บทที่ 640 เทพมารต้องสาป กฎเกณฑ์เหนือธรรมชาติ
“เทพบิดาบอกเจ้าว่าอย่างไร” เทพสูงสุดหนานจี๋ถามอย่างระมัดระวัง
จอมอริยะเสวียนตูก็จ้องจักรพรรดินีผืนพิภพเขม็งเช่นกัน
สีหน้าจักรพรรดินีผืนพิภพซับซ้อน เอ่ยเบาๆ ว่า “เขาบอกว่า มหาเคราะห์ฟ้าบุพกาลจะหวนกลับมาอีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นจะกลายเป็นยุคสมัยแห่งเทพมารสามพันตนที่น่ากลัวยิ่งกว่ายุคของเขา”
ตำหนักเอกภพพลันเงียบสงัดลง
ยุคสมัยแห่งเทพมารฟ้าบุพกาลสามพันตน!
ฟ้าบุพกาลในยามนี้ยังคงมีเทพมารฟ้าบุพกาลอยู่ เทพมารฟ้าบุพกาลเหล่านี้มิใช่ตัวตนที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์สามพันวิถีไร้ข้อผูกมัดเหล่านั้น
แต่เทพมารฟ้าบุพกาลมีจำนวนเพียงไม่กี่สิบตนเท่านั้น ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่เหลือรอดมาจากยุคเทพมารฟ้าบุพกาล
ความหมายของจักรพรรดินีผืนพิภพคือเทพมารฟ้าบุพกาลเหล่านี้จะก่อให้เกิดมหาเคราะห์ฟ้าบุพกาลขึ้นหรือ
มหาเคราะห์ฟ้าบุพกาล…
มหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่!
เหล่าอริยชนนึกถึงคำพูดที่บรรพชนเต๋าทิ้งไว้ก่อนหน้านี้ อกสั่นขวัญแขวนกว่าเดิม
ความสามารถของพวกเขาใช้ปกป้องมรรคาสวรรค์ได้เท่านั้น หากมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ถาโถมใส่มรรคาสวรรค์ พวกเขาจะต้านทานได้อย่างไร
“ข้าต้องการแผ่นหยกนำโชค ผู้อาวุโสทุกท่านโปรดช่วยเสาะหาให้ข้าโดยเร็วด้วยเถิด!” จู่ๆ ฟางเหลียงก็เอ่ยขึ้นมา
เขามีสีหน้าตึงเครียด
แผ่นหยกนำโชค เป็นยอดสมบัติที่บรรพชนเต๋าใช้พิสูจน์มรรค เทียบได้กับขวานเบิกฟ้าของเทพยักษาผานกู่!
เทพสูงสุดหนานจี๋ถาม “มีประโยชน์อย่างไรเล่า”
ฟางเหลียงเอ่ยเสียงขรึม “ทำให้มรรคาสวรรค์ทะลวงระดับได้ ขยายขอบเขตมรรคาสวรรค์ กลืนกินฟ้าบุพกาล ป้องกันมหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ได้ ยามที่บรรพชนเต๋าเลือกข้า เคยเอ่ยถึงแดนบรรพกาลไว้ เขาบอกว่าภายในแดนบรรพกาลซุกซ่อนพลังอันน่าพรั่นพรึงสุดขีดอย่างหนึ่งไว้ เหตุผลที่เขาหายตัวไป ก็เพราะต้องการตามหาวิธีต่อกรกับพลังนั้น ด้วยเหตุนี้ บรรพชนเต๋าถึงแบ่งแยกร่างจำลองมากมายโดยไม่นึกเสียดายวิญญาณ ท่องไปทั่วฟ้าบุพกาล”
เขาก็คือหนึ่งในนั้น!
“ตอนนี้ผนึกของแดนบรรพกาลใกล้จะพังทลายลง ตัวตนน่าพรั่นพรึงที่บรรพชนเต๋าสะกดไว้อาจฝ่าออกมาได้ตลอดเวลา เมื่อถึงเวลานั้นจะมิใช่แค่แดนเทพหวนปัจฉิมเท่านั้น มรรคาสวรรค์ก็ต้องพินาศเช่นกัน!”
เหล่าอริยชนตื่นตระหนก
จอมอริยะเสวียนตูถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “พูดจริงหรือ”
ฟางเหลียงจึงกล่าวว่า “ข้าฟางเหลียงขอสาบานต่อมรรคาสวรรค์ หากโป้ปดทุกท่าน ขอให้ดวงชะตามรรคาสวรรค์สลายหายไปด้วยตัวเอง”
เหล่าอริยชนนิ่งเงียบ ต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตน
บทสนทนาในครานี้ทำให้พวกเขาตกตะลึงยิ่ง พวกเขาตระหนักได้ว่าเรื่องราวมิได้เรียบง่ายอย่างที่พวกเขาจินตนาการไว้ นอกจากพวกเขาจะต้องต่อกรกับแดนเทพหวนปัจฉิมแล้ว ยังต้องเตรียมป้องกันตัวตนในระดับที่สูงกว่านั้นด้วย
….
ในส่วนลึกของฟ้าบุพกาล ไอดำกลุ่มหนึ่งขยับพลุ่งพล่าน ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ไอดำค่อยๆ กลายเป็นเพลิงทมิฬ ในกลางเปลวเพลิงพลันมีดวงตาสีแดงฉานคู่หนึ่งปรากฏขึ้น
“ข้าคือผู้ใด…”
“หานเจวี๋ย…โชคร้าย…เจ้าแดนต้องห้ามอันธการ…”
เสียงแหบพร่าสายหนึ่งแว่วออกมาจากเพลิงทมิฬ เมื่อฟังให้ดีๆ น้ำเสียงคล้ายคลึงกับหานเจวี๋ยอยู่หลายส่วน
เพลิงทมิฬพลันบังเกิดแรงดูดดึงมหาศาล กลายเป็นสายลมโหมกระโชก ก่อตัวเป็นวังวนขนาดยักษ์ ปราณฟ้าบุพกาลที่อยู่รอบๆ ไหลทะลักเข้าสู่เพลิงทมิฬ
เมื่อเวลาผ่านไป เพลิงทมิฬขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ขณะที่เพลิงทมิฬมีขนาดเท่ากับโลกใบหนึ่งและยังคงขยายตัวต่อไปนั้น เงาร่างหนึ่งพลันเหาะโฉบเข้ามา
เป็นนักพรตเต๋าชุดเขียวรูปหนึ่ง มีกระบี่ไม้เล่มหนึ่งรองอยู่ใต้เท้า สองมือไขว้อยู่ตรงบั้นเอว
นักพรตเต๋าชุดเขียวพลันหยุดชะงัก สายตาจับจ้องอยู่ที่เพลิงทมิฬ
“กลิ่นอายแห่งโชคร้ายเข้มข้นยิ่ง…โชคร้ายไร้รูปลักษณ์สีสัน เหตุใดถึงมารวมตัวอยู่ที่นี่ได้”
นักพรตเต๋าชุดเขียวพึมพำกับตัวเอง เขายกมือขวาขึ้นนับนิ้วทำนาย สีหน้าซีดเผือดในทันใด
เพลิงทมิฬที่อยู่ไกลออกไปพลันพุ่งเข้ามาหานักพรตเต๋าชุดเขียว รวดเร็วสุดขีด
นักพรตเต๋าชุดเขียวเบิกตากว้าง อาภรณ์ปลิวสะบัด พลังอันน่าหวาดหวั่นเข้าขวางกั้นเพลิงทมิฬเอาไว้ ทำให้ความเร็วของมันลดลงอย่างกะทันหัน
“ฮึ่ม! ไม่ว่าเจ้าจะเป็นสิ่งใด แต่ในเมื่อเป็นสิ่งชั่วร้าย ข้าก็จะกำจัดเจ้า!”
นักพรตเต๋าชุดเขียวเอ่ยเยาะหยัน พลันมีเถาวัลย์นับไม่ถ้วนงอกออกมาจากกระบี่ไม้ใต้เท้า เข้าห่อหุ้มเพลิงทมิฬไว้อย่างรวดเร็ว บุปผาหลากสีสันงอกออกมาจากเถาวัลย์ดอกแล้วดอกเล่า
หมื่นบุปผาแย้มบาน ลำแสงสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมาจากเกสร พุ่งทะลวงเพลิงทมิฬ ทำให้มันเกิดรูโหว่มากมาย
เพลิงทมิฬเปล่งเสียงคำรามอำมหิตออกมา
นักพรตเต๋าชุดเขียวขมวดคิ้ว เริ่มใช้ความคิด
จู่ๆ เพลิงทมิฬก็ระเบิดออก กลายเป็นหมอกดำแพร่กระจาย จากนั้นก็โอบล้อมเข้าหานักพรตเต๋าชุดเขียวด้วยความเร็วที่มากกว่า
นักพรตเต๋าชุดเขียวโบกมือคราหนึ่ง ระเบิดพลังเวท ลุกไหม้ดุจดวงอาทิตย์ พลังเวทอันร้อนแรงทำให้ห้วงอวกาศฟ้าบุพกาลเดือดพล่าน แต่หมอกดำกลับพุ่งผ่านพลังเวทของเขาไปตรงๆ และเข้าครอบคลุมเขาอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางหมอกดำ นักพรตเต๋าชุดเขียวตื่นตระหนก
“เกิดอะไรขึ้น นี่มันพลังอันใด ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้มิติพันธนาการได้!”
นักพรตเต๋าชุดเขียวสำแดงเวทออกมาอย่างต่อเนื่อง คำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวอยู่ในใจ
เสียงหัวเราะเยียบเย็นแปลกประหลาดแว่วเข้ามาจากทุกทิศทาง ราวกับมีวิญญาณร้ายนับพันกำลังหัวเราะเยาะเขาอยู่ น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง
….
เขตเซียนร้อยคีรี
นับตั้งแต่หานเจวี๋ยสาปแช่งโพธิสัตว์จุนที เวลาก็ผ่านไปเจ็ดร้อยสามสิบสองปีแล้ว
ขณะที่หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญอยู่นั้น จู่ๆ ข้อความหลายแถวก็เด้งขึ้นมาตรงหน้า
[ตรวจสอบพบว่าท่านได้กระตุ้นให้เทพมารต้องสาปถือกำเนิดขึ้น เนื่องจากเทพมารต้องสาปมีความชิงชังและริษยาในตัวท่านตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้น ท่านจึงมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
[หนึ่ง มุ่งหน้าสู่ส่วนลึกของฟ้าบุพกาลทันที สังหารเทพมารต้องสาป ตัดปัญหาที่จะตามมา จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น สืบทอดพลังวิเศษหนึ่งครั้ง ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน]
[สอง เก็บตัวบำเพ็ญ หลีกห่างจากเทพมารต้องสาป จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น หินวิญญาณมรรคาสวรรค์หนึ่งก้อน]
หานเจวี๋ยตะลึงงัน
เทพมารต้องสาปหรือ
เกิดอะไรขึ้น
เป็นเพราะเขาสาปแช่งมากเกินไปหรือ
หานเจวี๋ยไม่ได้เลือกในทันที แต่เรียกใช้ความสามารถวิวัฒนาการอย่างหวาดระแวง ‘ข้าอยากรู้ว่าเทพมารต้องสาปเกี่ยวข้องกับหนังสือแห่งความโชคร้ายอย่างไร’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[พลังอันกล้าแกร่งของหนังสือแห่งความโชคร้ายได้สัมผัสกับกฎเกณฑ์เหนือธรรมชาติบางอย่าง เทพมารต้องสาปก่อตัวขึ้นจากความเคียดแค้นอาฆาตของเทพมารฟ้าบุพกาลยุคบรรพกาล เนื่องจากความผันผวนของกฎเกณฑ์เหนือธรรมชาติ นับตั้งแต่กำเนิดขึ้นมา ภารกิจของเขาก็คือจับตัวท่าน สังหารท่าน เข้าแทนที่ท่าน เทพมารต้องสาปไม่อาจค้นหาตัวท่านผ่านช่องทางของหนังสือแห่งความโชคร้ายได้]
ไร้เหตุผลอะไรเช่นนี้!
‘กฎเกณฑ์เหนือธรรมชาติคืออะไร’
[เนื่องจากเกี่ยวข้องกับปัจจัยที่อยู่เหนือขีดจำกัดของระบบในขณะนี้ ไม่สามารถวิวัฒนาการได้]
หานเจวี๋ยเงียบไป
จากนั้นเขาจึงถามต่อว่า ‘เทพมารต้องสาปเข้าสู่มรรคาสวรรค์ได้หรือไม่’
[ขณะนี้ยังไม่ได้ เว้นแต่เขาจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์]
คำถามที่สองกลับไม่ถูกหักอายุขัย
หานเจวี๋ยรีบถามต่อ ‘ข้าใช้หนังสือแห่งความโชคร้ายสังหารเขาได้หรือไม่’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[หนังสือแห่งความโชคร้ายไม่สามารถสังหารเทพมารต้องสาปได้ มีแต่จะช่วยเพิ่มพลังให้เทพมารต้องสาปแข็งแกร่งขึ้น]
บ้าไปแล้ว!
หานเจวี๋ยตื่นตระหนก
‘ตอนนี้เทพมารต้องสาปสามารถสังหารข้าได้หรือไม่’
[ขณะนี้ยังไม่ได้]
หานเจวี๋ยถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ดูเหมือนเทพมารต้องสาปจะยังไม่กล้าแกร่งขึ้นมา แต่เพราะมีสถานะพิเศษเลยมีค่าตัวถึงแสนล้านปี
ใช้ประโยชน์จากหนังสือแห่งความโชคร้ายกำจัดเทพมารต้องสาปไม่ได้ อีกทั้งหานเจวี๋ยก็ออกจากมรรคาสวรรค์ไม่ได้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงรอให้เทพมารต้องสาปบุกเข้ามาหา
หานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา สีหน้าซับซ้อน
‘กฎเกณฑ์เหนือธรรมชาติ…ยังมีกฎเกณฑ์ที่สูงส่งกว่ามหามรรคอยู่อีกหรือ’ หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ
เขานึกถึงอนาคตที่เคยวิวัฒนาการดู ยอดขุมพลังที่มรรคาสวรรค์และวังสวรรค์เผชิญหน้าด้วยกันจะเกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์เหนือธรรมชาตินี้หรือไม่
จู่ๆ หานเจวี๋ยก็เกิดความคิดประหลาดขึ้น เขาสอบถามอีกครั้ง ‘ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าเทพมารต้องสาปจะบุกเข้ามาก่อความวุ่นวายให้ข้าในมรรคาสวรรค์ได้’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งแสนล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
[ขึ้นอยู่กับความเร็วในการพัฒนาความแข็งแกร่งของเขา ต้องใช้ระยะเวลาประมาณสามพันล้านปีถึงจะบุกฝ่าเข้าสู่มรรคาสวรรค์ได้]
………………………………………………………………