทำการฝึกบำเพ็ญต่อ
ระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นหนึ่งยังไม่พอ!
เขาต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้!
เป้าหมายต่อไป ระดับสุญตา
หานเจวี๋ยไม่เห็นเรื่องของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณอยู่ในสายตาอีกแล้ว ที่เขากังวลคือสำนักมารปีศาจ
เขายังไม่ลืมเซียวเอ้อร์ รูปของเจ้าหมอนี่ยังแปะในค่าความสัมพันธ์ไม่ได้หายไปไหน ยังคงอัปลักษณ์เช่นเดิม ระดับความอาฆาตแค้นยังคงสูง ไม่ตายไม่เลิกรา
ที่สำคัญคือเซียวเอ้อร์ผู้นี้ยังไม่ใช่เจ้าสำนัก นี่ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
กำลังที่แท้จริงของสำนักมารปีศาจแข็งแกร่งเพียงใดกัน?
ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังกลัดกลุ้มอยู่นั้น ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ก็มาเยี่ยมเยียน
กล่าวให้ถูกต้องก็คือเซียนซีเสวียนให้มาเชิญเขา
เป็นการยากนักที่เซียนซีเสวียนจะเชื้อเชิญ เขาย่อมต้องไว้หน้าเป็นธรรมดา
เขารีบไปทันที
พอมาถึงตำหนักหยกวิเวก ศิษย์ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ที่นั่น ศิษย์เอกหลิ่วซานซินได้สำเร็จการฝึกบำเพ็ญไปเป็นศิษย์แกนหลักแล้ว ศิษย์เอกในตอนนี้คือเมิ่งเหอที่เป็นศิษย์พี่เจ็ดในตอนนั้น
เมิ่งเหอได้พบเจอกับหานเจวี๋ยอีกครั้ง ยังคงมีความรู้สึกประดักประเดิดอยู่บ้าง ทว่าก็คารวะอย่างนอบน้อม
ภายใต้คำสั่งของเขา ศิษย์คนอื่นๆ พากันคารวะ
บรรดาศิษย์ทั้งหลายรู้สึกงุนงง แต่ไม่นานก็สามารถคาดเดาได้
มีข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ ว่าผู้อาวุโสสังหารเทพมาจากยอดเขาหยกวิเวก รูปงามเป็นยิ่งนัก เป็นหนึ่งไม่มีสอง
หรือจะเป็นคนผู้นี้?
เมื่อลอบสังเกตดู พวกเขาก็ต้องตกตะลึงกับใบหน้าอันหล่อเหลาของหานเจวี๋ยอย่างอดไม่ได้
ช่างเป็นบุรุษที่รูปงามนัก!
เป็นเขาไม่ผิดแน่!
สายตาของศิษย์ทั้งหลายที่มองดูหานเจวี๋ยก็เต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใส
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ยืนอยู่ตรงหน้าหานเจวี๋ย รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก ทั้งยังจงใจจะคล้องแขนหานเจวี๋ย แต่กลับถูกหานเจวี๋ยเบี่ยงหลบอย่างแนบเนียน
เมิ่งเหอกำชับศิษย์ทั้งหลายไม่ให้เปิดเผยสถานะของหานเจวี๋ย บรรดาศิษย์ต่างก็พากันรับคำ
ไม่นานเซียนซีเสวียนก็มาถึง เหล่าลูกศิษย์นั่งลง
หานเจวี๋ยยังคงนั่งอยู่หลังสุด
“ผู้อาวุโสหาน มานั่งข้างๆ ข้า”
เซียนซีเสวียนเอ่ยปากกล่าว ครั้นโบกมือขวา เบาะกลมๆ ก็ปรากฏด้านข้าง
หานเจวี๋ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังเดินเข้าไป
เมื่อนั่งลงข้างเซียนซีเสวียน เขาก็รู้สึกงุนงงในใจ
อาจารย์คิดจะทำอะไร
หรือจะมอบตำแหน่งให้ข้า?
นั่นไม่ได้เด็ดขาด!
ดูแลยอดเขาหยกวิเวกมันยุ่งยากเกินไป!
หานเจวี๋ยคิดด้วยความกังวล
“เจ้าสำนักส่งข่าวกลับมาแล้ว กล่าวว่าพวกเขาร่วมมือกับสำนักกระบี่วิหคชาด กำลังโจมตีลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ บรรดาศิษย์ที่ถูกคุมขังก็ช่วยออกมาเรียบร้อย แต่ท่านกังวลว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณจะมาโจมตีที่สำนักเรา เพราะผู้แข็งแกร่งระดับเปลี่ยนวิญญาณที่พวกเขาพบเจอมีเพียงห้าคน อีกห้าคนจะต้องถูกมอบหมายให้ทำงานอื่นแน่ ช่วงเวลานี้ข้าปรารถนาให้ทุกคนไม่ปิดด่านฝึกบำเพ็ญ ช่วยลาดตะเวนสำนักหยกพิสุทธิ์ทั้งฝ่ายในและฝ่ายนอก”
เซียนซีเสวียนกล่าวด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
“ในบรรดาศิษย์ของยอดเขาทั้งสิบแปด มีเพียงยอดเขาหยกวิเวกของเราออกแรงน้อยสุด นอกจากคนของเราจะมีน้อยแล้ว ยังเป็นเพราะว่าเจ้าสำนักเอ็นดูพวกเรา เข้าใจหรือไม่”
น้ำเสียงของนางเบายิ่งนัก แต่กลับทำให้ศิษย์ทั้งหมดรับรู้ถึงพลัง
ทุกคนฮึกเหิมขึ้นมาทันที!
มุมานะฝึกบำเพ็ญมาหลายปี ได้เวลาชักกระบี่แล้ว!
หานเจวี๋ยพยักหน้าลงเล็กน้อย เขาไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนกับบรรดาศิษย์เหล่านั้น
เซียนซีเสวียนเหลือบมองหานเจวี๋ย เอ่ย “ผู้อาวุโสหาน ท่านมีความเชื่อมั่นในการรับมือกับผู้แข็งแกร่งระดับเปลี่ยนวิญญาณของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณหรือไม่”
เหล่าศิษย์เงียบเสียงลงไปตามๆ กัน ทั้งหมดต่างจ้องมองหานเจวี๋ยอย่างคาดหวัง
สำหรับบรรดาศิษย์แล้ว พวกเขายังห่างไกลจากระดับเปลี่ยนวิญญาณมากนัก
หากให้พวกเขาไปต่อกรกับระดับเปลี่ยนวิญญาณจริงๆ เช่นนั้นก็ไม่เท่ากับส่งตนเองไปตายหรอกหรือ?
ต่อให้จะเป็นเซียนซีเสวียนที่เป็นอาจารย์ของพวกเขาก็เป็นไปไม่ได้!
หานเจวี๋ยเห็นสีหน้าของบรรดาศิษย์ ในที่สุดก็เข้าใจสาเหตุที่เซียนซีเสวียนเรียกเขามา
ที่แท้ก็มาเป็นยาสร้างความมั่นใจนั่นเอง
เฮ้อ ข้าเพียงอยากฝึกบำเพ็ญอย่างเงียบๆ แต่สำนักกลับถูกโจมตีตลอด
คิดแล้วหานเจวี๋ยก็เอ่ยปากกล่าว “รับมือกับระดับเปลี่ยนวิญญาณ ข้ายังพอมีประสบการณ์อยู่บ้าง”
เขากล่าวอย่างถ่อมตัวยิ่งนัก ทว่าพอเข้าของบรรดาศิษย์กลับเป็นวาจาที่องอาจมาก!
ผู้อาวุโสตรงหน้าผู้นี้ก็เคยสังหารระดับเปลี่ยนวิญญาณมาก่อน!
กล่าวกันว่ายังสังหารได้ภายในกระบี่เดียว!
เหล่าศิษย์พากันเปล่งเสียงร้องด้วยความดีใจ สีหน้าที่ดูเคารพเลื่อมใสผ่อนคลายลง
“เอาละ พวกเจ้าไปเตรียมตัวเถอะ เรื่องนี้ให้ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าเป็นผู้จัดการ นอกจากนี้เรื่องเกี่ยวกับสถานะของผู้อาวุโสสังหารเทพ พวกเจ้าอย่าได้แพร่งพรายออกไป เรื่องนี้มีเพียงยอดเขาหยกวิเวกที่รู้”
เซียนซีเสวียนเอ่ยกำชับ เหล่าศิษย์จึงพากันคารวะแล้วถอยออกไป
ไม่นาน ตำหนักหยกวิเวกก็เหลือเพียงหานเจวี๋ยและเซียนซีเสวียน
เซียนซีเสวียนเอียงหน้ามองหานเจวี๋ย เอ่ยถามขึ้นเสียงเบา “ถึงขั้นใดแล้ว”
หานเจวี๋ยนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยถามอย่างงุนงง “ขั้นอะไรหรือ”
“ตบะ”
“อ้อ ขั้นหนึ่ง”
“เหตุใดถึงแค่ขั้นหนึ่ง?”
เซียนซีเสวียนขมวดคิ้ว ปิดด่านฝึกบำเพ็ญมานานหลายปีเพียงนี้ ด้วยคุณสมบัติของหานเจวี๋ยก็ยังไม่อาจก้าวหน้าได้อีกหรือ?
หานเจวี๋ยแสร้งกระแอมไอก่อนกล่าว “ระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นหนึ่ง”
หลี่ชิงจื่อไม่ได้บอกกับนางหรือว่าเขาจะทะลวงระดับ?
เซียนซีเสวียนตะลึงงัน
……………………………………….