บทที่ 505
บทที่ 505
ชายร่างใหญ่ดึงดาบออกมาโดยสัญชาตญาณต้องการแทงถังหยินให้ตาย แต่ในขณะที่มือของเขากำลังจะแตะด้ามดาบ แขนของถังหยินก็พลันขยับไหว ทำให้ชายร่างใหญ่ถูกกดลงกับพื้นอย่างแรงในทันที และมันก็มากพอที่จะทำให้กระดูกทั้งหมดในร่างกายของเขาแตกหัก
ในเวลานั้น ทหารหลายสิบคนพลันพุ่งไปข้างหน้า ทุกคนต่างจ้องมองถังหยินด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
ซึ่งถังหยินเองก็มองไปที่ทหารพวกนั้น และตะโกนอย่างเย็นชาว่า “แม่ทัพและทหารของกองทัพเฟิงผู้สูงศักดิ์ พวกเจ้ากำลังฟังคำสั่งของสามัญชนเช่นนี้ ยังจะกล้าเรียกตนเองว่าเป็นผู้ทรงเกียรติอีกอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ทหารโดยรอบต่างก็ตกตะลึง พวกเขามองหน้ากันและบางคนรวบรวมความกล้าที่จะถามว่า “เจ้า… เจ้าเป็นใคร… เหตุใดจึงบังอาจมาสั่งสอนพวกข้า”
“ถังหยิน!” ดวงตาของถังหยินวาวโรจน์
หลีเทียนเดินไปด้านข้างของถังหยิน มือชี้ไปยังทหารที่อยู่รอบ ๆ และกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้ากล้าหมิ่นนายท่าน ดูท่าว่าจะไม่กลัวตายสินะ…?”
ทหารทั้งหมดนี้มาจากกองทัพชานซุย และหลายคนก็เคยเห็นถังหยินมาก่อนด้วยซ้ำ ทว่ายามนี้ ถังหยินแต่งตัวสบาย ๆ อีกทั้งยังมีฝุ่นเกาะอยู่ทั่วร่างกาย พวกเขาย่อมจำชายหนุ่มไม่ได้ในแวบแรก แต่ตอนที่พวกเขาได้ยินหลีเทียนพูด พวกเขาก็พลันจดจำได้ ว่าหากชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่ถังหยิน แล้วเขาจะเป็นใครได้อีก?
เคร้ง! เคร้ง!
เมื่อเห็นเป็นถังหยินจริง ๆ พวกเขาก็ทิ้งอาวุธในมือทันที ก่อนจะคุกเข่าลงทันที ต่างก้มหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “พวกข้าสมควรตาย! คิดจะทำร้ายนายท่าน ต่อให้ตายนับพันครั้งก็อาจที่จะชดใช้ได้!”
ถังหยินตกใจมากดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้โกหก เพราะขนาดตัวยังสั่นอย่างหวาดกลัว
ใกล้ ๆ กัน เขายังคงต้องการใช้ประโยชน์จากความจริงที่ว่าไม่มีใครสนใจเขาเพื่อหลบหนี แต่ในขณะที่คลานออกมาจากฝูงชน ถังหยินก็มองลงไปที่ชายร่างใหญ่และพูดอย่างไร้ความรู้สึก “ดูท่าเจ้าจะไม่รู้ว่าควรภักดีกับใครสินะ?”
“เมตตาข้าด้วย… ข้าเพียงทำตามคำสั่งขององค์ราชาเท่านั้น… ขอรับ?” พลังที่ชายคนนั้นแสดงออกมาเมื่อครู่หายไปแล้ว เขาคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อร้องขอความเมตตา
“องค์ราชา? ฮ่าฮ่าฮ่า” เมื่อได้ยินเช่นนั้นถังหยินก็หัวเราะออกมาดัง ๆ และพูดอย่างสบาย ๆ “ข้าไม่ยักกะรู้ว่าแคว้นเฟิงมีของแบบนั้นตอนไหน?”
“นั่น… นั่นเพราะว่าท่าน-”
โดยไม่รอให้เขาพูดจบถังหยินก็ขัดจังหวะเขาและกล่าว “ข้าไม่สน”
เมื่อเขาพูดจบเขาก็ก้าวขึ้นไปบนหลังของชายร่างใหญ่แล้วยกเท้าขึ้น จากนั้นเล็งไปที่ศีรษะของชายร่างใหญ่และเหยียบมันอย่างไร้ความปรานี
โพล๊ะ!
ชายร่างใหญ่ไม่มีโอกาสที่จะร้องไห้ออกมาก่อนที่หัวของเขาจะถูกเละเป็นชิ้น ๆ เหมือนแตงโม เลือดและสมองสาดกระจายออกมาเต็มพิ้น
ทหารและประชาชนรอบข้างเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง พวกเขาทั้งตกใจและหวาดกลัว เกิดความโกลาหลขึ้นผู้คนวิ่งหนี ถังหยินไม่สนใจปฏิกิริยาของคนที่ยืนอยู่ข้างบน เขาพูดกับทหารว่า “บอกพวกแม่ทัพ ให้มาพบข้า!”
ทันทีที่เสียงของถังหยินลดลง เขาก็ได้ยินคำตอบจากภายในประตูเมือง หลังจากนั้นคนกว่าสิบคนก็วิ่งออกไปนำโดยแม่ทัพที่แต่งกายด้วยชุดเกราะมีหมวกเกราะสวมศีรษะ ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเพราะกังวลหรือเพราะวิ่งเร็วเกินไป แต่เกราะของคนผู้นั้นเคลื่อนไปมา กระทั่งใบหน้ายังปกคลุมไปด้วยเหงื่อและคนสิบกว่าคนที่อยู่ข้างหลังก็สภาพไม่ต่างกันเท่าไหร่
แม่ทัพเฟิงคนนี้ออกมาจากประตูเมืองและวิ่งไปอยู่ด้านหน้าของถังหยิน พร้อมกับหอบหายใจจากนั้นก็คุกเข่าลงและกอดเขาไว้ แต่อาจเป็นเพราะใช้พละกำลังมากเกินไป กระเบื้องหินที่หมวกเกราะกระแทกพื้นทำให้เกิดเสียงดังกึกก้อง และเขาก็พูดอย่างกระวนกระวาย “ไปหานายท่านและขอให้เขายกโทษให้ข้า!”
แม่ทัพคนนี้คือจ้าวเจียน เป็นผู้บัญชาการของกองทัพชานซุย เขาได้รับมอบหมายให้เฝ้าประตูเมือง ถังหยินจำอีกฝ่ายได้ ในอดีตคนผู้นี้เคยติดตามเหลียงฉี เป็นหนึ่งในแม่ทัพที่มีส่วนสำคัญอย่างมากในกองทัพ ถังหยินขมวดคิ้วและถาม “เจ้าไม่ได้ประจำการที่ค่ายทหารนอกเมืองหรอกหรือ เหตุใดจึงมาที่นี่? แล้วยังกล้าตั้งด่านที่ประตูเมือง นับว่าไม่น่าให้อภัยยิ่ง!”
เมื่อได้ยินคำพูดของถังหยิน ใบหน้าของจ้าวเจียนก็เปลี่ยนเป็นสีขาวและเขาก็เริ่มมีเหงื่อออกมาก เสื้อผ้าใต้ชุดเกราะของเขาเปียกไปหมด เพราะทั้งหมดนี้เป็นคำสั่งของเหลียงซิง! และกองทัพชานซุยก็ได้กลายเป็นไร้เจ้าของไปแล้ว ขณะที่สัญลักษณ์ทางสั่งการก็อยู่ในมือของเหลียงซิงเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงถูกบังคับให้ทำอะไรไม่ได้ และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามคำสั่งของเหลียงซิง
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เขากังวลเกินกว่าจะอธิบายอะไรได้ “นายท่านโปรดเมตตา! โปรดไว้ชีวิตของพวกเราได้หรือไม่ ”
แน่นอนถังหยินรู้ดีว่า สาเหตุที่กองทัพชานซุยเข้ามาในเมืองหลวงเป็นเพราะพวกเขาได้รับคำสั่งของเหลียงซิง ซ้ำยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแม่ทัพของกองทัพจริง ๆ ดังนั้นถังหยินจึงลอบพอใจอยู่บ้าง แต่ภายนอกเขาพูดอย่างเฉยเมยว่า “เห็นแก่ที่เจ้ารับใช้แผ่นดิน ข้าจะให้อภัยก็ย่อมได้ แต่บทลงโทษอย่างไรก็ต้องมี เจ้ากระทำผิด ยามนี้ให้นำผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้ากลับไปที่ค่ายทหารทันที หากไม่มีคำสั่งของข้า เจ้าห้ามเข้าเมืองเด็ดขาด!”
“ขอรับนายท่าน!” ในขณะที่พูด เขาก็ลุกขึ้นยืนและหันไปเอ่ยคำสั่งกับกองทหารชานซุย ที่อยู่ด้านบนของกำแพงเมือง “ออกจากเมือง! ออกจากเมืองกับข้า! ปฏิบัติ!”
ภายใต้คำสั่งเร่งด่วนของ กองทหารที่ห้ารีบออกจากกำแพงเมืองอย่างเร็วที่สุด แม่ทัพแซ่จ้าวไม่กล้าที่จะชักช้าอีกต่อไป เขาหันไปพูดกับถังหยินว่า “นายท่าน ข้าจะพาพวกเขากลับไปที่ค่าย”
หลังจากที่กองทัพชานซุยถูกถอนออกไปหมดแล้ว ถังหยินก็เห็นว่ายังมีไพร่พลอีกมากมายรวมตัวกันอยู่ที่นอกประตูเมือง เขาประสานมือเข้าหาไพร่พลรอบตัวเขาและกล่าวว่า “ในช่วงเวลานี้ กองทัพของเราสร้างปัญหามากมายให้กับทุกคนในการเข้าและออก ในนามของกองทัพทั้งหมด ข้าต้องขออภัยด้วย”
ทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุไม่ได้คาดหวังให้ผู้บัญชาการกองทัพเฟิงผู้สง่างาม ถังหยิน จะขอโทษพวกเขาซึ่งเป็นพลเรือนธรรมดาทั้งหมด พวกเขาทั้งหมดตกใจและไม่ตอบสนองเป็นเวลานาน ก่อนในที่สุดจะคำนับเป็นการตอบ “มิเป็นไรขอรับ/เจ้าค่ะ!”
“ในที่สุดเราก็ได้นายของเรากลับคืนมาแล้ว!”
ไม่ว่าคำพูดของถังหยินจะเป็นเพียงการกระทำหรือไม่ก็ตาม มันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้น ทำให้พวกเขารู้สึกใกล้ชิดเป็นพิเศษ
ถังหยินถูกพลเรือนพาเข้าเมือง เมื่อถึงเวลาเที่ยงวันเวลาที่เหลียงซิงกำลังจะสังหารอู่หยูและจี้หยาง ฮ่าวชุน ชาวบ้านหลายคนพากันไปดู ทำให้ถนนในยามนี้ว่างเปล่ายิ่งนัก ถังหยินยังไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้ ด้วยเหตุนี้แล้ว เมื่อเดินบนถนนเขาจึงรู้สึกว่าเมืองหยานดูจะซบเซาลงไปมาก
ถังหยินพูดกับหลีเทียนและเจี๋ยงฟาน “เหลียงซิงเพิ่งขึ้นครองราชย์ได้ไม่กี่วัน เมืองหยานก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว คงจะแปลกถ้าผู้คนจะสนับสนุนเขา”
หลีเทียนพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านพูดถูก”
ทั้งสามกลับไปที่บ้านพัก แต่ที่นั่นไม่มีแม้แต่ยามที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างนอก เขาผลักประตูและเดินเข้าไปในเรือน ถังหยินอดไม่ได้ที่จะตะโกนเสียงดัง “มีใครอยู่หรือไม่?”
ทันทีที่เขาพูดจบ เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบก็ดังมาจากด้านข้างของห้องโถง เป็นถังซ่งนั่นเองที่วิ่งมา เมื่อเห็นถังหยินยืนอยู่กลางห้องโถง ดวงตาของเขาก็สว่างขึ้น รีบรุดเข้าไปหาด้วยประหลาดใจและพูดทันที “นายท่าน กลับมาแล้ว!”
ถังหยินถาม “แล้วคนอื่น ๆ อยู่ที่ไหน? ชิวเจิ้นล่ะ”
“ท่านชิวและคนอื่น ๆ ไปที่ลานหน้าตุลาการแล้วขอรับ?”
“ตุลาการอะไร”
“วันนี้เป็นวันที่ท่านอู่หยูจะโดนประหารขอรับ ตอนนี้คนอื่น ๆ อยู่ที่นั่นกันหมดทั้งท่านชิว อู่เหมยก็ดว้ยขอรับ!” นั่นทำให้ถังยินประหลาดใจไม่น้อย
เขาลูบคาง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงพูดว่า “ดูเหมือนว่าข้าคงจะต้องไปด้วยสินะ นำทางข้าที”
ถังซ่งกังวลเรื่องความปลอดภัยของถังหยิน เขาเอ่ยทันทีว่า “นายท่านเพิ่งจะกลับมา เหตุใดไม่พักผ่อนเสียหน่อยล่ะขอรับ? ท่านชิวคงจะสามารถหาทางจัดการได้อยู่แล้ว”
“ฮ่าฮ่า! ” ถังหยินยิ้มเยาะ สิ่งที่พวกเขาหวังไว้จริง ๆ คืออู่หยูและจี้หยาง ฮ่าวชุนจะต้องตายต่างหาก แล้วมันก็จะเป็นประโยชน์ต่อพวกชิวเจิ้น ทว่าจะให้อธิบายตรง ๆ ก็คงไม่ได้…ถูกไหม?
“ให้ตายสิ…!” ถังหยินพึมพำและโบกมือให้ถังซ่ง “มีเพียงอู่หยูเท่านั้นที่ข้าไม่อาจที่จะปล่อยให้เขาตายได้!”
ถังซ่งถอนหายใจและไม่พูดอะไรอีก เขาทำได้เพียงนำทางถังหยินไปยังจุดหมาย
สิ่งที่เขาพูดนั้นถูกต้องชิวเจิ้น ฉางกวง หยวนยู่และคนอื่น ๆ ได้ไปที่ลานประหารแล้ว
พวกเขาไม่สามารถทนต่อการทรมานของอู่เหมยได้ หลังจากเขาได้รู้ว่าอู่หยูกำลังจะถูกประหารในวันนี้ ชิวเจิ้นและคนอื่น ๆ จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพาอู่เหมยไป โดยบอกว่าพวกเขาจะคิดหาทางช่วยอู่หยู ขณะเดียวกัน ในใจพวกเขากำลังคิดว่าจะทำให้อู่เหมยใจเย็นได้อย่างไร
แน่นอนว่าผู้ที่ปรารถนาให้อู่หยูเสียชีวิตมากที่สุดคือ หยวนยู่นั่นเอง ในความคิดของเขาตำแหน่งเสนาบดีควรเป็นของฉางกวง หยวนจี้ น้องชายของเขา