รัตติกาลไม่สิ้นแสง – ตอนที่ 92 ชีวิตที่คุ้นเคย

หลังจากใช้กุญแจทองเหลืองเปิดประตูออกแล้ว ด้วยแสงไฟจากเพดานบนถนน ทำให้ซางเจี้ยนเย่ามองเห็นสิ่งที่คุ้นเคยภายในห้อง มีทั้งเตียง อ่างล้างมือ สกรูที่ยื่นออกมา โต๊ะไม้ทาสีแดงกับเก้าอี้มีพนักที่เข้าชุดกัน

นี่เหมือนกันทุกกระเบียดกับเมื่อครั้งที่เขาจากไป

ต้องขอบคุณระบบระบายอากาศอันยอดเยี่ยมของอาคารใต้ดินและสภาพภูมิศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ แม้ว่าจะไม่ได้ทำความสะอาดมาร่วมเดือน ซางเจี้ยนเย่าก็ไม่รู้สึกว่าอากาศภายในห้องนั้นอึดอัด ฝุ่นก็ไม่ได้เกาะจนหนาเป็นคราบ

เขาก้าวเข้าไปข้างในอย่างช้าๆ แล้วปิดประตูตามหลัง หยิบผ้าริ้วที่แขวนไว้ด้านข้างอ่างล้างมือ หมุนเกลียวเปิดก๊อกน้ำแล้วเอาผ้าไปรองให้เปียกชุ่ม

จากนั้นก็ก้มลงไปเช็ดทำความสะอาดทุกจุดที่สามารถทำได้ บางทีก็นั่งยองลงไปเช็ด

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว ก็เพิ่งจะเป็นเวลาหนึ่งทุ่มตรง

ซางเจี้ยนเย่าซึ่งอาบน้ำมาเรียบร้อยแล้วและเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าปกติตั้งแต่ตอนอยู่ที่แผนกความมั่นคงก็หยิบกุญแจบ้านขึ้นมาทันที แล้วมุ่งหน้าตรงไปยัง ‘ศูนย์กิจกรรม’ ของชั้นนี้

ในระหว่างทาง พนักงานที่กินอาหารเย็นเสร็จแล้วต่างก็ทยอยเดินกลับมาทีละคน มีหลายคนที่รู้จักซางเจี้ยนเย่า

พวกเขาพยักหน้าให้กันเป็นการทักทาย

ไม่นานซางเจี้ยนเย่าก็มาถึง ‘ศูนย์กิจกรรม’ ของเขต C และมองเห็นชายหนุ่มหลายคนพูดคุยกันที่ประตูทางเข้า บ้างนั่งยอง บ้างก็ยืน ส่วนคนที่เดินจากประตูทางเข้าตรงมาหาเขาก็คือเสิ่นตู้

ชายวัยกลางคนที่ ‘นำพา’ ซางเจี้ยนเย่าไปเข้าร่วมนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ พูดด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“เสี่ยวเจี้ยน เธอกลับมาจากภาคสนามแล้วเหรอ”

ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยรอยยิ้ม

“ครับ ไปเก็บขยะกลับมา”

“…” เสิ่นตู้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจคำตอบของซางเจี้ยนเย่าสักเท่าไหร่ เขาอธิบายต่อ “ฉันได้ยินมาจากตาเฒ่าเฉินน่ะ ก่อนหน้านั้นฉันไม่เห็นเธอหลายวัน กลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรกับเธอ ซักไปซักมาสุดท้ายเขาก็ยอมบอกว่าเธอไปเข้าร่วมกับแผนกความมั่นคง ออกไปภาคสนามแล้ว”

“น่าเสียดายจริงๆ” ซางเจี้ยนเย่าตอบ

“…” เสิ่นตู้ไม่อาจตามความคิดซางเจี้ยนเย่าได้ทันแม้แต่น้อย จึงได้แต่ยิ้มพลางพูดขึ้น “ทุกคนคิดถึงเธอทั้งนั้น ไว้คุยกันใหม่นะ”

ซางเจี้ยนเย่าแสดงสีหน้าลำบากใจ

“เสียดายที่ไม่ได้ติดของฝากมาให้พวกคุณ

“เอางี้มั้ย ผมจะทำการแสดงให้ดูซักชุดนึงดีไหม”

“ไม่ต้อง ไม่ต้องหรอก” เสิ่นตู้พบว่าตอนนี้ตัวเองกับอีกฝ่ายนั้นเหมือนเป็นไก่คุยกับเป็ด[1]ไปแล้ว

เขาบอกใบ้ถึงการประชุมตอนเช้ามืดพรุ่งนี้ จากนั้นรีบอำลาซางเจี้ยนเย่าทันที

ซางเจี้ยนเย่าเข้ามาใน ‘ศูนย์กิจกรรม’ กล่าวทักทายคนนั้นทีคนนี้ที ซึ่งมีทั้งคนที่รู้จักและไม่รู้จัก

เฉินเสียนอวี่ ผู้รับผิดชอบ ‘ศูนย์กิจกรรม’ นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวเล็กส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด เมื่อเห็นซางเจี้ยนเย่าเดินเข้ามาก็รีบยกมือขวาโบกไม้โบกมือ กวักเรียกซางเจี้ยนเย่าให้เข้าไปหา

“เป็นไงบ้าง เก็บเกี่ยวครั้งนี้ได้ผลเป็นไง” เขาถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

แต่ก่อนที่ซางเจี้ยนเย่าจะได้ตอบอะไร เขาก็รีบชี้ไปยังข้าวของที่วางกองกระจัดกระจายอยู่เบื้องหน้าตนเอง

“อยากให้ตาเฒ่านี่ช่วยขายของให้ไหมล่ะ

“คิดค่านายหน้าแค่ไม่กี่แต้มเอง”

ซางเจี้ยนเย่านั่งยองลงไปหยิบนาฬิกาแมคคานิกส์ที่ชำรุด ซึ่งผู้เฒ่าเฉินขายมานานแต่ก็ยังขายไม่ออกเสียที ถามขึ้นอย่างจริงจัง

“ถ้าเอารถหุ้มเกราะมาวางขายที่นี่ มันจะเกะกะพื้นที่ไปหรือเปล่า”

“ฮะ” เป็นเวลาครู่ใหญ่ที่เฉินเสี่ยนอวี่ไม่อาจเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายได้

ซางเจี้ยนเย่าถามต่อ

“ปืนกลหนักเอามาขายในที่นี่ได้ไหม”

“เธอคิดว่าบริษัทเจ๊งจนปิดทำการไปแล้วเหรอ!” ผู้เฒ่าเฉินด่าออกไปตามปฏิกิริยาอัตโนมัติทันที “ของแบบนั้นน่ะ พวกเขาไม่มีทางให้เธอมาหรอก! อ้อ… จริงสิ เธอเพิ่งจะกลับมาถึง ข้าวของที่เอากลับมาก็เลยยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบนี่นา ยังไม่รู้ว่าสุดท้ายจะได้อะไรมาบ้างสินะ”

พูดถึงตอนนี้ เฉินเสียนอวี่ก็ด่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“เรื่องแบบนี้เธอพูดออกมาตรงๆ ก็ได้ ไม่เห็นจะต้องพูดจาอ้อมค้อมอ้อมโลกขนาดนั้นเลย

“ยังเรื่องรถหุ้มเกราะกับปืนกลหนักนั่นอีก ทำไมไม่บอกออกมาเลยล่ะว่าได้ชุดเกราะกระดูกเสริมแรงมาด้วย”

ซางเจี้ยนเย่าขบคิดอยู่อึดใจ

“นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าปู่อยากจะได้มันจริงๆ หรือเปล่า

“น่าเสียดาย…”

“เสียดายกับผีน่ะสิ!” เฉินเสียนอวี่ด่าไปอีกคำ จากนั้นก็ถามด้วยความเป็นห่วง “เป็นไงบ้าง ออกภาคสนามครั้งนี้ราบรื่นดีใช่ไหม”

ซางเจี้ยนเย่าตอบ

“ดุเดือดมาก”

“ดุเดือดกับผีน่ะสิ!” เฉินเสียนอวี่หัวเราะ “มือใหม่อย่างพวกเธอเนี่ยนะ จะออกไปทำภารกิจอันตรายแบบนั้น มากสุดก็แค่ออกไปล่ากระต่ายแถวๆ บริษัทนั่นแหละ ไม่ก็ไปซ้อมเล่นเอาชีวิตรอดในแดนร้าง”

ซางเจี้ยนเย่าร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง

“ฮ่า ฮ่า” เฉินเสียนอวี่ทำเสียงหัวเราะเย้ยหยัน “ฉันจำได้ว่าครั้งแรกสุดตอนที่ฉันออกไปล่ากระต่าย ฉันดันใช้ปืนไรเฟิลจากโลกเก่าแบบที่ตกยุคไปตั้งนานแล้วน่ะ สรุปก็คือยิงไปตูมเดียว กระต่ายนั่นก็เละเป็นชิ้นๆ ทันที ทำเอาปวดใจชะมัด…”

ในเวลานี้มีพนักงานคนหนึ่งเดินมาดูข้าวของที่วางขายอยู่ ผู้เฒ่าเฉินรีบหันมาแนะนำสินค้า ไม่ได้คุยกับซางเจี้ยนเย่าต่ออีก

ซางเจี้ยนเย่าค่อยๆ ยืดร่างลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่หัวมุมของ ‘ศูนย์กิจกรรม’ ซึ่งมีคนบางตาที่สุด ดึงเก้าอี้มานั่งลงไป

เขาไม่ได้หาคนคุยด้วย ทำเพียงแค่มองดูรอบๆ อย่างเงียบสงบ

มีชายกลุ่มหนึ่งนั่งรอบโต๊ะไม้ตัวเล็กๆ เล่นไพ่กันอยู่ รอบไหนใครเล่นแพ้ คนนั้นต้องลุกจากม้านั่งลงไปนั่งยองๆ เพื่อรอเล่นรอบใหม่

ด้านข้างพวกเขามีคนล้อมวงมุงดูกันมากมาย บ้างก็ยืนกอดอกแสดงความคิดเห็น บ้างก็ถอนใจเสียงดังแสดงความเสียดาย บ้างก็หัวเราะร่วน เยาะเย้ยไม่หยุด บ้างก็คอยเร่งให้จบรอบเร็วๆ จะได้เข้าไปเล่นบ้าง

ห่างออกไปเล็กน้อย เหรินเจี๋ยนั่งอยู่กับผู้หญิงคนอื่นๆ กำลังพูดคุยเกี่ยวกับข่าวลือต่างๆ ภายในบริษัท บางคนก็ฟังไปพลางใช้เศษผ้ายัดเสริมพื้นรองเท้าไปด้วย บางคนก็ใช้ไหมพรมที่แลกมาจาก ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ มาถักเสื้อไหมพรมใส่หน้าหนาวให้กับลูก บางคนก็กำลังใช้ขวดนมพลาสติกที่ตกทอดมาไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นแล้วป้อนให้เด็กทารกดูด

มุมห้องอีกมุมหนึ่ง หนุ่มสาวหลายคนนั่งกันเป็นคู่ หัวร่อต่อกระซิกกัน เบื้องหน้ามีห่อลูกอม ขนม บ้างก็เป็นขวดแก้วสีเขียวสีส้ม ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยที่แลกมาจาก ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะจับจ่ายซื้อหากันในช่วงวันเทศกาลเท่านั้น แต่ทว่าหนุ่มสาวเหล่านี้เพิ่งจะได้รับการจัดสรรบรรจุงานและกำลังมีความรักเบ่งบาน จึงค่อนข้างจะมือเติบกันไปบ้าง ถึงแม้ว่าหลังจากนี้จะแทบไม่เหลือแต้มคะแนนแต่ก็ยังกลับไปดื่มกินที่บ้านได้อยู่ดี

ภายนอกหน้าต่าง ‘ศูนย์กิจกรรม’ แถวริมขอบวงแสงของไฟถนนติดเพดานมีเงาคนวูบไหว บางครั้งก็ทอดยาวออกไป บางครั้งก็แยกจากกัน

ระหว่างทางไป ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ มีคนถือขวดแก้วเปล่าสารพัดสีสันเพื่อเอาไปแลกเป็นแต้มส่วนร่วม

พื้นที่โล่งทั้งภายในภายนอกล้วนกลายเป็นสมรภูมิให้เด็กเล็กเด็กน้อยวิ่งไปวิ่งมา

ซางเจี้ยนเย่ามองดูภาพเบื้องหน้าเหล่านี้ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว

ไม่รู้ว่าเขาเฝ้ามองดูอยู่นานเพียงใด หลงเยว่หงก็เดินเข้ามาจากประตูทางเข้า

หลังจากทักทายคนที่รู้จักมักคุ้นไปแล้ว หลงเยว่หงก็เห็นซางเจี้ยนเย่าที่มุมห้อง

“ไหงมานั่งอยู่นี่ได้ล่ะ”

เขาจำได้ว่าในช่วงเวลานี้ซางเจี้ยนเย่าชอบอยู่บ้านรอฟังรายงานข่าวประจำช่วงเวลาเสียมากกว่า หลังจากนั้นก็ฟังรายการวิทยุสารพัดรายการต่อ

แล้วนี่ก็เพิ่งจะกลับมาจากโลกภายนอก น่าจะอยากไปพักต่ออีกสักหน่อย

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ตอบคำถามหลงเยว่หง แต่ถามกลับไปด้วยรอยยิ้ม

“นายไม่ไปหาเฝิง… เอ่อ… ผู้หญิงที่ทำงานอยู่สถานีวิทยุน่ะ ไม่ไปหาเธอหน่อยเหรอ”

“เฝิงอวิ๋นอิง” หลงเยว่หงนั่งลงแล้วถอนหายใจยาว “เพิ่งจะไปหาเมื่อตะกี้แหละ เลยรู้ว่าเธอกำลังเดตกับคนอื่นอยู่”

ซางเจี้ยนเย่าถอนหายใจ

“เฮ้อ… ฉันได้รับการปรับปรุงพันธุกรรม…”

“หุบปากไปเลย!” หลงเยว่หงตัดบททันที แล้วพูดเรื่องอื่นต่อ “ที่จริงฉันก็เข้าใจแหละ ฉันออกไปข้างนอกตั้งเดือนนึง ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าจะได้กลับมามั้ย ยิ่งกว่านั้นพวกเราก็เพิ่งจะรู้จักกัน จะเรียกว่าเป็นเพื่อนก็ยังเรียกไม่ได้เลยมั้ง แล้วจะให้เธอมารอฉันได้ไง”

ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองหลงเยว่หง

“นายรู้ไหมว่าฉันจะพูดอะไร”

หลงเยว่หงตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ที่นี่ก็คือแดนธุลี”

“เปล่า” ซางเจี้ยนเย่าส่ายหน้า “ฉันจะพูดว่าต่อให้นายไม่ได้ออกไปฝึกภาคสนาม ก็ไม่น่าจะมีหวังสักเท่าไหร่”

“…” หลงเยว่หงไม่รู้ว่าจะร้องไห้ดีหรือโมโหดี “คำพูดนายโคตรทำร้ายจิตใจชะมัด!”

“ก็ให้แม่นายแนะนำคนอื่นให้อีกสิ” ซางเจี้ยนเย่ากดมือข้างหนึ่งลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน

“อืม กว่าจะออกไปข้างนอกครั้งหน้าก็มีเวลาอย่างน้อยอีกสองเดือน…” หลงเยว่หงพยักหน้าแล้วถาม “แล้วนี่นายจะกลับแล้วเหรอ”

โดยไม่ได้รอให้ซางเจี้ยนเย่าตอบ เขาก็พึมพำกับตัวเอง

“ก็ใช่ล่ะนะ ตั้งแต่กลับมาถึงนี่ฉันก็รู้สึกอุ่นใจและผ่อนคลาย

“พอได้ผ่อนคลายสักหน่อย ก็เลยรู้สึกเหนื่อยชะมัด เหนื่อยมากๆ”

ระหว่างที่พูดเขาก็ยืนขึ้นมา

“กลับไปนอนกันเถอะ”

ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองเขา

“ใกล้จะเริ่มรายงานข่าวแล้ว”

“นายไม่เหนื่อยเหรอ ทำไมถึงอยากจะฟังข่าวล่ะ” หลงเยว่หงค่อนข้างแปลกใจ

พอพูดขาดคำ ก็ตระหนักขึ้นมาทันที

สมาชิก ‘ทีมสำรวจเก่า’ คนที่รู้สึกเหนื่อยคงมีแค่ตัวเองคนเดียวเท่านั้นสินะ…

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พูดอะไร โบกมือบอกลาหลงเยว่หงแล้วเดินกลับบ้านไป

ภายใต้แสงสีขาวของหลอดฟลูออเรสเซนต์บนเพดาน เงาของเขาบางทีก็ทอดยาวออกไป บางทีก็หดสั้นเข้ามา

ใช้เวลาไม่นาน ซางเจี้ยนเย่าก็กลับมาถึงห้องตนเอง เขาเปิดประตูเข้าไป ถอดเสื้อคลุมออกแล้วเอนตัวลงบนเตียง

เขาไม่ได้เปิดสวิทช์ไฟ ปล่อยให้แสงสว่างจากทางเดินด้านนอกส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้ห้องมืดครึ่งสว่างครึ่งโดยไม่ได้มีเส้นแบ่งอย่างชัดเจน

ในความเงียบสงบ ลำโพงที่แขวนบนเพดานด้านนอกก็ส่งเสียงซ่าซ่า ก่อนจะมีเสียงหวานไพเราะราวกับเสียงเด็กดังตามออกมา

“สวัสดีตอนเย็นค่ะ ฉัน…ผู้ประกาศข่าว ‘โฮ่วอี๋’ นะคะ ขณะนี้เวลายี่สิบนาฬิกา…

“วันนี้ รองประธานบริหารหลินหย่าง ของคณะกรรมการบริหารของบริษัท ได้ตรวจสอบ ‘เขตพลังงาน’ และเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องจัดหาพลังงานในช่วงฤดูหนาว…

“จากการพยากรณ์อากาศบนพื้นโลก มวลอากาศเย็นจากทุ่งน้ำแข็งจะแผ่ลงมาทางใต้ในอีกไม่กี่วัน อุณหภูมิในแดนร้างบึงดำจะลดลง 5 องศาเซลเซียส…

“…วันนี้เกิดเหตุการณ์ ‘โรคไร้ใจ’ ขึ้นอีกครั้งในเขตโรงงาน ผู้ติดเชื้อถูกควบคุมตัวไว้เรียบร้อยแล้ว…

“…แผนกนันทนาการขอเรียนเชิญหัวหน้าของทุกแผนกมาร่วมหารือเกี่ยวกับการแสดงสิ้นปี…

“…”

เสียงจากวิทยุดังก้องสะท้อนภายในห้องซึ่งมีอุณหภูมิเย็นเล็กน้อย เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้พื้นที่ภายในขึ้นมาบ้างนิดหน่อย

* * * * *

[1] ไก่คุยกับเป็ด (鸡同鸭讲) หมายถึง คุยกันคนละเรื่อง เลยไม่รู้เรื่อง ตรงกับสำนวนภาษาไทยว่า ‘ไปไหนมาสามวาสองศอก’

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

Status: Ongoing
อ่านนิยาย รัตติกาลไม่สิ้นแสงเขต C ชั้นที่ 495 ของอาคารศูนย์กิจกรรม ผนังสีเขียวอมเทาด้านนอกเต็มไปด้วยรอยวาดขีดเขียนสารพัด หญิงสาวหกเจ็ดคนเดินเข้าไปข้างในด้วยสีหน้าเจืออารมณ์ตื่นเต้น คาดหวัง และประหม่า เสื้อผ้าพวกเธอนั้นเรียบง่าย ไม่ได้มีสีสันมากมาย ส่วนใหญ่เป็นสีน้ำเงิน สีดำ สีขาว และสีเขียว แต่ทุกคนล้วนดูงดงามและอ่อนเยาว์ ระหว่างที่พวกเธอกำลังมองดูหน้าจอ LCD ซึ่งมีเพียงหน้าจอเดียวในชั้นนี้ หญิงสาวที่อยู่หัวแถวด้านหน้าอดกระซิบขึ้นไม่ได้ “ไม่รู้ว่าทางบริษัทจะหาสามีแบบไหนให้ฉันกันนะ”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset