ตอนที่ทุกคนกำลังจินตนาการเกี่ยวกับโลกสมบูรณ์แบบอยู่นั้น ในโลกตันเถียนก็มีพลังงานมหาศาลมารวมตัวกันเป็นรูปร่างโลก ก่อนที่โลกสมบูรณ์แบบจะก่อตัวขึ้นมา
การก่อตัวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หากเทียบกับการพัฒนาโลกในอดีตแล้ว มันเร็วกว่าเป็นหมื่นเท่า แค่ไม่กี่อึดใจโลกสมบูรณ์แบบก็ก่อตัวจนแทบจะเสร็จ ภาพฉายได้สะท้อนขึ้นมาภายในโลกตันเถียน ผ่านไปอีก 2-3 อึดใจโลกสมบูรณ์แบบก็ก่อตัวเสร็จ
ตั้งแต่ที่เริ่มต้นจนก่อตัวเสร็จกินเวลาแค่ 20 อึดใจเท่านั้น
หากไม่ใช่เพราะนี่คือโลกตันเถียน จางหยูคงไม่เชื่อว่าจะมีโลกกำเนิดขึ้นเร็วแบบนี้ได้
เขาแผ่การรับรู้ไปทั่วโลกสมบูรณ์แบบและพบว่าโลกเพิ่งเข้าสู่ช่วงเริ่มต้นของเรื่อง แต่มันก็ทำให้จางหยูแปลกใจ ความแข็งแกร่งของโลกนี้นั้นมากกว่าโลกสมบูรณ์แบบที่เขาได้เล่าไว้ ผู้คนด้านในราวกับได้รับพลังเพิ่มขึ้น
มันต่างจากโลกที่จางหยูเคยสร้างมาก่อนหน้านี้
ในอดีตนั้นจางหยูได้สร้างโลกขึ้นมา ความแข็งแกร่งของโลกกับเรื่องที่เขาเล่านั้นแทบไม่ต่างกัน แต่โลกสมบูรณ์แบบที่สร้างขึ้นมานี้มันกลับแข็งแกร่งกว่าเดิมไปอีกขั้น แม้ว่าจะยังเป็นผู้คนหน้าเดิมอยู่แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขากลับเพิ่มขึ้นไปอีกระดับ
มันเพราะอะไรกัน ? จางหยูครุ่นคิด นอกจากพลังดั้งเดิมที่เปลี่ยนเป็นพลังโกลาหลแล้ว โลกตันเถียนก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย หรือสาเหตุจะมาจากพลังโกลาหล?
จางหยูเดาว่าการที่โลกสมบูรณ์แบบแข็งแกร่งขึ้นมาอาจจะเป็นเพราะพลังโกลาหล
จางหยูส่ายหน้าและเลิกสนใจปัญหานี้ ยังไงซะยิ่งโลกแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ยิ่งดีสำหรับเขาเท่านั้น ทำไมต้องคิดหาเหตุผลด้วย ? นี่คือเรื่องในวันนี้ จางหยูพูดขึ้น ต่อไปข้าจะย้อนเวลากลับไปสร้างโลกสมบูรณ์แบบขึ้นมา รอจนกว่าโลกจะก่อตัวได้สำเร็จ จากนั้นข้าจะเปิดเส้นทางเข้าสู่โลกนั้น ใครที่สนใจโลกนี้ก็ให้เดินทางผ่านรูหนอน
เมื่อพูดจบ จางหยูก็หายตัวไปเหลือแต่เสียงของเขาที่ดังก้องขึ้นในลาน พรุ่งนี้เช้า คนที่สนใจจะฟังเรื่องใหม่ให้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่
อันที่จริงจางหยูไม่จำเป็นต้องปรากฏตัวเพื่อเล่าเรื่องด้วยตัวเอง เขาแค่เขียนหนังสือแล้วส่งมันให้กับทุกคนก็เพียงพอจะสร้างโลกใหม่ขึ้นมาแล้ว แต่จางหยูน่ะว่าง เขาไม่จำเป็นต้องยืมมือใคร เขาคิดถึงช่วงเวลาที่จะได้พูดคุยกับทุกคน เขาอยากจะพักผ่อนบ้าง
เมื่อนึกถึงเผ่าจิ้งจอก จางหยูก็นึกถึงซุนเมิ่งและซุนวูขึ้นมา
ข้าลืมบอกสองคนนั้นเรื่องการบรรยาย จางหยูรู้สึกว่าทำพลาดไป ดูเหมือนว่าต้องหาโอกาสเปิดการบรรยายอีกครั้ง เพื่อช่วยซุนวูพัฒนาให้เร็วที่สุด
ซุนเมิ่งขึ้นเป็นราชาแล้ว เมื่อรวมกับสายเลือดในตัวนาง จิตของนางจึงแข็งแกร่งกว่าราชาคนอื่นๆ นางสามารถเทียบกับกึ่งจ้าวโกลาหลได้ แต่ซุนวูนั้นด้อยกว่ามาก แม้ว่าจะมีหินแห่งการสร้างของจางหยูคอยช่วยและการเร่งเวลาของโลกผนึกเทพ แต่ก็ยังยากที่จะพัฒนาระดับการบ่มเพาะได้ในเวลาอันสั้น
จางหยูคิดจะให้ทั้งสองเป็นจ้าวบรรพกาลในโลกตันเถียน เป็นธรรมดาที่จะต้องหาทางช่วยซุนวูพัฒนาตัวเอง
ยิ่งมีจ้าวบรรพกาลมากเท่าไหร่และแกร่งเท่าไหร่ มันยิ่งส่งผลดีต่อจางหยูเท่านั้น บางทีเขาอาจจะขึ้นเป็นจ้าวโกลาหลพร้อมกับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นมาจริงๆก็ได้
ดังนั้นการที่จางหยูช่วยทั้งสองคนนี้ก็เท่ากับว่าเขาช่วยตัวเองด้วย
..
หลังจากที่จางหยูจากไปแล้ว จ้านเทียนเกอ, ซังหนานเทียนและคนอื่นๆรวมถึงเหล่าราชาก็ได้ไปหาจางเฮ่าหลันเพื่อลงทะเบียนข้อมูลส่วนตัว พวกศิษย์และอาจารย์คนอื่นๆก็ได้แยกย้ายกันออกไป บางคนไปยังโลกบังสวรรค์และตั้งใจจะรอให้จางหยูสร้างรูหนอนขึ้นมา พวกเขาจะได้เข้าไปสำรวจโลกสมบูรณ์แบบ บางคนไปยังโลกบรรพกาลหรือไม่ก็โลกผนึกเทพเพื่อบ่มเพาะต่อ
ซุนเมิ่งเองก็ถือว่าเป็นคนของสำนักคังเฉียง นางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอู่โม่, เติ้งชิวฉานและคนอื่นๆ ดังนั้นอู่โม่และคนอื่นๆจึงมาที่โลกผนึกเทพเพื่อบอกเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้นางฟัง
หลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้ซุนเมิ่งก็พูดขึ้น อาจารย์เปิดการบรรยายโดยไม่แจ้งข้า เรื่องโลกสมบูรณ์แบบเองก็ด้วย…พูดไปแล้ว ข้าไม่ได้ยินอาจารย์บรรยายมาหลายหมื่นปีแล้ว ข้าคิดถึงมันจริงๆ !
ซุนวูยากจะทำใจเชื่อได้ การบรรยายของเจ้าสำนักส่งผลแปลกประหลาดแบบนั้นรึ ?
ชัดแล้วว่าซุนวูสนใจเรื่องการบรรยายมากกว่า เขาไม่ได้สนใจเรื่องโลกสมบูรณ์แบบเลยแม้แต่น้อย
ไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์ถึงไม่เรียกเจ้า…บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าพี่ไป่หลิงเป็นเพียงร่างแยกของเจ้า เติ้งชิวฉานพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ อีกอย่าง ทำไมเจ้าถึงยังเรียกอาจารย์ว่าอาจารย์อีกล่ะ… นางมองไปที่ซุนเมิ่งด้วยสีหน้าแปลกๆ พี่ซุนเมิ่งชอบอาจารย์ไม่ใช่รึ ? หากเจ้ายังเรียกเขาว่าอาจารย์ มันคงดูแปลกนิดๆ…
เจ้าไม่คิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์มันน่าตื่นเต้นกว่ารึ ? ซุนเมิ่งยักคิ้ว
อู่โม่และคนอื่นๆสะดุ้งไปทันที
มุมปากของซุนวูถึงกับกระตุก ท่านพี่ รักษาภาพลักษณ์หน่อย !
ซุนเมิ่งไม่ได้สนใจ ข้าแค่อยากอยู่กับอาจารย์ ข้าไม่สนใจภาพลักษณ์อะไรหรอก ทำไมข้าต้องสนด้วย ?
ข้าไม่สนใจเรื่องของเจ้ากับเจ้าสำนักแล้ว ซุนวูพึมพำออกมา แต่อย่าลืมว่าเราต้องแก้แค้นให้กับท่านปู่ !
หลังจากที่ได้ยินแบบนั้นซุนเมิ่งก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที นางเงียบอยู่สักพักแล้วพูดขึ้นมาช้าๆ สบายใจได้ เรื่องแก้แค้นให้กับท่านปู่นั้นข้าไม่มีทางลืม
ใช่สิ เติ้งชิวฉานเหมือนนึกบางอย่างออก พี่ซุนเมิ่ง หงอีนั่นก็ได้เข้าร่วมสำนักคังเฉียงด้วยเช่นกัน เจ้าต้องระวังเอาไว้ด้วย
เรื่องที่ซุนเมิ่งชอบจางหยูนั้นแม้ว่าทั้งสำนักคังเฉียงจะไม่รู้ แต่ไป่หลิงน่ะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเติ้งชิวฉานและคนอื่นๆรวมไปถึงเฉินกู ซึ่งพวกเขาต่างก็รู้เรื่องนี้ดี ส่วนเรื่องที่หงอีชอบจางหยูนั้นนางแทบไม่ได้ปกปิด แต่เพราะอู่โม่และคนอื่นๆสนิทกับซุนเมิ่งมากกว่า เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะหวังว่าซุนเมิ่งและจางหยูจะได้อยู่ด้วยกัน นางบ้าไปแล้ว ซุนเมิ่งขมวดคิ้ว นางไม่คิดเลยว่าหงอีจะทำเช่นนี้
เฮ้อ ไม่รู้ว่าอาจารย์จะทนต่อความงดงามของนางได้รึไม่.. เมื่อนึกถึงหงอี ซุนเมิ่งในฐานะผู้หญิงก็ต้องหวั่นใจ มันยากที่จะคิดได้ว่าจะมีผู้ชายคนไหนต้านทานความสวยของหงอีได้
ข้ารู้ว่าอาจารย์ไม่ใช่คนตื้นเขิน แต่หงอีก็ดูเหมาะสมกับอาจารย์จริงๆ
….
วันต่อมา จางหยูก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่ลานอีกครั้ง ครั้งนี้ทุกคนได้กลับมารวมตัวกันอีกรอบ เขาถึงกับเรียกซุนเมิ่งและซุนวูมาด้วย
เขาตั้งใจจะบรรยายอีกครั้ง การบรรยายในครั้งนี้อาจจะผลไม่เท่ากับเมื่อวานแต่ก็มีหลายคนที่ยังไม่กระจ่าง การบรรยายกินเวลาสั้นๆแต่ก็ให้ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง จางหยูไม่ได้ใส่ใจอะไรมากเพราะการบรรยายครั้งนี้เขาเล็งเป้าไปที่ซุนวู รวมไปถึงฝ่ายคุมกฎ ใช้เวลาไม่นานทั้งลานก็เต็มไปด้วยผู้คน
ท่านพี่ เจ้าใส่ชุดอะไรกัน ? ซุนวูขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นมา
ซุนเมิ่งไม่ได้ใส่ใจซุนวู นางมองไปยังคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผู้คน
จางหยูกวาดสายตาไปรอบๆ เมื่อเห็นซุนเมิ่งอยู่ที่นี่ด้วยเขาก็ไม่ได้แปลกใจ
การมาของซุนเมิ่งไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจเพราะเขาเป็นคนเรียกนางมา แต่ชุดของนางนั้นกลับทำให้เขาใจสั่นราวกับว่าได้ย้อนกลับไปเมื่อสามหมื่นปีก่อน เขาได้ย้อนกลับไปตอนที่เพิ่งก่อตั้งสำนักคังเฉียงได้ไม่นาน ตอนนั้นซุนเมิ่งไม่ใช่ราชาที่แข็งแกร่ง แต่กลับเป็นจิ้งจอกน้อย นางได้กลับมาใส่ชุดจิ้งจอกน้อยอีกครั้ง
จางหยูมองไปที่ซุนเมิ่งสักพักก่อนจะดึงสติกลับมา จากนั้นเขาก็ได้ใช้ทักษะหลอกลวงปกคลุมทั้งภูเขาเอาไว้และพูดขึ้นมาช้าๆ ต้นกำเนิดของทุกวิถีคือการสร้าง…