บทที่ 65 ผู้คุ้มกัน
“เอาล่ะ อย่าเสียเวลาอีกเลย” สิ้นเสียงของหลินเว่ย เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นทันที
“ตูม เมื่อซุยอู่จี้กำลังจะพูด เขาก็ถูกหมัดเหวี่ยงเข้าไปที่ร่าง โดยโครงกระดูกสัตว์อสูรวานรขั้นสี่จนล้มลงกับพื้น ก่อนที่เขาทันจะได้ป้องกันตนเอง โครงกระดูกสัตว์อสูรวานรขั้นสี่ เข้าโจมตีซุยอู่จี้อย่างทันทีทันใด มันตรงเข้าไปคว้าข้อเท้าของซุยอู่จี้ อย่างไร้ความปรานีด้วยมือเดียว และเริ่มเหวี่ยงร่างเขาราวกับเหวี่ยงค้อนขนาดใหญ่ลงไปกับพื้น ซึ่งค้อนในมือของโครงกระดูกสัตว์อสูรวานรขั้นสี่ นั่นก็คือซุยอู่จี้ที่แทบหมดสภาพ
เขาถูกจับตัวโดยโครงกระดูกสัตว์อสูรวานรขั้นสี่ จากนั้นก็กระแทกลงกับพื้นอย่างรุนแรง ไม่เพียงแต่เป็นความแข็งแกร่งของโครงกระดูกสัตว์อสูรวานรขั้นสี่อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังผสมกับความแข็งแกร่งของพื้นดิน ซุยอู่จี้แทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม ได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องและเกราะพลังปราณนั้นแตกร้าวทันที ศีรษะระเบิดออก และวัตถุสีแดงและสีขาว สาดกระเด็นไปทั่วบริเวณ
เมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ เผลอมองไปที่โครงกระดูกสัตว์อสูรวานรขั้นสี่ด้วยความหวาดกลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อหนึ่งในสี่คนนั้นถูกกดลงบนพื้น โดยโครงกระดูกสัตว์อสูรวานรขั้นสี่
และเมื่อโครงกระดูกสัตว์อสูรวานรขั้นสี่ตนที่เหลือร่วมด้วยช่วยกันในการโจมตี ไม่นานนักคนที่เหลือของ ตระกูลซุยก็ติดตามซุยอู่จี้ไปยังปรโลก จากนั้นบรรยากาศกลับมาเป็นปกติสุข
คุณชายตรงหน้ามองเห็นเหตุการณ์และกล่าวขอบคุณหลินเว่ย
“สวัสดี ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือพวกเรา ต้องขอโทษที่เข้าไปขัดจังหวะการฝึกฝนก่อนหน้านี้” เมื่อเห็นหลินเว่ยจัดการตระกูลซุยลงไป เด็กสาวตระกูลเย่ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพี่ชายของนางได้การกระตุ้นให้นางเข้าไปกล่าวขอบคุณหลินเว่ย
จากนั้นนางก็เดินเข้าไปและกล่าวด้วยคำขอบคุณด้วยความเคารพ พร้อมกับร่องรอยของความอึดอัดใจบนใบหน้า หลังจากเรื่องราวทั้งหมด นางเคยดุด่าว่าหลินเว่ยเป็นคนชั่วมาก่อน
“มาเถอะ พวกเจ้าพาชายชราไปเถอะ…. แล้วอย่ามารบกวนการฝึกฝนของข้าอีก” หลินเว่ยโบกมือของเขา พลางไม่ใส่ใจ และพูดตรง ๆ ไม่ไว้หน้า หลินเว่ยนั้นไม่ใส่ใจเรื่องราวแต่หนหลัง
“เอ่อ…!” เมื่อมองไปที่หลินเว่ย เด็กสาวก็ลังเลและไม่รู้ว่าจะเปิดปากพูดอย่างไรดี
“อะไรอีกล่ะ” หลินเว่ยเห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่ไม่นิ่ง ราวกับต้องการจะพูดอะไรสักอย่าง เขาจึงขมวดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“เอ่อ…!” เด็กสาวรู้สึกประหม่าในใจ เมื่อเห็นว่าน้ำเสียงของนางนั้นทำให้หลินเว่ยไม่พอใจ นางก็ลุกลี้ลุกลน จิตใจของนางว่างเปล่าพูดอะไรไม่ออก
“ฮึ…..เมื่อเห็นหญิงสาวเช่นนี้ การแสดงออกของหลินเว่ยก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้น ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆชายชรา รีบวิ่งเข้าไปและกล่าวด้วยความเคารพว่า “เราต้องการให้ท่านช่วยส่งเรากลับไปหาตระกูลได้หรือไม่?
ด้วยกำลังของเราสองคนและท่านปู่ที่บาดเจ็บ เราไม่สามารถเดินออกจากภูเขาม่อเทียนหลิงได้
“หืม! ต้องการให้ข้าส่งพวกเจ้ากลับไป?” หลินเว่ยกลอกตาของเขา และพูดด้วยความเยาะเย้ย
“ใช่! อย่าเพิ่งโมโห เราจะมอบรางวัลที่ท่านพอใจ” ชายหนุ่มพยักหน้าและพูดอย่างจริงจัง
“โอ้! รางวัลอะไรล่ะ?” ดวงตาของหลินเว่ยสว่างขึ้น และถามด้วยความสนใจ
“หินหยวน, ศิลปะการต่อสู้, กงฟา, หยวนฉี, ยาล้ำค่า, ยาเม็ด, แก่นคริสตัลทั้งหมดนี้ ตราบใดที่ท่านสามารถส่งพวกเรากลับบ้านไป ท่านสามารถเลือกสิ่งเหล่านี้ได้” ชายหนุ่มเห็นหลินเว่ยมีร่องรอยความลังเลในใจ และรีบพูดอย่างรีบร้อนเกรงว่าหลินเว่ยจะเปลี่ยนใจ
“โอ้! เจ้านั้นทำคุยโต คิดว่าตนเองเป็นใคร ถ้ามีสิ่งของมากมายขนาดนั้น ทำไมจึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ” หลินเว่ยรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เมื่อเขาฝันถึงสิ่งของกำนัลจากอีกฝ่าย แต่ในตอนท้ายยิ่งเขาครุ่นคิด ก็ยิ่งเหลวไหลมากยิ่งขึ้น เขาอดไม่ได้ที่จะพูดเย้ยหยันอีกฝ่าย
“แค่กๆ! นายน้อยตระกูลเย่คนนี้ ไม่เคยให้สัญญากับใครง่าย ๆ ตราบใดที่เขารับปาก ย่อมต้องทำได้ อาเหิงเป็นนายน้อยของตระกูลเย่ และเป็นผู้สืบทอดตระกูลคนต่อไป เขาสามารถเป็นตัวแทนของตระกูลเย่ ทั้งหมดได้ ”
“แค่ก…!” เสียงไอของชายชราที่บาดเจ็บสาหัสดังขึ้น และกล่าวสนับสนุนหลานชายตนเอง
“นอกจากนี้ ท่านยังเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตพวกเรา อยากได้อะไรก็เอาไปเถอะ”
เมื่อเห็นว่าหลินเว่ยไม่ถือเชื่อคำพูดของหลานชาย ชายชราที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องแบกรับความเจ็บปวดและอ้าปากพูด เพื่อช่วยเหลือชายหนุ่ม
“อืม! เอาล่ะ ข้ารับงานนี้” เมื่อได้ยินสิ่งที่ชายชราพูด แม้ว่าหลินเว่ยจะยังคงสงสัย แต่เขาก็ยังตกลงที่จะไปส่งพวกเขากลับไปที่ตระกูล สำหรับหลินเว่ยแล้ว มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แม้ว่าอีกฝ่ายจะหลอกลวงเขาก็ไม่เป็นไร เสียเวลาเพียงเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงยอมรับที่จะช่วยเหลือ
แล้วสามคนก็ผลัดกันแนะนำตัวกันง่าย ๆ เพื่อทำความรู้จักและความคุ้นเคยในอนาคต! ท้ายที่สุดตอนนี้ พวกเขาเป็นลูกค้ารายใหญ่ของหลินเว่ย และต้องการการดูแลแบบพิเศษ อย่างไรก็ตามหลินเว่ยได้คิดแล้วว่า
หากอีกฝ่ายโกหกเขาจะต้องเผชิญกับการแก้แค้นที่บ้าคลั่งของเขา
ชายหนุ่มคนนี้มีนามว่าเย่เหิง เขาอายุ 16 ปี เขาเป็นนักรบขั้นสองระดับสอง เขาเป็นลูกชายของผู้นำตระกูลเย่ เด็กสาวชื่อเย่ถงเสวี่ยเป็นน้องสาวของเขา เย่ถงเสวี่ยอายุ 15 ปี ชายชราชื่อเย่ห่าวชายชราของตระกูลเย่เป็นผู้อาวุโสของตระกูลขุนศึกขั้นห้าระดับสี่
เดิมทีเย่ห่าวนั้นพาเย่เหิงและเย่ถงเสวี่ย ตลอดจนผู้คุ้มกันของตระกูลเย่มาที่ม่อเทียนหลิง ด้วยความแข็งแกร่งของขุนศึกระดับสี่ และการปกป้องของนักรบขั้นสี่หลายคน กล่าวได้ว่าเขาไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามในตอนที่เย่ห่าวกำลังต่อสู้กับเสือดาวสัมฤทธิ์ที่เพิ่งเลื่อนระดับเป็นสัตว์อสูรขั้น 5 เขาก็ถูกลอบโจมตีและได้รับบาดเจ็บสาหัส จากนั้นซุยอู่จี้ก็ปรากฏตัว ในที่สุดผู้คุ้มกันถ่วงเวลาให้พวกเขาหนี จากนั้นก็เป็นอย่างที่เห็น
จนถึงตอนนี้หัวใจของทั้งสามคน ยังไม่หายตื่นตระหนก โดยเฉพาะเย่ถงเสวี่ยกลายเป็นเงามืดที่น่าหวาดกลัวในใจของนางที่ลบไม่ออก
…………
ภายในถ้ำที่หลินเว่ยเตรียมพร้อมจะฝึกฝน ถูกใช้เป็นที่พักฟื้นชั่วคราว มีกองไฟขนาดใหญ่กำลังลุกไหม้ ที่ด้านบนมีหนูศิลาหลายตัว ซึ่งค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีทอง ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วถ้ำ
แต่ถ้ำนั้นดูคับแคบไปเล็กน้อย เมื่อมีคนมาเพิ่มอีกสามคน
“เอื๊อก!” เมื่อมองไปที่เนื้อย่างที่กลายเป็นสีทอง เย่เหิงและเย่ถงเสวี่ยจ้องมองกันและกันและกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว แม้แต่เย่ห่าวในขณะที่กำลังฟื้นฟูตนเองก็ยังรู้สึกดึงดูดใจ
ช่วยไม่ได้ที่พวกเขาถูกซุยอู่จี้ไล่ล่ามาเป็นเวลานาน และตอนนี้ท้องก็เริ่มหิว
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” มันเป็นก้อนสีขาว ๆตัวน้อยที่ทำใบหน้าเศร้าสร้อยที่ถูกถามขึ้น หลังจากที่มันหมดสติเพราะเย่ห่าว มันก็ยังไม่ฟื้น จนกระทั่งไม่กี่นาทีที่ผ่านมา มันมึนงงมาก เย่ห่าวต้องการอยากจะพูดอะไรบ้างอย่าง
แต่หลินเว่ยห้ามเขาไว้ นอกจากนี้เย่ห่าวรู้สึกว่า เขากังวลใจมากเกินไป หลังจากชดใช้ด้วยแก่นคริสตัลขั้นห้าแล้ว เขาก็ได้รับการอภัยโทษจากเสี่ยวไป๋
“พรึ่บ!” ทันทีที่พูดจบ เงาดำ ๆ ก็แวบเข้ามา จากนั้นเนื้อย่างบนกองไฟก็หายไป เสี่ยวไป๋กำลังถือเนื้อย่างที่ใหญ่กว่าตัวเองสิบเท่า และดวงตาเล็ก ๆ ทั้งสองของเขาก็มองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง
หลินเว่ยโค้งปากและไม่พูดอะไร เขาหยิบเนื้อย่างที่เหลือ และมอบให้สมาชิกสามคนของตระกูลเย่
ทุกคนไม่ได้พูดอะไร ก้มหน้าก้มตากินอาหารเย็น และภายในถ้ำก็เงียบมาก ทุกคนยุ่งอยู่กับการกินเนื้อย่างที่อยู่เบื้องหน้า พวกเขาหิวโหยราวกับไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน
หลังจากการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บหนึ่งคืนผ่านมา อาการบาดเจ็บของเย่ห่าวยังคงร้ายแรงมาก แต่ก็ไม่ส่งผลต่อการเดินทาง อาการบาดเจ็บที่เหลือนั้นไม่สามารถรักษาให้หายได้ในระยะเวลาอันสั้น
หลังจากกินเนื้อย่างแล้วในมื้อเช้า หลินเว่ยก็พาพวกเขาไปที่เส้นทางเพื่อออกเดินทางกลับไปที่ตระกูลเย่ กองทัพโครงกระดูกเดินไปตามเส้นทาง และผู้คนก็นั่งอยู่บนหลังของกิ้งก่าเพลิง มันเดินด้วยความเร็วสูง