ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ – บทที่ 604 ทะลวงระดับสู่เบิกฟ้าเสรี ศิลาก่อวิญญาณ

บทที่ 604 ทะลวงระดับสู่เบิกฟ้าเสรี ศิลาก่อวิญญาณ

เวลาผ่านไปกว่าสามพันปี

ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ผสานรวมกับมหามรรคต้นกำเนิดอย่างสมบูรณ์แล้ว สังขารและวิญญาณเกิดความเปลี่ยนแปลง

ตบะของเขาบรรลุถึงขีดจำกัด สัมผัสถึงด่านแห่งระดับอริยะเสรีแล้ว ขอเพียงทะลวงได้ เขาก็จะทะลวงระดับสำเร็จ!

หานเจวี๋ยย่อมไม่มีทางหยุดกลางคัน เขาต้องการทะลวงระดับให้ได้ในคราวเดียว!

ในส่วนลึกของเขตฟ้าบุพกาล แสงสว่างของมหามรรคต้นกำเนิดดับมืดลง ความมืดเข้ากลืนกินแสงสว่าง จนกระทั่งทุกสิ่งตกอยู่ในความมืดมิดอย่างสิ้นเชิง

มหาต้นกำเนิดแทรกซึมเข้าสู่ร่างของหานเจวี๋ยหมดแล้ว

หานเจวี๋ยควบคุมเกาะสำนักซ่อนเร้นย้ายที่ก่อน ออกห่างจากที่เดิม

จากนั้น เขาเริ่มทะลวงระดับ

มหามรรคต้นกำเนิดเลือนหายไปยังไม่ถึงยี่สิบลมหายใจ เงาร่างมากมายก็ปรากฏขึ้นในตำแหน่งเดิมของมหามรรคต้นกำเนิด

“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจู่ๆ มหามรรคนี้ก็หายไป”

“ทำนายไม่ได้เลย”

“ผู้ใดลงมือ”

“ไม่น่าจะใช่ ก่อนหน้านี้ตอนที่มหามรรคยังอยู่ พวกเราล้วนไม่สามารถพาตัวเขาไปได้ หรือว่าจะมีตัวตนที่ทรงพลังยิ่งกว่าปรากฏตัวขึ้น”

“ได้ยินว่ามีร่างจำลองของบรรพชนเต๋าปรากฏตัวขึ้นในแดนเซียน หรือว่าจะเป็นฝีมือบรรพชนเต๋า”

“หากเป็นบรรพชนเต๋าจริงๆ เช่นนั้นก็ยุ่งแล้ว”

ผู้ทรงพลังลึกลับเหล่านั้นพูดคุยหารือกัน น้ำเสียงตึงเครียด

หานเจวี๋ยมีระบบป้องกันของอาณาเขตเต๋า ย่อมไม่กลัวจะถูกพวกเขาทำนายพบ เว้นแต่พวกเขาจะมีระดับเหนือกว่าผู้สร้างมรรคา

….

หลายร้อยปีผ่านไป

ในที่สุดหานเจวี๋ยก็บรรลุถึงระดับอริยะเสรีโดยพึ่งพาการผสานรวมกับมหามรรคต้นกำเนิด

ร่างกายเขาเกิดการวิวัฒนาการ พลังเวทเกิดความเปลี่ยนแปลง วิญญาณก็เกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

ท่ามกลางความมืดมัว เขามองเห็นแสงรุ้งเจ็ดสีสายหนึ่งก่อตัวเป็นสะพาน ปลายสะพานยืดยาวออกไป มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด

บนสะพานรุ้งเจ็ดสีมีเงาร่างมากมายยืนอยู่ คนเหล่านั้นคือผู้บำเพ็ญมหามรรคต้นกำเนิดทั้งสิ้นพวกเขามุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน เช่นเดียวกับเงาร่างของผู้บำเพ็ญบนแม่น้ำมรรคกระบี่

มิใช่เพียงเท่านี้ หานเจวี๋ยมองเห็นทั่วทั้งเขตฟ้าบุพกาล มองเห็นอดีตชาติและชีวิตปัจจุบันของตน ขอบเขตการมองเห็นเพิ่มขึ้นจนละเอียดอย่างยิ่ง ยากจะหาถ้อยคำมาบรรยายได้

ผ่านไปเนิ่นนาน

จิตรับรู้ของหานเจวี๋ยถึงได้ตื่นรู้จากสภาวะการทะลวงระดับ

เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น เบื้องหน้าปรากฏข้อความสามแถว

[ตรวจสอบพบว่าท่านสำเร็จสู่เสรีแล้ว ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]

[หนึ่ง เผยแพร่มรรคไปทั่วเขตฟ้าบุพกาล ถ่ายทอดมหามรรคต้นกำเนิด ให้มหามรรคต้นกำเนิดกลายเป็นอันดับหนึ่งเหนือมหามรรคสามพันบท จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น หินวิญญาณมรรคาสวรรค์หนึ่งก้อน องครักษ์ระดับอริยะมรรคาสวรรค์หนึ่งราย]

[สอง เก็บตัวบำเพ็ญ รักษาเจตจำนงเดิม จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น องครักษ์ระดับอริยะมรรคาสวรรค์หนึ่งราย ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน]

หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว

ศิลาก่อวิญญาณคืออะไร

เขาใคร่ครวญดู ยังคงเลือกตัวเลือกที่สอง หลังผ่านประสบการณ์ในส่วนลึกของเขตฟ้าบุพกาลมาแล้ว เขารู้สึกว่าอริยะเสรีก็ไม่นับว่าแข็งแกร่งนัก เขตฟ้าบุพกาลชั้นต้นคงซุกซ่อนตัวตนอันแข็งแกร่งมากมายิ่งกว่านี้

[ท่านเลือกเก็บตัวบำเพ็ญ ได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น องครักษ์ระดับอริยะมรรคาสวรรค์หนึ่งราย ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน]

[องครักษ์ระดับอริยะมรรคาสวรรค์: สามารถคัดลอกผู้ทรงพลังระดับอริยะมรรคาสวรรค์จากแบบจำลองการทดสอบมาเป็นองครักษ์ได้หนึ่งราย ผู้เป็นองครักษ์จะซื่อสัตย์ภักดีต่อท่าน ไม่สามารถออกจากอาณาเขตเต๋าเกินครึ่งชั่วยามได้ มิฉะนั้นจะละลายหายไปทันที]

[ศิลาก่อวิญญาณ: สามารถเปลี่ยนสิ่งใดๆ ก็ตามให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตได้ในระยะเวลาที่กำหนด สิ่งมีชีวิตที่สรรค์สร้างขึ้นจะซื่อสัตย์ภักดีต่อท่าน ท่านสามารถควบคุมความเป็นความตายผ่านศิลาก่อวิญญาณได้]

หืม?

เมื่อเห็นศิลาก่อวิญญาณ สิ่งแรกที่หานเจวี๋ยนึกถึงคือปราณเทพมาร

เขากำลังกลุ้มอยู่เลยว่าจะไม่สามารถก่อกำเนิดเทพมารฟ้าบุพกาลได้ ไม่คิดเลยว่าระบบจะส่งศิลาก่อวิญญาณมาให้

ถ้ากลับไปแล้วต้องทดลองดู หากว่าใช้การได้ ในอนาคตศิลาก่อวิญญาณจะกลายเป็นสิ่งที่เขาปรารถนาที่สุด

หานเจวี๋ยเรียกหน้าต่างค่าสถานะออกมาตรวจสอบ

[ชื่อ: หานเจวี๋ย]

[อายุ: 126455/1, 002, 999, 999, 999, 999, 999, 999, 999, 999]

[เผ่าพันธุ์: เทพมารอนธการ (มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต)]

[ตบะ: ระดับเบิกฟ้าเสรีระยะต้น (อริยะสมบูรณ์แบบ)]

[วิชายุทธ์: มหามรรควัฏจักรอนธการ (ระดับมหามรรค) วิชาชุบร่างวัฏจักรดารา]

[มหามรรค: มหามรรคเวียนว่ายตายเกิด มหามรรคแห่งกรรม มหามรรคต้นกำเนิด]

….

อายุขัยเพิ่มขึ้นนับร้อยเท่า เยี่ยมไปเลย!

หานเจวี๋ยอารมณ์ดียิ่ง

เขาเข้าฝันจักรพรรดิเซียนวัฏจักรทันที ให้จักรพรรดิเซียนวัฏจักรใช้วิชาอัญเชิญเทพเรียกตัวเขา

แม้จักรพรรดิเซียนวัฏจักรจะรู้สึกฉงน แต่ก็ยังคงปฏิบัติตาม

หานเจวี๋ยกระโดดออกจากเกาะสำนักซ่อนเร้น เก็บเกาะสำนักซ่อนเร้นไว้ในแขนเสื้อ จากนั้นก็หันหลังมุดเข้าสู่คลื่นวนสีดำที่ปรากฏขึ้นด้านหลัง

อุโมงค์กาลเวลาของวิชาอัญเชิญเทพจะติดตามหานเจวี๋ยไปด้วย จนกว่าผู้อัญเชิญจะสลายพลังวิเศษ

เมื่อทะลุผ่านคลื่นวนสีดำ หานเจวี๋ยมาโผล่ในตำหนักหลังใหญ่ของจักรพรรดิเซียนวัฏจักร

เขาหันกลับไปมอง คลื่นวนสีดำยังคงอยู่

หานเจวี๋ยมองจักรพรรดิเซียนวัฏจักร เอ่ยขึ้นว่า “สลายวิชาอัญเชิญเทพ”

จักรพรรดิเซียนวัฏจักรปฏิบัติตามทันที

คลื่นวนสีดำหดตัว ในขณะที่มันกำลังจะเลือนหายไป กลิ่นอายน่าหวาดผวาสุดขีดสายหนึ่งพลันโชยออกมา

สีหน้าหานเจวี๋ยพลันแปรเปลี่ยนไปโดนสิ้นเชิง

กลิ่นอายนี้…

เทพบุพกาล!

ดวงจิตมหามรรค!

โชคดีที่คลื่นวนสีดำปิดตัวลงพอดี กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นสายนั้นจึงเลือนหายไปด้วย

จักรพรรดิเซียนวัฏจักรตื่นตระหนก ถามด้วยความหวาดผวา “กลิ่นอายเมื่อครู่นี้…”

เขาไม่เคยสัมผัสถึงกลิ่นอายที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน ต่อให้ไปสดับธรรมในอาณาเขตเต๋าของอริยะ กลิ่นอายอันทรงอำนาจของอริยะก็ยังห่างไกลจากระดับนี้

ในชั่วพริบตานั้น จักรพรรดิเซียนวัฏจักรรู้สึกเหมือนตนได้สิ้นชีพไปแล้ว

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ไม่มีอะไร อย่านึกถึง มิเช่นนั้นอีกฝ่ายจะระลึกถึงเจ้าได้”

ประสาทสัมผัสของดวงจิตมหามรรคเฉียบไวจนน่ากลัว คาดว่าถ้ามีคนคิดถึงเขา เขาจะสามารถรับรู้ได้

จักรพรรดิเซียนวัฏจักรสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ค่อยๆ พยักหน้ารับ

หานเจวี๋ยสัมผัสได้ว่ามรรคาสวรรค์น้อยของแดนเซียนพิภพกำลังต่อต้านเขา แต่พลังการต่อต้านนี้ช่างอ่อนแอนัก

หากเขารั้งอยู่นานไป แดนเซียนพิภพต้องพังทลายลงเป็นแน่

หานเจวี๋ยเอ่ยทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งแล้วหายตัวไป “ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าฝึกบำเพ็ญต่อเถอะ”

หานเจวี๋ยกระโจนไปโผล่ในส่วนลึกของดวงอาทิตย์ ซ่อนเกาะสำนักซ่อนเร้นเอาไว้ในส่วนลึก จากนั้นเขาก็กระโดดเข้าสู่เกาะสำนักซ่อนเร้น

หานเจวี๋ยตัดสินใจว่าจะจัดวางองครักษ์คนใหม่ไว้ในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง เขาเริ่มทำการคัดลอกหลี่มู่อี

หลังจากเทพสูงสุดอู๋ฝ่าถูกสยบทาสก็ฟื้นฟูกลับสู่ระดับอริยะเสรีแล้ว ไม่นับว่าอยู่ในขอบเขตอริยะมรรคาสวรรค์แล้ว

เริ่มการคัดลอก

หานเจวี๋ยเคลื่อนย้ายกลับไปยังเขตเซียนร้อยคีรี

เขานั่งบนบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร พ่นลมหายใจออกมา

ในที่สุดก็เรียบร้อยแล้ว

อันตรายเกินไปแล้วจริงๆ!

เขาไม่อยากเสี่ยงภัยอันตรายเช่นนี้อีกแล้ว

[เทพบุพกาลเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 1 ดาว]

ไอ้ตัวสุนัข!

คิดจะสังหารข้าหรือ!

หานเจวี๋ยมองแจ้งเตือนตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะก่นด่าอยู่ในใจ

จู่ๆ ก็เกิดความเกลียดชังในตัวเขาอย่างไร้เหตุผล ดีมาก หนังสือแห่งความโชคร้ายฝุ่นจับแล้ว สมควรใช้งานสักที

หานเจวี๋ยปรับอารมณ์ ตรวจดูจดหมาย

ไม่ได้ตรวจดูจดหมายมานานเหลือเกิน

จดหมายแต่ละฉบับปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหานเจวี๋ย เขาขมวดคิ้วทันที

[หานทั่วบุตรชายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[หานทั่วบุตรชายของท่านเผชิญกับการทำลายล้างจากพลังแห่งความมืด วิญญาณได้รับความเสียหาย]

[หานทั่วบุตรชายของท่านเผชิญกับการเทศนาธรรมจากผู้ทรงพลังลึกลับ มรรคจิตได้รับความเสียหาย]

เขาเงยหน้าทอดสายตามองออกไป พบว่าหานทั่วไม่ได้อยู่ในแดนเซียน

เขานับนิ้วทำนาย สีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เขาทำนายไม่ได้ว่าหานทั่วอยู่ที่ไหน

‘ข้าอยากรู้ว่าหานทั่วอยู่ที่ใด’ หานเจวี๋ยใช้ระบบวิวัฒนาการทันที

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

หานเจวี๋ยอยากเห็นว่าเป็นผู้ใดที่จับตัวลูกชายเขาไป

ทันใดนั้น หานเจวี๋ยเข้าสู่ภาพลวงตาวิวัฒนาการ

เมื่อลืมตาขึ้น เขาพบว่าตัวเองมาโผล่ในคุกขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ในคุกขังสิ่งมีชีวิตหลายสิบชีวิตเอาไว้ สิ่งมีชีวิตที่รูปร่างใหญ่โตคล้ายภูเขาลูกหนึ่งนั่งพิงกำแพงอยู่ หานทั่วและอี๋เทียนนั่งอยู่ด้วยกันที่มุมหนึ่งในสภาพอิดโรย

………………………………………………………………

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
Score 9.8
Status: Ongoing
อ่านระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะเนื่องจากชาติก่อนเป็นโรครักษาไม่หาย ตายก่อนวัยอันควร เมื่อได้กลับมาเกิดใหม่ในแดนบำเพ็ญเซียน เขาจึงมีเป้าหมายเดียว... ชีวิตอมตะ! หานเจวี๋ยพบว่าตนเองมีระบบของเกมวิถีชีวิตอยู่กับตัว หลังจากใช้เวลากว่าสิบเอ็ดปี ในที่สุดก็สุ่มได้ดวงชะตาและรากวิญญาณชั้นเลิศจากระบบ ทำให้เขาสามารถเข้าสู่วิถีแห่งการบำเพ็ญเซียนได้อย่างมั่นใจ เพื่อเป้าหมายการมีชีวิตเป็นอมตะ เขาตัดสินใจฝึกฝนเงียบๆ เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ให้เป็นจุดสนใจ กระทั่งพันปีต่อมา แดนบำเพ็ญเซียนเปลี่ยนไปยุคแล้วยุคเล่า เมื่อเทพเซียนจะชำระล้างโลกมนุษย์ หานเจวี๋ยไม่อาจไม่ลงมือ ยามนั้นเขาจึงเพิ่งค้นพบว่า... เทพเซียนมันก็แค่นี้เอง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset