บทที่ 85 สังหารสัตว์เทพ ดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพ
“นั่นคืออะไร”
เชี่ยนเอ๋อร์เอ่ยถามด้วยความตื่นตระหนก เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นภาพฉากที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้
สวินฉางอันเดินไปข้างกายนาง เมื่อมองเห็นมันก็พลันตกตะลึง ตื่นตระหนกไม่ต่างกัน
ไม่เพียงแต่พวกเขา ทว่าทั้งสิบแปดยอดเขา เมืองสำนักฝ่ายใน ชั้นนอกล้วนสังเกตเห็นฉากนี้เช่นเดียวกัน
ตู้ม!
สำนักหยกพิสุทธิ์สว่างวาบ!
นับทียิ่งมีศิษย์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เหยียบกระบี่ทะยาน ทอดมองออกไปไกลด้วยความหวาดหวั่น
“นั่นมันคืออะไรกัน”
“ดวง…ดวงอาทิตย์?”
“สวรรค์ มารปีศาจบุกโจมตีหรือ”
“พลังความร้อนน่าหวาดกลัวยิ่งนัก หากรอมันเข้ามาสังหาร สำนักหยกพิสุทธิ์จะไม่พังราบเลยหรือ”
“ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่”
“จบกัน พวกเราจะทำอย่างไรดี เปิดค่ายกลคุ้มกันสำนักหรือ”
ขณะที่เหล่าลูกศิษย์พากันวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความหวาดกลัว เหล่าผู้อาวุโสก็พลันกางค่ายกลใหญ่คุ้มกันสำนักเป็นอันดับแรก
หลี่ชิงจื่อเพิ่งออกมาจากเขาเพียรบำเพ็ญเซียน ยังไม่ทันกลับไปยังยอดเขาหลักก็เห็นจูโต้วที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจเสียก่อน
เขาเบิกตากว้าง ท่าทางราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง
เบื้องหน้าหานเจวี๋ยปรากฎอักขระขึ้นมาแถวหนึ่ง
[สัตว์เทพจูโต้วบุกโจมตี ต้องการครอบครองต้นฝูซัง]
[จูโต้ว: ระดับรวมกายาขั้นห้า สัตว์เทพแห่งภัยพิบัติ บุตรแห่งจูเชวี่ย[1] เกิดมาพร้อมกับความโชคร้าย บนร่างแผดเผาไปด้วยเพลิงสุริยะ สามารถถล่มทลายฟ้าดิน]
หานเจวี๋ยตกตะลึง สัตว์เทพจูโต้ว?
สัตว์เทพแห่งภัยพิบัติ?
หานเจวี๋ยรีบร้อนเคลื่อนกายออกจากถ้ำเทวา เขาปรากฏกายที่ริมหน้าผา ทอดสายตามองไปยังท้องนภา ยามนี้ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยเแสงสีแดงเพลิง ราวช่วงเวลาสายัณห์มาเยือน
ร่างของสัตว์เทพจูโต้วขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว เป็นเพราะมันกำลังเข้าใกล้สำนักหยกพิสุทธิ์มากขึ้นทุกที!
หานเจวี๋ยสัมผัสถึงอุณหภูมิที่สูงจนน่าหวาดหวั่น เพียงไม่นานก็ตัดสินได้ทันทีว่า ค่ายกลคุ้มสำนักของสำนักหยกพิสุทธิ์คงไม่สามารถต้านทานได้
กระทั่งจูโต้วร่อนลงบนเขาเพียรบำเพ็ญเซียนเมื่อใด ทุกอณูบนเขาทั้งลูกจะกลายเป็นเถ้าถ่าน ไม่เพียงเท่านั้น ทั่วทั้งสำนักหยกพิสุทธิ์จะมอดไหม้ไปด้วยเช่นกัน
“นายท่าน! รีบหนีเร็วเข้า!”
ไก่คุกรัตติกาลบินมายังข้างกายหานเจวี๋ย ตะโกนร้องอย่างตระหนก
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว ไม่ได้เอ่ยตอบ
เขาส่งกระแสเสียงให้กับสัตว์เทพจูโต้ว ‘หยุด!’
ทว่า จูโต้วกลับไม่ได้สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย กลับยิ่งเร่งความเร็วพขึ้น
มวลความร้อนมหาศาลได้แผดเผาป่าไม้บนพื้นดิน เปลวเพลิงลุกลามไปยังสำนักหยกพิสุทธิ์ด้วยความเร็วที่เหนือจินตนาการ
เวลานี้ เหล่าศิษย์ในสำนักหยกพิสุทธิ์ต่างหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก
หลี่ชิงจื่อห้อทะยานมายังเขาเพียรบำเพ็ญเซียนโดยไม่รู้ตัว ด้วยต้องการขอความช่วยเหลือจากหานเจวี๋ย
ผลปรากฏว่ายังไม่ทันที่เขาจะเข้าไปในภูเขา ก็เห็นแสงกระบี่สายหนึ่งบินแหวกอากาศออกมาจากเขาเพียรบำเพ็ญเซียน
ท่ามกลางท้องนภาสีเพลิงแสงกระบี่ส่องประกายทิ่มแทงสายตาเป็นอย่างมาก ดูราวกับดาวตกในค่ำคืนที่มืดมิด เหล่าศิษย์ทั้งหลายล้วนมองภาพฉากตรงหน้าจนตาค้าง
แสงกระบี่สายนั้นก็คือหานเจวี๋ย!
ครั้งนี้ หานเจวี๋ยไม่ได้ขี่กระบี่เหาะทะยาน แต่เขาใช้ความเร็วทั้งหมดที่มีพุ่งเข้าหาสัตว์เทพจูโต้ว
จะให้จูโต้วเข้าใกล้สำนักหยกพิสุทธิ์ไม่ได้เป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นสำนักหยกพิสุทธิ์คงจบสิ้นแล้ว!
ของล้ำค่าฟ้าดินบนเขาทั้งลูกที่เพาะปลูกอย่างยากลำบากมาตลอดสองร้อยปีไม่อาจให้มันมาทำลายได้!
หานเจวี๋ยหยิบกระบี่พิพากษาอนธการออกมา สมบัติวิญญาณทั้งร่างถูกสวมลงบนกาย
สมบัติวิญญาณระดับเจ็ด อาภรณ์เทพทมิฬจักจั่นทอง วาบ!
สมบัติวิญญาณระดับห้า รองเท้าวิเศษเก้าดารา วาบ!
สมบัติวิญญาณระดับสี่ มงกุฎแก้วเจ้าเหมันต์ วาบ!
สมบัติวิญญาณระดับสาม ภูษาเทพพสุธาต้านวิญญาณ วาบ!
สมบัติวิญญาณระดับสาม สร้อยเซียนคุ้มจิต วาบ!
สมบัติวิญญาณระดับหก ระฆังเพลิงอัคคีครอบบนศีรษะ!
เพียงพริบตา หานเจวี๋ยพลันไม่รู้สึกถึงไอร้อนแผดเผาของเพลิงสุริยะจากจูโต้ว
ชัดเจนว่าจูโต้วมองเห็นหานเจวี๋ย เพิ่มระดับความเร็วพุ่งทะยานมายังหานเจวี๋ยทันที มันอ้าปากกว้าง ราวกับว่าจะกลืนหานเจวี๋ยในคำเดียว
[สัตว์เทพจูโต้วเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 5 ดาว]
มารดาเถอะ!
เดรัจฉานเอ้ย!
พอพบกันก็เกลียดชังเพียงนี้!
อยากตายหรือไม่!
นัยน์ตาของหานเจวี๋ยส่องประกายอาฆาต เขาเสือกแทงกระบี่ออกไปในทันที
จิตกระบี่หวนคืนผสานเข้ากับคมกระบี่ พลังวิญญาณทั้งหกสายกลายเป็นปราณกระบี่ ราวกับภูเขาไฟระเบิด
ปราณกระบี่สีดำดูราวกับพระจันทร์เสี้ยวสีนิลที่ปรากฏขึ้นกลางท้องนภา จนบรรดาศิษย์ทั้งสำนักหยกพิสุทธิ์มองอย่างตกตะลึง
กระบี่ฟ้าสังหารเทพปีศาจ!
เสียงดังตู้ม!
ปราณกระบี่ปะทะกับจูโต้ว เพลิงสุริยะพลันแตกสลายกระจัดกระจาย จูโต้วหยุดลงตามกัน
ทว่ามันยังไม่ตาย!
ถึงแม้มันจะมีตบะเพียงระดับรวมกายาขั้นห้า แต่มันก็ถึงสัตว์เทพ พละกำลังและความแข็งแกร่งของกายเนื้อนย่อมเหนือกว่าวิญญาณทั่วไป!
แม้จะเป็นเช่นนั้น ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับกระบี่ของหานเจวี๋ยที่มีพลังมหาศาล จูโต้วก็ยังมึนงงไม่น้อย
หานเจวี๋ยังคงไม่หยุดมือ ยกกระบี่ชี้ขึ้นฟ้า ปราณกระบี่ที่น่าหวาดกลัวพลันพวยพุ่งขึ้นท้องนภา ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า เงากระบี่หลายสายก่อตัวขึ้นกลางอากาศ
สามพิสุทธิ์กำราบภูมิ!
ภายในเวลาไม่ถึงเสี้ยววินาที เงากระบี่นับหมื่นพลันพุ่งเข้าหาจูโต้วจากรอบทิศ!
เหล่าศิษย์ของสำนักหยกพิสุทธิ์สัมผัสได้เพียงแสงกระบี่สว่างวาบอยู่เบื้องหน้า จากนั้นปราณกระบี่ก็พลันปะทุ ระเบิดประกายแสงแกร่งกล้าจนใต้หล้าไร้ซึ่งสีสัน พวกเขาถูกประกายแสงนั้นทำให้หลับตาลงอย่างไร้ทางเลือก
หานเจวี๋ยเค้นพลังทั้งหมดออกมา หากเขาไม่อาจสังหารจูโต้วได้ เช่นนั้นคงตกอยู่ในสถานการณ์ที่จะรับมือได้ยาก
[เนื่องจากท่านสังหารสัตว์เทพเป็นครั้งแรก ได้รับการสืบทอดพลังวิเศษมรรคกระบี่หนึ่งครั้ง]
[ยินดีด้วย ท่านได้รับพลังวิเศษ–ดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพ]
[ดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพ: พลังวิเศษมรรรคกระบี่ ปลดปล่อยปราณกระบี่ด้วยปลายนิ้ว ฆ่าสังหารศัตรูที่อยู่ไกลออกไปหมื่นลี้ ระดับความแข็งแกร่งของปราณกระบี่และขอบเขตพลังขึ้นอยู่กับตบะของผู้ใช้]
มองอักขระสามแถวที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า หานเจวี๋ยก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
โชคดีที่จูโต้วถูกสังหาร!
ทว่าดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพและปราณกระบี่ฟ้าดินก่อนหน้านี้ก็เป็นพลังวิเศษที่สอดประสานกันใช่หรือไม่
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้นมองออกไป เห็นว่าร่างของจูโต้วกำลังร่วงหล่น เพลิงสุริยะบนร่างของมันเหือดแห้งลงอย่างรวดเร็ว ผิวหนังปรากฏรูพรุนน่าสะพรึงกลัว
ถูกสามวิสุทธิ์กำราบภูมิรัดคอ ร่างของมันจึงไม่เหมือนเดิม ดูราวกับซากศพขนาดใหญ่ที่อาบย้อมไปด้วยโลหิต
เกิดเสียงตู้มดังขึ้น!
ร่างของจูโต้วร่วงหล่นลงพื้น
หานเจวี๋ยโบกมือ สำแดงวิชาเทพวายุ ปัดเป่าดับเปลวเพลิงที่แผดเผาทั้งรอบด้าน
โชคดีที่ไม่ใช่เพลิงสุริยะแท้จริงในตำนาน ไม่อย่างนั้น เพียงแค่การปัดเป่าคงไม่อาจดับเปลวเพลิงได้หมด
หานเจวี๋ยเหลือบมองร่างของจูโต้ว ไม่รู้ว่าควรจัดการเช่นไรดี
เวลานั้นเอง มีกลิ่นอายที่คุ้นเคยหอบหนึ่งใกล้เข้ามา
หานเจวี๋ยหันหน้าไปมอง เห็นเพียงไก่คุกรัตติกาลที่บินเข้ามาด้วยความรวดเร็ว
“นายท่าน อย่าทำลายซากศพเลย! ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า!”
ไก่คุกรัตติกาลตะโกนขึ้นอย่างตื่นเต้น ได้ยินเช่นนั้นหานเจวี๋ยก็นิ่งอึ้ง
เจ้าไก่ตัวนี้คิดจะทำอะไร
ไก่คุกรัตติกาลร่อนลงตรงหน้าร่างไร้วิญญาณของจูโต้ว ร่างของมันขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว กลายเป็นไก่ยักษ์น่าหวาดกลัวสูงกว่าภูเขา ก่อนที่มันจะเริ่มจิกกินร่างไร้วิญาณของจูโต้ว
กินสัตว์เทพ?
หานเจวี๋ยส่ายหน้าน้อยๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจมัน เหาะทะยานกลับเขาเพียรบำเพ็ญเซียนอย่างรวดเร็ว
หลี่ชิงจื่อกำลังรอเขาอยู่ที่ปากถ้ำ เอ่ยถามขึ้นอย่างประหม่า “ผู้อาวุโสหาน นั่นคือมารปีศาจใดกัน”
หานเจวี๋ยเอ่ยตอบ “ข้าเองก็ไม่รู้ แต่มันถูกสังหารแล้ว ไก่ของข้ากำลังกินร่างของมัน ขอเหล่าผู้อาวุโสอย่าได้รบกวน”
เขาก็ไม่กล้าเอ่ยออกไปตรงๆ ว่าเป็นสัตว์เทพ
การสังหารสัตว์เทพ ทำให้คนหลุดปากได้ง่าย
เพราะสัตว์เทพก็เป็นสัตว์เทพ เป็นฐานะตัวตนที่ผู้คนมอบให้ด้วยศรัทธาในเทพเซียน
หลี่ชิงจื่อพยักหน้า รีบร้อนกลับไปปลอบขวัญเหล่าศิษย์ของสำนักหยกพิสุทธิ์ทันที
เมื่อกลับเข้ามาภายในถ้ำเทวา หานเจวี๋ยก็เริ่มสืบทอดดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพทันที
ภายในที่พำนักฝ่ายใน
สวินฉางอันปาดเหงื่อร้อนบนหน้าผาก ยิ้มเอ่ย “คงเป็นฝีมือของอาจารย์ข้า ภัยพิบัติคลี่คลายลงแล้ว ฟ้าดินไม่ถล่มทลาย ความจริงใจของข้าที่มีต่อเจ้าก็ไม่เปลี่ยนแปลง”
เชี่ยนเอ๋อร์ตกใจ เอ่ยว่า “หรืออาจารย์ของเจ้าก็คือผู้อาวุโสสังหารเทพที่สำนักหยกพิสุทธิ์เล่าลือกัน? ”
สวินฉางอันพยักหน้า
“ได้ยินมาว่าเขารูปงามยิ่งนักไม่ใช่หรือ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นรอยยิ้มของสวินฉางอันก็พลันแข็งค้าง
อีกด้านหนึ่ง
ศิษย์ของสำนักหยกพิสุทธิ์ทุกคนล้วนมองไม่เห็นว่าผู้ใดเป็นคนสังหารสัตว์เทพจูโต้ว แต่แสงกระบี่เมื่อครู่นั้น ก็มาจากเขาเพียรบำเพ็ญเซียน พวกเขาจึงล้วนคาดเดาว่าเป็นผู้อาวุโสลึกลับในสำนักผู้นั้นที่ลงมือ
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยาม
หานเจวี๋ยก็รู้แจ้งในดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพ
สำนักหยกพิสุทธิ์กลับสู่ความสงบเช่นเคย หลังจากที่ไก่คุกรัตติกาลจิกกินร่างของสัตว์เทพจูโต้วจนหมดแล้ว มันก็กลับไปซ่อนตัวอยู่ในป่าของเขาเพีบรบำเพ็ญเซียน ราวกับว่ากำลังกลั่นสกัดเลือดเนื้อของจูโต้ว
หานเจวี๋ยใช้พลังจิตกวาดไปทั่วทั้งสำนักหยกพิสุทธิ์ ก่อนถอนใจยาวออกมา
ช่างอันตรายจริงๆ
ภัยพิบัตินี้เกิดขึ้นเพราะต้นฝูซังของหานเจวี๋ย แต่ความลับของต้นฝูซังนี้ เขาจะไม่เปิดเผยออกไปเด็ดขาด
[สัตว์เทพจูเชวี่ยเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 5 ดาว]
เมื่อเห็นอักขระที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า รอยยิ้มของหานเจวี๋ยก็แข็งค้างทันที
………………………………………………………………………………………..
[1] จูเชวี่ยหรือหงสาเพลิง สัตว์เทพแห่งทิศทักษิณ ตัวแทนของฤดูร้อน สีประจำตัวคือสีแดง อยู่ในธาตุไฟ เป็นสัญลักษณ์ของความรอบรู้ ความเป็นสิริมงคล และความจงรักภักดี